ใครว่าชีวิตคู่และหน้าที่การงานเป็นเรื่องที่แยกออกจากกัน หรืออุปนิสัยของคู่รักไม่มีผลใดๆ ต่อการทำงาน ที่จริงแล้ว ทั้งสองเชื่อมโยงกันโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะถ้าเรามีความรักที่ดีหรือคู่รักที่เข้าใจ ก็ย่อมส่งผลให้การงานดีขึ้นด้วย
แม้จะไม่ได้ส่งผลโดยตรง แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้รับ ‘การสนับสนุน’ อยู่ห่างๆ หรือมีใครสักคนคอยดูความสำเร็จของเราก็ยังดี
อวิวาห์ วิตเทนเบิร์ก คอกซ์ (Avivah Wittenberg-Cox) ซีอีโอแห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านเพศ กล่าวว่า ผู้หญิงที่มีความทะเยอทะยาน และมีความเป็นมืออาชีพสูง จะมีตัวเลือกอยู่สองทางเท่านั้น ถ้าไม่มีคู่ชีวิตที่ส่งเสริมให้หน้าที่การงานดีขึ้น ก็เลือกที่จะอยู่เป็นโสดไปเลย เพราะพวกเธอคาดหวังไว้ว่า การแต่งงานหรือการมีคนเข้ามาในชีวิต ก็เพื่อที่จะมีคนมาสนับสนุน และเติมเชื้อเพลิงเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน
หรือที่เรียกว่า ความสัมพันธ์ที่สนับสนุนซึ่งและกัน (supportive relationship) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ส่งผลให้อีกฝ่ายเติบโต และมีสุขภาพจิตที่ดี
ผลการศึกษาหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ลักษณะนี้ จะทำให้คู่รักมีแนวโน้มที่จะกล้าเผชิญกับความท้าทายที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า และการน้อมรับความท้าทาย ก็ส่งผลให้คนๆ นั้นเติบโตได้ไว มีสุขภาพจิตที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ
จากการทดลองให้คู่รักแข่งกันเล่นเกม ซึ่งมีข้อแม้ว่าสามารถช่วยเหลือกันได้ด้วยการใช้ ‘คำพูด’ เท่านั้น ผลการทดลองพบว่า คู่รักที่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน มีแนวโน้มที่จะชนะการแข่งขัน และได้รางวัลมากกว่าคู่ที่แสดงออกถึงความไม่มั่นใจในตัวอีกฝ่าย ที่มักจะเลือกใช้หนทางที่ง่าย และได้รับผลตอบแทนที่น้อยกว่า
จึงสรุปได้ว่า การสนับสนุนจากคู่รัก มีส่วนอย่างมากในการสร้างความมั่นใจให้อีกคนมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ยากและท้าทายมากขึ้น อวิวาห์จึงได้แนะนำ 3 กลยุทธ์การสนับสนุน ที่เดิมถูกใช้ในที่ทำงาน แต่เราสามารถนำมาปรับใช้ให้ความสัมพันธ์ไปสู่จุดที่กลายเป็น supportive relationship ได้ นั่นก็คือ
แสดงวิสัยทัศน์ : คู่รักที่ดีควรมีการพูดคุยถึง ‘เป้าหมายส่วนตัวในระยะยาว’ ว่าแต่ละคนตั้งใจจะทำอะไร อยากประสบความสำเร็จในด้านไหน และหมั่นทบทวนเป้าหมายเหล่านั้นเป็นประจำ เพราะถ้าหากขาดความเข้าใจในเป้าหมายของอีกฝ่าย การสนับสนุนซึ่งกันและกันก็คงไม่เกิดขึ้น และอาจทำให้ชีวิตคู่โดยรวมเกิดความเขวได้
คอยรับฟัง : ทั้งๆ ที่การเปิดอกพูดคุยกันคือกุญแจสำคัญของความสัมพันธ์ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเผยว่า พวกเธอไม่รู้สึกว่าตัวเองได้รับ ‘การรับฟัง’ จากผู้ชายเลย ซึ่งถ้าเป็นไปได้ คู่รักควรพูดคุยและระบายสิ่งต่างๆ ที่เจอมาเดือนละครั้ง (อย่างน้อยๆ ไตรมาสละครั้งก็ยังดี) และควรเป็นการรับฟังแบบต่อหน้า ไม่ควรพูดแทรกหรือขัดจังหวะ รับฟังทุกอย่างที่คู่รักต้องการจะพูด จากนั้นก็พูดทวนในสิ่งที่ได้ยินอีกที เพื่อยำให้อีกคนรู้ว่าเราตั้งใจฟัง จากนั้นก็สลับมาเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
แสดงความเห็นกลับ : ในที่นี้ก็คือ ‘คำชม’ นั่นแหละ เพราะทุกวันนี้คำพูดเชิงบวกหรือคำชมหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือในบ้านเองก็ตาม ไม่ว่าใครก็อยากได้ยินคำชมมากกว่าคำด่าอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำชมนั้นมาจากปากของคนใกล้ชิดด้วย
ซึ่งสัดส่วนที่แนะนำก็คือ 5:1 ซึ่งหมายความว่า ทุกๆ การสร้างสรรค์ผลงาน 1 ชิ้น ควรจะมีอย่างน้อย 5 ความเห็นเชิงบวกในนั้น ดังนั้น หมั่นบอกคู่รักของตัวเองเสมอว่าเขาเก่งแค่ไหน ดูดีแค่ไหน เอาใจใส่กันและกันมากแค่ไหน และคุณมั่นใจในตัวเขามากแค่ไหน เพราะคำชมก็เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงให้ใครสักคนมีพลังเดินหน้าต่อไปได้ไกลมากขึ้น
ความรักก็คงเหมือนกับการทำงานเป็นทีม ถ้าอีกคนขาดส่วนร่วมในเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ หรือทำให้รู้สึกว่านี่เป็นงานกลุ่มที่ทำคนเดียว ก็ต้องกลับมาตั้งคำถามแล้วว่า เราจะอยู่ในทีมนี้ต่อไปเพื่ออะไร เดินหน้าต่อคนเดียวจะดีกว่ามั้ย เพราะการมีคู่ชีวิตทั้งที ก็ต้องมีให้ดีกว่าอยู่คนเดียวอยู่แล้วล่ะเนอะ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://hbr.org/2017/10/if-you-cant-find-a-spouse-who-supports-your-career-stay-single
https://www.sciencedaily.com/releases/2017/08/170811105806.htm
#GoodsMorning #TheMATTER