“ไม่มีรัฐบาลใด ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองไหนก็ตาม ที่จะมาบงการว่ามหาวิทยาลัยเอกชนสามารถสอนอะไรได้หรือไม่ได้”
ข้อความข้างต้นคือเนื้อหาจากแถลงการณ์ของ อลัน เอ็ม การ์เบอร์ อธิบการบดี ม.ฮาร์วาร์ด ที่ยืนยันถึงเสรีภาพ และความเป็นอิสระในทางวิชาการของสถาบัน เพื่อตอบโต้ข้อเสนอของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกร้องให้ฮาร์วาร์ดต้องปรับหลักสูตรตามที่รัฐต้องการ
ย้อนความไปวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ส่งหนังสือถึง ม.ฮาร์วาร์ด โดยข่มขู่ว่า ถึงแม้ที่ผ่านมารัฐบาลส่งงบประมาณมาช่วยสนับสนุนฮาร์วาร์ด แต่ในหลายปีมานี้ ฮาร์วาร์ดกลับทำหน้าที่ “ล้มเหลว” ทั้งด้านวิชาการและสิทธิพลเมืองจนรัฐบาลต้องยื่นข้อเสนอใหม่มาให้ฮาร์วาร์ดปรับปรุงตัวเอง
พูดง่ายๆก็คือขู่ว่าจะตัดงบอุดหนุนถ้าไม่ทำตามที่รัฐบาลต้องการซึ่งมีเนื้อหาสำคัญเช่น
- ปรับปรุงหลักสูตรการสอน (ที่รัฐอ้างว่า) สร้างอคติด้านต่างๆ รวมถึงต่อต้านชาวยิว ซึ่งรัฐบาลเสนอให้ปรับทั้งการศึกษาในหลายคณะและสถาบัน ตั้งแต่ คณะด้านสาธารณสุข, การแพทย์, ศาสนา, สิทธิมนุษยชน, ตะวันออกกลางศึกษา, ภาษาศาสตร์และกฎหมาย
- ยุติการว่างจ้างและรับนักศึกษาตามนโยบายที่ให้ความสำคัญเรื่อง สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา เพศสภาพ รวมถึงสัญชาติ โดยหลังจากนี้ ข้อมูลการว่างจ้างและนักศึกษาทั้งหมดจะต้องแชร์ให้กับรัฐบาลด้วย
- ปรับปรุงกฎระเบียบนักศึกษาให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อควบคุมกิจกรรม ชมรม การรวมกลุ่มของนักศึกษา รวมถึงตรวจสอบนักศึกษาที่มีส่วนร่วมในการประท้วงครั้งที่ผ่านๆ มาด้วย (รัฐบาลยกตัวอย่าง การรวมกลุ่มประท้วงของนักศึกษาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับชาวปาเลสไตน์เป็นพิเศษ)
- ยุติโปรแกรม DEI (Diversity, Equity, Inclusion) ทั้งหมดในฮาร์วาร์ด ไม่ว่าจะเป็นทั้งรูปแบบของหลักสูตรการสอน พนักงานในมหาวิทยาลัย รวมถึงความร่วมมือต่างๆ โดยรัฐบาลขู่ว่า ฮาร์วาร์ดต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง และแนบตัวอย่างมาให้ดูด้วยว่า ยุติทุกอย่างแล้วจริงๆ ภายในเดือนสิงหาคมนี้
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอ(ขู่บังคับ) อีกหลายข้อ ซึ่งโดยรวมแล้ว สะท้อนภาพชัดเจนว่ารัฐบาลต้องการควบคุมความคิดเห็นและกิจกรรมต่างๆ ภายในฮาร์วาร์ดให้เป็นไปตามที่ต้องการ และพุ่งเป้าไปที่กรณีการเรียกร้องเพื่อความยุติธรรมให้กับชาวปาเลสไตน์ที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไปจนถึง การยุติโปรแกรมต่างๆ ที่ส่งเสริมความหลากหลาย
หลังจากที่คำขู่นี้เดินทางมาถึงฮาร์วาร์ด ผู้เป็นอธิการบดี อย่าง อลัน เอ็ม การ์เบอร์ ก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้โดยยืนยันว่าฮาร์วาร์ดจะไปปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลทรัมป์
“มหาวิทยาลัยจะไม่ยอมจำนนต่อการสูญเสียอิสรภาพหรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญ”
การ์เบอร์บอกว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องการมันคือการพยายาม “ตรวจสอบ” ไม่เพียงแค่มุมมองของนักศึกษา แต่รวมไปถึงองค์กร พนักงาน และบุคลากรต่างๆ ของฮาร์วาร์ด เพื่อลดอำนาจของคนเหล่านี้ลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเพราะอุดมการณ์ของพวกเขาแตกต่างจากรัฐบาล
เขาระบุด้วยว่า การที่รัฐบาลเอาเรื่องงบประมาณมาข่มขู่ มันหมายความว่า พวกเขาไม่ได้ต้องการจะหาทางเจรจา “อย่างสร้างสรรค์” ไปด้วยกันแต่อย่างใด
ในกรณีของ Antisemitism นั้น การ์เบอร์บอกว่า ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยก็ให้ความสำคัญมาเสมออยู่แล้ว และในอนาคต ก็จะส่งเสริมวัฒนธรรมการตั้งคำถาม พัฒาทักษะ เรียนรู้เครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นต่อการแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างสร้างสรรค์ และขยายขอบเขตของความหลากหลายในชุมชนของฮาร์วาร์ดให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ไม่เพียงแค่นั้นฮาร์วาร์ดก็จะยังคงยืนยันความสำคัญของสิทธิและความรับผิดชอบให้ความเคารพสิทธิเสรีภาพในการพูดโดยจะไม่ห้ามการประท้วงในมหาวิทยาลัยตราบใดที่มันไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการเรียนการสอนหรือการทำวิจัยต่างๆ
“คำขวัญของเรา—”Veritas” หรือ “สัจจะ“—มันเป็นสิ่งนำทางในเส้นทางที่ท้าทายเบื้องหน้า การแสวงหาความจริงคือการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด มันเรียกร้องให้พวกเราพร้อมเปิดรับข้อมูลใหม่ มุมมองที่แตกต่าง และกล้าที่จะตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเองอยู่เสมอ พร้อมยอมรับเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนความคิด มันผลักดันให้เรากล้าทำงานอันยากลำบาก นั่นคือการยอมรับข้อบกพร่องของเราเอง เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถบรรลุถึงคำมั่นสัญญาอันแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อคำมั่นนั้นกำลังถูกท้าทาย” การ์เบอร์ ระบุ
หลังจากที่ฮาร์วาร์ดออกแถลงการณ์มาก็มีรายงานทางรัฐบาลทรัมป์ก็ได้ระงับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนสองพันล้านดอลลาร์
ไม่เพียงแค่ฮาร์วาร์ดที่ถูกรัฐบาลทรัมป์ข่มขู่ ก่อนหน้านี้ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ได้รับข้อเสนอทำนองนี้เช่นกัน โดนรัฐขู่ว่าจะระงับเงินสนับสนุนกว่าสี่ร้อยล้านดอลลาร์ถ้าไม่ทำตาม ขณะที่ มีรายงานถึง การระงับเงินสนับสนุนการทำวิจัยต่างๆ ให้กับมหาวิทยาลัยพรินเซตันด้วยเช่นกัน
#Brief #TheMATTER
.