สถานการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่ยังอยู่ในระดับวิกฤต โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งว่า เวลา 17.00 น.ของวันนี้ (23 พ.ย.68) ระดับน้ำท่วมในเทศาลนครหาดใหญ่ และพื้นที่ใกล้เคียงจะเพิ่มสูงขึ้นอีก เรื่องจากมีปริมาณน้ำจากคลองอู่ตะเภา ไหลลงมาเพิ่มเติม
ในห้วงเวลาที่วิกฤตนี้ยังไม่คลี่คลาย และยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่รอการช่วยเหลือ คำถามสำคัญคือ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้หาดใหญ่ต้องจมอยู่ใต้น้ำอีกครั้ง?
เราสามารถไล่เรียงปัจจัยต่างๆ ได้ดังนี้
1) วิกฤตสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง + ปรากฎการณ์ลานีญา : ถึงแม้ว่าช่วงเดือนปลายปีของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาที่พื้นที่ภาคใต้จะเผชิญกับมรสุมและฝนตกหนัก เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำได้เข้าพัดผ่านทางภาคใต้เป็นประจำ แต่ปีนี้มีปัจจัยเสริมคือ ปีนี้ไทยเราต้องเผชิญกับลานีญา ที่ทำให้ร่องมรสุมมีกำลังแรงขึ้น
ทั้งนี้ ผลกระทบของลานีญาเมื่อมันเกิดในพื้นที่ต่างๆ ก็คือ จะทำให้สภาพอากาศเย็นกว่าปกติในบางพื้นที่ และพื้นที่ที่เคยฝนตกอยู่แล้ว ก็จะตกหนักขึ้นกว่าเดิม
2) ปริมาณฝนที่ตกหนัก : สถิติระบุว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำฝนสะสมมากถึง 477 มิลลิเมตรที่จังหวัดสงขลา นอกจากนี้ ในพื้นที่อื่นก็เผชิญกับปริมาณน้ำฝนสะสมที่มากเช่นกันในระดับ 300-400 มิลลิเมตร
ส่วนข้อมูลจากศูนย์อุตุนิยมภาคใต้ด้านตะวันออก ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา สงขลามีฝนตกสะสม 1,464.8 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าค่าปกติถึง 780.2 มิลลิเมตร
ขณะเดียวกัน สภาพภูมิประเทศของเมืองหาดใหญ่ยังเป็นพื้นที่ราบต่ำ ทำให้เมื่อน้ำไหลหลากจากทิศทางต่างๆ ต้องผ่านเมืองหาดใหญ่ก่อนที่จะระบายออกสู่ทะเลสาบสงขลา ยิ่งรวมกับช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูงด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การระบายน้ำออกจากเมืองเจออุปสรรคด้วยเช่นกัน
3) ทิศทางน้ำหลากที่เปลี่ยนแปลงไป : จิรวัตร์ มณีโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปิดเผยระหว่างการประชุมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ แตกต่างไปจากที่ผ่านมา เพราะถ้าเทียบกับปีที่แล้ว น้ำจะไหลมาจากอำเภอสะเดา แต่ปีนี้ปริมาณน้ำกลับไหลมาจากอำเภอจะนะ เข้าสู่นาหม่อม ก่อนเข้าสู่หาดใหญ่ ทำให้ปริมาณน้ำหลากมีความรุนแรงมากขึ้น
4) เมื่อเมืองเติบโต และพื้นที่ซับน้ำหายไป : ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ระบุว่า ที่ผ่านมา เมืองหาดใหญ่ได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ผ่านการสร้างถนน และอาคารต่างๆ ขึ้นมาแทนที่พื้นที่ตามธรรมชาติ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ที่คอย ‘ซับน้ำ’ ให้กับเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำที่ไหลลงคลองอู่ตะเภาจึงสามารถเดินทางอย่างรวดเร็ว และรุนแรงมาก จนทำให้เมืองต้องเจอกับน้ำท่วมอย่างหนัก นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ประโยชน์ของที่ดิน จนไปขวางและทับทางระบายน้ำ ทำให้น้ำไหลออกไปจากเมืองได้ยากลำบากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ดร.สนธิ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยในปีนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติมาก เพราะรัฐรู้อยู่แล้วว่าปีนี้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภาวะลานีญา และเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก
#RECAP #น้ำท่วมหาดใหญ่ #หาดใหญ่ #TheMATTER