ข่าวใหญ่ที่อังกฤษเมื่อวานนี้ คือรัฐบาลประกาศว่าจะยุบ NHS England (องค์กรบริการสุขภาพแห่งชาติ) ซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการระบบสาธารณสุข โดยองค์กรนี้ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2013 โดยหลังจากนี้ จะถูกรวมเข้ากับกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม (DHSC) ที่มี เวส สตรีททิง (Wes Streeting) เป็นรัฐมนตรี
เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศเรื่องนี้ในสุนทรพจน์เกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยสตรีททิงให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “วันนี้ เรากำลังยุบองค์กรกึ่งรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยหมายถึง NHS England ซึ่งมีพนักงาน 15,000 คน ในขณะที่ NHS ทั้งระบบมีพนักงานราว 1.5 ล้านคน กระจายอยู่ใน 220 หน่วยงานสุขภาพ
NHS England มีหน้าที่หลักในการกำกับดูแลและสนับสนุนหน่วยงานในระดับท้องถิ่นให้ดำเนินการจัดบริการทางการแพทย์ โดยมีงบประมาณเกือบ 200,000 ล้านปอนด์ ดูแลบุคลากร 1.5 ล้านคน และรับผิดชอบเรื่องมาตรฐานการรอคอยของผู้ป่วย เช่น เวลารอรับบริการฉุกเฉินไม่เกิน 4 ชั่วโมง หรือเวลารอรับการรักษาในโรงพยาบาลไม่เกิน 18 สัปดาห์
เดิมที NHS England เป็นองค์กรที่ได้รับอำนาจให้บริหารระบบสุขภาพโดยอิสระมากขึ้นตั้งแต่ปี 2012 โดยรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมในขณะนั้น ต้องการให้หน่วยงานนี้สามารถบริหารงานโดยไม่มีถูกแทรกแซงจากนักการเมือง อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่าการแยกอำนาจเช่นนี้ทำให้ยากต่อการปฏิรูปและพัฒนาระบบสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สตาร์เมอร์ให้เหตุผลว่า การยุบ NHS England จะช่วยลดต้นทุน ลดระบบราชการที่ซับซ้อน และทำให้รัฐบาลสามารถบริหาร NHS ได้โดยตรง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่าเดิม โดยเขากล่าวว่า “ผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมการตัดสินใจเกี่ยวกับงบประมาณ 200,000 ล้านปอนด์ของ NHS ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อความมั่นคงของเรา จะต้องถูกกำหนดโดยองค์กรอิสระเช่น NHS England”
นอกจากนั้น เขายังพูดถึงความเป็น ‘ระบบราชการ 2 ชั้น’ ซึ่งหมายถึง NHS England และ DHSC ที่ทำหน้าที่คล้ายกัน โดย NHS England ก่อตั้งขึ้นภายหลัง ในปี 2013 (เดิมชื่อ NHS Commissioning Board) และทำงานควบคู่กับ DHSC ซึ่งทั้งสองหน่วยงานมีแผนกที่ทำหน้าที่คล้ายกัน เช่น การดูแลบริการ GP สุขภาพจิต และการแพทย์ฉุกเฉิน
สตาร์เมอร์ยกตัวอย่างเพื่ออธิบายถึงความซ้ำซ้อนว่า “เราควรลดจำนวนทีมประชาสัมพันธ์ ทีมวางกลยุทธ์ และทีมกำหนดนโยบายที่ทำงานซ้ำกันหรือไม่? คำตอบคือ ควร” โดยเขาให้ความเห็นว่า เงินเหล่านั้นที่นำมาดำเนินงานอันซ้ำซ้อน ควรนำไปใช้จ้างพยาบาล แพทย์ หรือเพิ่มการรักษาพยาบาลแทน
ดังนั้นหากการดำเนินการยุบ NHS England เริ่มต้นขึ้น พนักงานบางส่วนก็จะถูกเลิกจ้าง และบางส่วนจะย้ายไปทำงานกับ DHSC โดยทั้ง NHS England และ DHSC มีสำนักงานใหญ่อยู่ในลอนดอนด้วย
หากยุบ NHS England แล้ว งบประมาณของระบบสุขภาพแห่งชาติอังกฤษ (NHS) ก็ถูกจัดสรรผ่านกระทรวงสาธารณสุขและการดูแลสังคม (DHSC) ซึ่งทำหน้าที่บริหารงบประมาณด้านสุขภาพทั้งหมดของประเทศ โดยส่วนใหญ่จะถูกกระจายไปยัง NHS England ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลการดำเนินงานของ NHS โดยคาดว่าการดำเนินการจะเป็นในลักษณะดังต่อไปนี้
NHS England อาจแจกจ่ายงบประมาณไปยังคณะกรรมการดูแลสุขภาพระดับท้องถิ่น (Local Integrated Care Boards) ซึ่งมีหน้าที่จัดการบริการสุขภาพในพื้นที่ของตนเอง เช่น บริการการแพทย์เบื้องต้น (เช่น ทันตแพทย์ แพทย์ทั่วไป และร้านขายยา) โรงพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาลขั้นสูง บริการด้านสุขภาพจิต และบริการในชุมชน เช่น พยาบาลดูแลผู้ป่วยตามบ้าน
นอกจากนี้ งบประมาณบางส่วนอาจถูกส่งไปยังหน่วยงานปกครองท้องถิ่น (Local Authorities) ซึ่งรับผิดชอบด้านบริการสาธารณสุขในระดับชุมชน เช่น บริการพยาบาลในโรงเรียน หรือโครงการส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงการดูแลสังคมสำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้พิการ
ระหว่างการประชุมสภา แคโรไลน์ จอห์นสัน (Caroline Johnson) รัฐมนตรีเงาด้านสาธารณสุขจากพรรคอนุรักษ์นิยม (รัฐมนตรีเงา หมายถึง ฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่คู่ขนานกับรัฐบาลจริงเพื่อคอยตรวจสอบรัฐบาล) ได้ตั้งคำถามว่า พรรคแรงงานจะสามารถบริหารงบประมาณ NHS ได้หรือไม่ โดยอ้างถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการระบบสุขภาพในเวลส์
รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศการเพิ่มงบประมาณโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่คาดว่าการยกเลิก NHS England จะช่วยประหยัดเงินได้ประมาณ 500 ล้านปอนด์ต่อปี
โดยสรุป การยกเลิก NHS England เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของระบบสุขภาพอังกฤษ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดระบบราชการ เพิ่มประสิทธิภาพ และให้รัฐบาลมีอำนาจควบคุมโดยตรง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามต่อไปว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อคุณภาพของการให้บริการทางการแพทย์และการบริหารงบประมาณในระยะยาวอย่างไร
แต่ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศอังกฤษเท่านั้นที่เผชิญกับปัญหาการบริหารงานด้านสาธารณสุขที่ซ้อนทับกัน เพราะประเทศไทยเองก็อาจเรียกได้ว่า ได้เผชิญกับปัญหานี้มาเป็นเวลาหลายปี และมีคนหยิบยกมาพูดถึงอยู่จำนวนหนึ่งแต่ก็ยังไม่เกิดความคืบหน้าในการร่วมมือหรือหาทางแก้มากนัก
สำหรับระบบสาธารณสุขในไทยมีหลายหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น
- กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดูแลดูแลโรงพยาบาลรัฐ ศูนย์อนามัย และนโยบายสุขภาพโดยรวม
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บริหารระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และกำหนดนโยบายการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับผู้ใช้สิทธิ
- สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดูแลสิทธิประกันสังคมของผู้ประกันตนในระบบแรงงาน
- กรมบัญชีกลาง ดูแลสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
- หน่วยงานท้องถิ่น บางเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็มีงบประมาณเพื่อดูแลบริการสุขภาพของชุมชน
โดยงบประมาณด้านสุขภาพ ยังกระจายอยู่ในหลายกองทุน แต่ละกองทุนมีระเบียบและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้มักจะเกิดข้อวิจารณ์โดยการเปรียบเทียบ เช่น ผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคมมักวิจารณ์ว่า ได้รับสิทธิประโยชน์ในการรักษาน้อยกว่าระบบบัตรทองเสียอีก
ที่ผ่านมาจะมีข้อเสนอในการรวมกองทุนต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้การบริหารงานมีความเป็นระบบระเบียบ ลดความเหลื่อมล้ำ และลดความซ้ำซ้อน ไปจนถึงการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นเพื่อให้สามารถดูแลเรื่องสุขภาพของประชาชนได้ครอบคลุมยิ่งขึ้นได้ แต่จนถึงขนาดนี้ก็ยังไม่มีเจ้ากระทรวงใดเข้ามาเป็นเจ้าภาพในการพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าจับตามองต่อไปว่าระบบสาธารณสุขไทยจะหันไปทางไหนต่อ
อ้างอิงจาก