“มันจะมีคำพูดหนึ่งว่า ทุกวันนี้เราเดินทางแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ‘ความรู้’ หรือ ‘ความรู้สึก’ มันต่างกันเนอะ
“PEACE SURVEY หัวใจสำคัญสำหรับมัน มันคือการเปลี่ยนความรู้สึกเป็นความรู้ ยังรู้สึกนะ เช่น รู้สึกไม่ปลอดภัย เราเอาความรู้สึกมาขยำรวมให้เป็นก้อนเดียวกัน ให้เห็นว่าประชาชนรู้สึกหรือคิดเห็นอย่างไร เพื่อที่ผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ จะได้หยิบไปพิจารณาในการแก้ไขปัญหา”
อ.สุวรา แก้วนุ้ย จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หรือ ม.อ.ปัตตานี พูดถึงวัตถุประสงค์ในการทำ PEACE SURVEY ของเครือข่ายนักวิชาการ ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2556 หลังการเจรจาสันติภาพ/สันติสุขถูกนำขึ้นมาอยู่ในที่สาธารณะ ในช่วงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และปัจจุบัน มีการจัดทำ PEACE SURVEY ไปแล้วถึง 6 ครั้ง คือในปี 2558, 2559, 2560, 2561, 2562 และปี 2564
อย่างที่เรารู้กันว่า ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จ.ยะลา จ.ปัตตานี จ.นราธิวาส รวมถึง 4 อำเภอใน จ.สงขลา) ซึ่งหากเริ่มนับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในปี 2547 ถึงปัจจุบัน จะดำเนินมาครบ 18 ปีแล้ว มีเหตุความรุนแรงอย่างน้อย 21,270 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7,305 คน และผู้บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 13,563 คน แม้สถิติเหตุความรุนแรงจะน้อยลงในช่วงหลัง แต่ก็ยังอยู่ในหลักหลายร้อยครั้งต่อปี (ข้อมูลจาก Deep South Watch)
เช่นนั้นแล้ว PEACE SURVEY คืออะไร ? และจะช่วยแก้ไขปัญหา ที่เรียกกันว่า ‘ไฟใต้’ ได้อย่างไร ?
อ.สุวราเล่าที่มาว่า เกิดจากการไปทบทวนงานวิจัยและข้อมูลพื้นที่ความขัดแย้งอื่นๆ บนโลกใบนี้ว่ามันมีทางออกไหนบ้าง โดยเฉพาะการรับฟังเสียงของประชาชนมาใช้ในการแก้ปัญหา ก่อนจะไปเจอ PEACE POLL ที่เคยใช้ในประเทศไอร์แลนด์ ตอนที่มีปัญหากับสหราชอาณาจักร
“ตอนแรกอยากทำ PEACE POLL แต่หลักของ ‘โพลล์’ กับการ ‘เซอร์เวย์’ มันจะต่างกันอยู่ เซอร์เวย์เนี่ยคำถามจะเยอะ พูดง่ายๆ เวลาใครทำวิจัยก็จะมีข้อคำถามเยอะแยะไปหมดหลายหน้า แต่โพลล์จะถามฟันธงเลยเช่นต้องการสิ่งนี้ๆ หรือไม่ ใช่-ไม่ใช่ yes กับ no เลย ไม่มีแบบ ‘ไม่แน่ใจ’ ซึ่งถ้าเราทำ PEACE POLL ตอนนั้น คงไม่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพราะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
“ประโยชน์ของ PEACE SURVEY คือ ปกติเวลาพูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้ง ก็จะมีเสียงจาก 2 ฝ่ายหลักๆ คือฝ่ายรัฐกับฝ่ายขบวนการ แต่ทำไมไม่ค่อยมีเสียงของประชาชนทั้งที่เป็นคนส่วนใหญ่ออกมาเลย เราจึงทำสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเริ่มพัฒนาตัวแบบสอบถามและกระบวนการในการสำรวจ พร้อมกับเชิญผู้เชี่ยวชาญ เช่น อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อ.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อ.สุริชัย หวันแก้ว อ.ฉันทนา บรรพศิริโชติหวัน อ.โคทม อารียา ฯลฯ มาให้คำปรึกษา นอกจากนี้ยังพยายามติดต่อกับผู้เกี่ยวข้องให้มาร่วมพัฒนาการสำรวจนี้ด้วย”
โดยจะมีวิธีสุ่มตัวอย่าง จากคนในพื้นที่อายุระหว่าง 18-70 ปี ในระดับหมู่บ้าน ตามระเบียบวิธีวิจัย เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่น่าจะสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จริงๆ
จากการทำ PEACE SURVEY ที่ผ่านมา ทั้ง 6 ครั้ง อ.สุวราสรุปข้อค้นพบน่าสนใจไว้ 2 ประการ
- ในช่วงแรก เมื่อถามถึงประเด็นความขัดแย้งโดยตรง เช่น สาเหตุ ผู้เกี่ยวข้อง กลุ่มตัวอย่างจะตอบว่า “ไม่รู้” “ไม่ตอบ” เยอะมาก ในการสำรวจครั้งที่ 1-2 แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กล้าให้คำตอบมากขึ้นเป็นขั้นบันได ในการสำรวจครั้งที่ 3-6
- ข้อเรียกร้องในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งจากกลุ่มตัวอย่าง ลำดับแรกๆ จะเป็นเรื่องของปากท้องและยาเสพติด สลับกันขึ้น-ลง ตามมาด้วยอัตลักษณ์ การศึกษา กระบวนการยุติธรรม การได้รับความเป็นธรรม ฯลฯ แสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่ได้บอกว่า ให้มา “หยุดยิงกันนะ” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องคิดถึงมิติอื่นๆ ด้วย
อ.สุวรา ในฐานะผู้ร่วมจัดทำ PEACE SURVEY ยังกล่าวขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่นำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนี้ ไปขยับเพื่อแก้ไขปัญหาหรือไปใช้ประกอบการพูดคุยเพื่อยุติปัญหาไฟใต้
“ข้อมูลจาก PEACE SURVEY มันจะช่วยดึงคนทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วม ทำให้เห็นความต้องการของคนในพื้นที่ เพราะถ้าแก้จากประสบการณ์ จากความรู้สึก มันจะอยู่ในรูปแบบเดิมๆ แต่ถ้าเรามีความเห็นที่หลากหลาย เห็นเฉดความแตกต่างมากขึ้น วิธีคิด ทางเลือก วิธีแก้ไขปัญหา มันก็จะกว้างขวางมากขึ้น
“แต่การจะหาทางออกจากความขัดแย้ง แค่ PEACE SURVEY อย่างเดียว คงไม่ใช่คำตอบ ยังมีอีกหลายๆ องค์ประกอบที่จะนำมาเป็นจิ๊กซอว์”
นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับ PEACE SURVEY อย่างคร่าวๆ ที่เราอยากเอามาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่ง ‘ไฟใต้’ จะถูกดับลง ด้วยข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ จากทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง
Photo by Fasai Sirichanthanun
– หมายเหตุ – ผลงานชิ้นนี้จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง THE MATTER กับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ภายใต้โครงการ Together เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ของภาคประชาสังคมในการทำงานร่วมกับภาครัฐ เนื้อหาของผลงานเป็นความรับผิดชอบของ THE MATTER และไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองของ USAID หรือรัฐบาลสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด