ในที่สุด การหาคำตอบว่าใครอยู่เบื้องหลังการกลับคำสั่งไม่ฟ้องคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2555 จนทำให้ บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา รุ่นหลานของผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง หลุดรอดจากทุกข้อกล่าวหา ..ก็มาถึงบทสรุป
เมื่อ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ของรัฐบาล ได้ออกมาแถลงผลการทำงาน ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
– คลิปการแถลงข่าวดังกล่าวฉบับเต็ม: https://www.facebook.com/ThaigovSpokesman/videos/962423830929236
เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่ได้ฟัง หรือไม่มีเวลาฟังคำแถลงทั้งหมด
The MATTER ขอสรุปให้อ่านกันว่า คำแถลงดังกล่าวมีเนื้อหาส่วนใดน่าสนใจบ้าง และมีใครบ้างที่อยู่เบื้องหลังการล้มคดีนี้ – ผ่านปากคำของวิชา
[ นาที 15:00 ]
เราเห็นพฤติกรรมที่ทำกันมา เริ่มต้นตั้งแต่ทำสำนวนบกพร่อง ทั้งตั้งข้อหาสำหรับคนตาย ที่ไม่เป็นธรรม เพราะเขาไม่มีโอกาสต่อสู้คดีเลย แม้เขาจะได้รับเงินเยียวยา แต่ทำให้ ‘รูปคดี’ เสียหายอย่างหนัก ปกติเวลาเราทำสำนวนในระบบศาล อัยการ ตำรวจ จะรู้ดี คำว่า ‘รูปคดี’ คือการรูปคดีเพื่อนำไปสู่การได้ความจริง หรือเพื่อให้หลุดจากข้อกล่าวหา มีหลายรูปแบบ
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็สอนกันมาตั้งแต่อดีตแล้วว่า ถ้าตำรวจตั้งรูปคดีมาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าไมได้มีความจริงจังจริงใจ
ในการทำสำนวนไม่ได้ทำอย่างมืออาชีพ เพราะบางข้อกล่าวหา ก็ไม่ได้ใส่ไว้ในสำนวน คือใส่ไว้ ให้มีเท่านั้น แต่ไม่ได้จริงจัง ที่สุดก็สั่งไม่ฟ้องสำหรับข้อหานั้น เช่น เรื่องเมาแล้วขับ ที่กลายเป็นขับแล้วเมา ทำให้หลุดหมด
[ นาที 17:30 ]
การใช้ระยะเวลายาวนานมากในการสอบสวน 6 เดือน ไม่ได้ตัวมาส่งฟ้องศาลตามที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่แรก ความจริงแล้วจุดที่เราต้องขอบคุณก็คือมีอัยการหลายคนเป็นคนดีขององค์กร ต่อสู้เรื่องนี้มาตลอด ไม่ว่าจะถูกกดดันแค่ไหนเพียงใด มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นอัยการในระดับไม่ใหญ่นัก แต่ก็ต่อสู้เรื่องนี้
ฉะนั้นต้องขอบคุณ อย่าเห็นว่าองค์กรมีแต่คนเลว-คนไม่ดี คนดีกับองค์กร ต้องแยกกัน องค์กรอยู่ได้มาเป็นร้อยปี คนต่างหากทำให้เสื่อม ทำให้เกิดข้อครหาขึ้น เราต้องรักษาองค์กรไว้ ซึ่งอาจจะต้องปรับปรุงต่อไป แต่คนผิดได้ มีข้อเสียหายได้ เพราะมนุษย์ก็มีทั้งดีและไม่ดี
[ นาที 20:30 ]
การใช้เวลาทำคดีของตำรวจนานมาก และไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมส่งฟ้องคดีได้ เป็น ‘ช่องโหว่’ ให้เกิดการร้องขอความเป็นธรรมถึง 14 ครั้ง โดย 13 ครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ มาประสบความสำเร็จในครั้งที่ 14
[ นาที 23:20 ]
ในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 8 ถือเป็นการ ‘ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันผิดปกติที่สุด’ ในการทำสำนวนในลักษณะการสมยอม
ซึ่งเรารู้กันอยู่ว่า วันที่สอบพยานผู้เชี่ยวชาญ พ.ต.ท.ธนสิทธิ แตงจั่น และ อ.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ซึ่งทำให้กลับความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ แต่ พ.ต.ท.ธนสิทธิก็ยังยืนยันว่า เป็นการถูกกดดัน (ให้กลับความเร็วรถยนต์ของบอส อยู่วิทยา จาก 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้เหลือเพียง 79 กิโลเมตร/ชั่วโมง) หลังจากนั้นก็พยายามเปลี่ยนความเห็นตลอดมา
และทั้ง พ.ต.ท.ธนสิทธิกับ อ.สายประสิทธิ์ ก็ได้ขออยู่ในกระบวนการคุ้มครองพยานโดยทันที หลังให้ถ้อยคำกับกรรมการเพราะเขากลัวมาก ขณะนี้เราก็ต้องช่วยดูแลอยู่
ตัว อ.สายประสิทธิ์ยอมรับว่า ไม่ได้ไปที่เกิดเหตุ ไม่ได้ไปทดสอบจริง และคำนวณจากกระดาษบนโต๊ะ ฉะนั้นการคำนวณ จึงไม่ใช่การใช้ข้อมูลที่เป็นจริงเหมือน พ.ต.ท.ธนสิทธิ ที่ไม่ใช่ผู้ให้ข้อมูลความเร็ว 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เป็นข้อมูลของ อ.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ แต่กลับไม่มีความเห็นของ อ.สธนอยู่ในสำนวนของตำรวจ ถือว่าเป็นข้อพิรุธ
[ นาที 27:00 ]
การหยิบยกพยานหลักฐานที่สร้างขึ้นมาอันเป็นเท็จ และร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทนายความ มีอัยการท่านหนึ่ง อยู่ในกระบวนการนี้ด้วย
เราจึงความเห็นตรงกัน กรรมการไม่มีท่านใดมีความเห็นเป็นอย่างอื่นเลยว่าเป็นกระบวนการการทำ ‘สำนวนสมยอมไม่สุจริต’ ร่วมมือกันแบบที่เขาเรียกว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิด ทำให้สำนวนเสียไปตั้งแต่ต้น เหมือนที่เราพูดว่า ต้นไม้ผิด สร้างผลไม้ อันเป็นพิษ บริโภคไม่ได้ ต้องเสียไปทั้งหมด ต้องฟันต้นไม้ทิ้งทั้งหมด ฉะนั้นในกระบวนการ เราจึงเห็นควรให้มีการสอบสวนใหม่ ไม่ใช่แค่สอบสวนพยานหลักฐานใหม่ตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 เราเห็นยิ่งกว่านั้น คือต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่บางข้อหา ขาดอายุความไปแล้ว ช่วยไมได้ ไม่รู้จะทำยังไง
[ นาที 28:30 ]
ในข้อเสนอแนะของเราอันหนึ่งมีเรื่องของอายุความด้วย เราเสนอว่าต้องแก้โดยเร่งด่วนเลย คือให้อายุความหยุดลงเมื่อผู้ต้องหาหลบหนี แบบเดียวกับคดีทุจริต ให้คดีทั้งหลายต้องหยุดนับอายุความ ในลักษณะเดียวกัน ตราบใดที่ยังหลบหนี จนกว่าจะได้ตัวมา ถึงจะเริ่มนับอายุความต่อ
ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เราจึงเสนอก่อนจะมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพราะนิสัยคนไทย เวลาเป็นผู้ต้องหาต้องหนีก่อนเป็นอันดับแรก ไม่มีประเทศไหนเหมือน ดังนั้นการมีกฎหมายนี้ใช้ เพื่อให้เป็นไปตามนิสัยของคนไทยอยู่แล้ว
[ นาที 29:30 ]
แล้วก็เรื่องดำเนินการ สำหรับผู้อยู่ในตำแหน่งสูง และเป็นผู้นำ แม้เราจะดำเนินการทางวินัยหรืออาญาไม่ได้ แต่เราดำเนินการทางจริยธรรมได้ ซึ่งสามารถให้พ้นจากตำแหน่งโดยศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
[ นาที 35 เป็นต้นไป จะเป็นช่วงถามตอบ ]
#Brief #บอสอยู่วิทยา #TheMATTER