‘ตึก สตง. ถล่ม’ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เพราะแม้จะมีอาคารได้รับความเสียหายอยู่จำนวนไม่น้อย แต่จนถึงขณะนี้ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างก็เป็นเพียงอาคารเดียวเท่านั้นในกรุงเทพฯ ที่เสียหายรุนแรงจนถล่มทันที และพบผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย
ด้วยความเสียหายที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าไม่ปกติ และยังเป็นอาคารที่อยู่ภายใต้โครงการก่อสร้างของภาครัฐ ทำให้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมากว่า การก่อสร้างนั้นเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ และถึงที่สุดแล้ว คืออาคารแห่งนี้มี ‘การคอร์รัปชัน’ จนการก่อสร้างไม่สมบูรณ์หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนตั้งข้อสังเกตว่า เหล็กที่ใช้ก่อสร้างดูเหมือนจะเป็นเหล็กเก่าที่ไม่ได้มาตรฐาน
จนกว่าจะมีความชัดเจนในการตรวจสอบถึงมาตรฐานและคุณภาพของเหล็ก รวมถึงวัสดุก่อสร้างอื่นๆ และกระบวนการทำงาน The MATTER ชวนไปไล่เรียงเหตุการณ์ และสรุปข้อค้นพบเรื่องเหล็กที่ว่านี้กัน
- เมื่อเวลาประมาณ 13.25น. ของวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบเป็นแรงสั่นสะเทือน จากการเกิดแผ่นดินไหวจากศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา
- ระหว่างนั้น มีคนบันทึกภาพเหตุการณ์และแชร์ทางโซเชียลมีเดีย ปรากฏภาพตึกสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักร พังถล่มลงมาทั้งหมด โดยมีคนงานก่อสร้างรีบวิ่งหนีออกมาจำนวนหนึ่ง
- ภายหลังปรากฏว่า ตึกดังกล่า เป็นอาคารของ สตง. ที่กำลังก่อสร้าง ความสูง 30 ชั้น มูลค่างานก่อสร้าง 2,136 ล้านบาท
- เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เร่งเข้าช่วยเหลือค้นหาผู้ที่ติดอยู่ในอาคารทันที และยังคงดำเนินงานมาจนถึงวันนี้ (31 มีนาคม 2568)
- สตง. ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการนี้ ว่าเป็นโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการแห่งใหม่พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ 3 งาน บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
- อาคารนี้ถูกออกแบบโดยบริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ออกแบบด้วยวงเงิน 73 ล้านบาท
- กระบวนการก่อสร้างอาคาร สตง. ได้เสนอขออนุมัติงบประมาณรายการค่าก่อสร้าง เป็นจำนวนเงิน 2,560 ล้านบาท และได้รับการอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อมาได้ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้างตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
- ผู้ชนะการประกวดราคาในการมารับจ้างก่อสร้าง ได้แก่ กิจการร่วมค้า ไอทีดี – ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) รัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้เสนอราคารายต่ำสุด ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่ายมาแล้วทั้งสิ้น 22 งวด เป็นจำนวนเงินที่เบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 966.80 ล้านบาท
- ผู้ชนะการยื่นข้อเสนองานจ้างควบคุมงาน ได้แก่กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ จำกัด) ด้วยวงเงิน 74.65 ล้านบาท ซึ่งจะมีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างและรับรองการทดสอบคุณสมบัติของพัสดุในการก่อสร้างทุกรายการตามแบบรูปรายการ
- สตง. ยืนยันว่ากระบวนการดำเนินการก่อสร้างเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศฯ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และดำเนินโครงการตามหลักความสุจริต คุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้
- 30 มีนาคม 2568 เอกนัฏ พร้อมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้าเก็บซากเหล็กตึก สตง. ถล่มเป็นตัวอย่างเพื่อส่งตรวจสอบ
- จากการตรวจสอบ พบเหล็กทั้งหมด 6 ประเภท ทั้งเหล็กข้ออ้อย 12 มิลลิเมตร 3 อัน, เหล็กข้ออ้อย 16 มิลลิเมตร 3 อัน, เหล็กข้ออ้อย 20 มิลลิเมตร 3 อัน, เหล็กข้ออ้อย 25 มิลลิเมตร 3 อัน, เหล็กข้ออ้อย 32 มิลลิเมตร 4 อัน และ เหล็กกลม 2 อัน ขนาด 9 มิลลิเมตร
- ส่วนใหญ่มาจากผู้ผลิตรายเดียว แต่มีเหล็กบางประเภทที่มาจากผู้ผลิต 3 ยี่ห้อ
- สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย จะมีการตรวจสอบคุณภาพจากตัวอย่างเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง ในวันที่ 31 มีนาคม 2568
- พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการ รมว.อุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า จากการวิเคราะห์ตามแบบแปลนโครงสร้างตึกของ สตง. ที่กำลังก่อสร้าง มีความสูง 30 ชั้น คาดว่าต้องใช้เหล็กเส้นข้ออ้อย (ที่เป็นเส้นกลมมีบั้ง) คาดว่าขนาด DB16 DB20 DB25 เป็นหลักในการเสริมแรงโครงสร้างคอนกรีต โดยเฉพาะในส่วนของ เสา คานพื้น และฐานราก เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงอัด แรงดึง และแรงเฉือน
- ถ้าหากมีการใช้เหล็กเส้นข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เป็นไปตามหลักทางวิศวกรรม จะทำให้โครงสร้างเปราะและแตกหักง่าย เพราะส่วนประกอบของเหล็กที่มีสัดส่วนคาร์บอนหรือสัดส่วนโบรอน (ธาตุชุบแข็งเหล็ก) มากเกินไป ก็จะทำให้เหล็กมีความแข็งแต่เปราะ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือแรงกระแทกที่รุนแรง จะทำให้เหล็กหักเป็นท่อน ๆ แทนที่จะโค้งงอและดูดซับแรง ส่งผลให้โครงสร้างตึกถล่มลงมาได้
- หลังมีการเปิดเผยภาพตัวอย่างเหล็กบางส่วน บนโซเชียลมีเดียก็ได้มีการนำภาพลักษณะของเหล็กไปวิเคราะห์กันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ โดยจำนวนหนึ่งสังเกตว่าอาจเป็นเหล็กปลอม บ้างบอกว่าเหล็กดูเก่ามากทั้งที่อาคารยังก่อสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ
- เฟซบุ๊กเพจ Metallurgical Failure Analysis เพจแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับโลหะวิทยา ระบุว่า เหล็กเสริมคอนกรีตเป็นวัสดุสำคัญที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างคอนกรีต โดยปัจจุบันมีการใช้อยู่หลายประเภท ที่ได้รับความนิยมสูงคือ SD50 และ SD50T ซึ่งมีความแตกต่างในกระบวนการผลิตและความเหมาะสมในการใช้งาน
- จากภาพตัวอย่างเหล็กที่ใช้ เป็นชนิด SD50T ซึ่งถือว่าเหมาะกับโครงสร้างที่ต้องรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ แต่ที่สำคัญคือจะต้องมีการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิต รวมถึงต้องตรวจสอบโครงสร้างจุลภาคของเนื้อเหล็กด้วย ไม่เพียงแค่ทดสอบทางเคมีและทางกลเท่านั้น
- สำหรับการผลการตรวจสอบโดยละเอียดจากสมาบันเหล็กฯ จะได้รับทราบผลภายใน 18.00น. ของวันที่ 31 มีนาคม 2568 หลังการตรวจเสร็จสิ้น
- ข้อกังวลเรื่องเหล็กปลอม ส่วนหนึ่งมาการที่หนึ่งในบริษัทก่อสร้างเป็นบริษัทสัญชาติจีน ซึ่งปัจจุบันถือเป็นช่วงที่มีประเด็น ‘เหล็กปลอม’ จากจีนที่พบอยู่จำนวนไม่น้อย
- และหลังจากที่ตึก สตง. ถล่ม ยังพบว่า ในโซเชียลมีเดียของบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ยังลบข่าวและข้อมูลที่เคยประชาสัมพันธ์ออกจากช่องทางออนไลน์หมดเกลี้ยง
- พงศ์พลระบุเพิ่มเติมว่า รมว.อุตสาหกรรม ได้มีการเอาจริงเอาจังในการจัดการกับการผลิต นำเข้า จำหน่ายเหล็กไม่ได้มาตรฐาน มาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ เพราะถือว่าเป็นเหตุร้ายแรง ทำให้ชีวิตประชาชนเสียหาย โดยก่อนหน้านี้ได้ดำเนินคดีกับผู้ผลิตและจำหน่ายที่เป็นบริษัทร่วมจดทะเบียนและบริษัทต่างชาติ ไปแล้วรวม 7 ราย
- ยกตัวอย่างล่าสุด มีการสั่งปิดโรงงานผลิตเหล็กทุนข้ามชาติ เพราะไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และยังตรวจเจอสินค้าเหล็กเส้นข้ออ้อย SD 40 และ SD 50 ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ตาม มอก. 24-2559 ทดสอบโดยสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยด้วย จึงมีการสั่งลงโทษตามกฎหมาย เพื่อตัดต้นตอความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและอันตรายต่อประชาชน