“มันมีเลือดเต็มไปหมดทุกที่” นี่คือประโยคจากหนึ่งในผู้รอดชีวิต และเห็นเหตุกราดยิงที่เพิ่งเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศสหรัฐฯ
แม้แต่เมืองซึ่งขึ้นชื่อว่า ‘ปลอดภัย’ มากที่สุดในประเทศ ก็ยังไม่สามารถหลีกหนีเหตุกราดยิง ที่เป็นเหมือนเชื้อโรคความรุนแรงในสังคม ที่แผ่ขยายไปทั่วประเทศได้ กลายเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า ที่เกิดขึ้นเป็นข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่เมือง Thousand Oaks ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เจ้าหน้าที่ระบุว่า มือปืนชื่อว่า Ian David Long อายุ 28 ปีเป็นอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ได้บุกเข้าไปกราดยิงใส่ผู้คนภายใน Borderline Bar & Grill ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนชื่อดังของเมือง
รายงานระบุว่า มือปืนรายนี้ได้พกปืนชนิด .45 caliber บุกเข้าไปยิงใส่คนอย่างน้อย 12 คนในขณะที่ภายในบาร์กำลังจัดงาน ‘College Country Night’ ด้านเจ้าหน้าที่แถลงว่า ได้พบศพของมือปืนที่บริเวณทางเข้าของบาร์ และคาดว่าเขาน่าจะยิงตัวเองเสียชีวิต โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสืบหาแรงจูงใจในการก่อเหตุของเขา
“เขาเริ่มต้นยิงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ด้านนอก ก่อนจะเดินเข้าไปและยิงปืนใส่ผู้คนข้างในต่อ” นายอำเภอประจำเมืองเล่าให้กับนักข่าวฟัง รายงานยังระบุด้วยว่า ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มีจำนวนอย่างน้อย 12 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นซึ่งมีอายุระหว่าง 19-25 ปี
ก่อนหน้านี้เมือง Thousand Oaks ได้รับการประเมินจาก FBI ว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยมากที่สุดในสหรัฐฯ เนื่องจากมีการก่อเหตุความรุนแรงน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ
ตลอดหลายปีมานี้ เหตุกราดยิงในสหรัฐฯ ยังนับว่าเป็นปัญหาที่ทำร้ายสังคมสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลที่น่าเป็นกังวลคือ เหตุการณ์ยังขยายไปตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งค่อนข้างหลากหลาย เช่น เกิดในโบสถ์ คาสิโน งานคอนเสิร์ต โรงเรียน สำนักงาน โรงหนัง ตลอดจนสตูดิโอที่สอนโยคะ
ข้อถกเถียงหลักๆ ก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องการทบทวนรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขมาตรการควบคุมปืนในสหรัฐฯ รวมถึงข้อวิจารณ์ต่ออิทธิพลของ NRA (สมาคมไรเฟิล) สมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติที่มีต่อนักการเมืองอย่างเหนียวแน่น จนทำให้การแก้ไขเรื่องการครอบครองปืนเป็นไปได้ยาก
อ้างอิงจาก
https://edition.cnn.com/us/live-news/california-shooting-intl/index.html
#Brief #TheMATTER