กลุ่มก่อการร้ายใช้กลยุทธ์จิตวิทยาแยบยล เปลี่ยนคนเป็นเครื่องจักรสงคราม
Omar Mateen หนุ่มอเมริกันเชื้อสายอัฟกานิสถาน ควงอาวุธสงครามกราดยิงผู้คน 50 ชีวิต ใน ‘PULSE’ คลับดังของเมือง Orlando เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกานับตั้งแต่ 9/11
- ก่อนหน้านี้ เขาถูก FBI สวบสวนมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2013 และ 2014 เนื่องจากมีแนวโน้มพฤติกรรมที่ก่อความรุนแรง
- Omar Mateen โทรเรียกตำรวจเองในระหว่างก่อเหตุ
- เขาถูกสังหารในระหว่างจับกุม
- อดีตภรรยาบอกว่าเขามีอาการทางจิต และพ่อเขาบอกกับ FBI ว่า “ลูกชายเกลียดพวกรักร่วมเพศ”
- เหตุการณ์ทั้งหมดอ้างว่าทำเพื่อกลุ่ม ISIS
แม้ทางการสหรัฐฯกำลังขยายผลหาต้นตอเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ Orlando ว่าเชื่อมโยงกับกลุ่ม ISIS โดยตรงหรือไม่ และเป็นไปได้ไหมที่ Omar Mateen จะแค่ ‘ได้รับแรงบันดาลใจ’ จากกลุ่มก่อการร้ายนี้
แต่คำถามที่ชวนอภิปรายคือ ISIS ชี้นำคนหนุ่มสาวได้อย่างไร? อะไรที่ใช้ล่อลวงพวกเขา
‘ความทรงจำและอารมณ์’ อันไร้เหตุผลเจือปน คือกุญแจไขหัวใจคนหนุ่มสาว ซึ่งไม่มีขบวนการใดในโลกทำได้แนบเนียนมาก่อน
กระบวนการชักจูงหาแนวร่วมของ ISIS ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า กลุ่มก่อการร้ายใช้เทคนิคเชิงจิตวิทยาอันซับซ้อนและวางแผนมาอย่างดีในการโน้มน้าวใจคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ ISIS ใช้ขับเคลื่อนองค์กร คุณไม่จำเป็นต้องเป็นมุสลิม แต่ ISIS สามารถชักจูงผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์และยิวได้ดีเช่นกัน (มีสัดส่วนประมาณ 3%) ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นพวกเคร่งศาสนา และอีก 50% ก็ไม่ใช่พวกผู้อพยพลี้ภัย แต่เป็นชาวยุโรปโดยกำเนิดที่อาศัยในประเทศมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น และเพียง 30% เท่านั้นที่มาจากชนชั้นแรงงาน ซึ่งทำให้ 70% ของกองกำลัง ISIS ส่วนใหญ่มากจากชนชั้นกลางที่มีความมั่นอกมั่นใจในการใช้ตรรกะและเชื่อว่าหากสังคมจะเปลี่ยนได้ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน
แผนขั้นที่ 1 แยกพวกเขาออก
กลุ่มหัวรุนแรงจะแยกคนหนุ่มสาวออกจากสังคมที่พวกเขาอยู่ โดยใช้แรงจูงใจทางความเชื่อว่าพวกเขา ‘เป็นคนพิเศษ’ โดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อหลัก โน้มน้าวว่าพวกเขากำลังถูกสังคมที่กำลังอาศัยหลอกลวงและเต็มไปด้วยคำโกหก ความปลอดภัยทางอาหาร ยารักษาโรค การให้วัคซีน ประวัติศาสตร์สังคม ล้วนเป็นเรื่องแต่งมอมเมาผู้คน ผู้ชักจูงจะคอยสอดแทรกความจริง (ในแบบของ ISIS) คลายข้อสงสัย กระตุ้นให้วัยรุ่นพยายามสังเกต ตั้งคำถาม และจงสงสัยทุกอย่าง ISIS จะใช้ทฤษฏีสมคบคิดเพื่ออธิบายว่าปรากฏการณ์ของโลกอยู่ในเงื้อมมือของ กลุ่ม Freemason และ Iluminati ซึ่งเป็นองค์กรที่เลวร้ายกว่า
ISIS ใช้คุณสมบัติของ ‘Hyperlink’ ในการหลอกล่อให้วัยรุ่นกดดูข้อมูลที่แอบแฝงเรื่อยๆ เสมือนเป็นนักสืบที่ต้องคอยปะติดปะต่อเรื่องราว กลุ่ม ISIS มักหยิบเรื่อง The Matrix มาเป็นตัวอย่าง โดยตัวละครเอก Neo คือ ‘ผู้รู้-ผู้ตื่น’ จากโลกเสมือนและค้นพบพลังที่แอบซ่อนในตัวเอง หรือคุณจะนอนต่อไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้
ISIS ไม่ใช้วิธีบังคับ แต่เล่นกับคำถาม Yes or No ที่วัยรุ่นคิดว่าจะเข้ามาเลือกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เป็นการผูกมัด ในขั้นนี้หนุ่มสาวมีแนวโน้มจะเริ่มพบปะเพื่อนฝูงน้อยลง เพราะคิดว่าเพื่อนๆ นั้น ‘โง่’ และเมามายกับสังคมจอมปลอม งานอดิเรกที่เคยทำประจำก็ลดลง เพราะการทำอย่างอื่นจะทำให้เสียสมาธิ และเสียโอกาสเป็นส่วนร่วมในพลังปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่
แผนขั้นที่ 2 อิสลามที่แท้จริงจะทำให้พวกเขาตื่น
ผู้ชักจูงจะหว่านล้อมวัยรุ่นที่มีแนวโน้มให้ศรัทธา ‘อิสลามที่แท้จริง’ จะทำให้ตาสว่าง พวกเขาจะถูกแต่งตั้งให้เป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ ทำให้ต้องมีรูปลักษณ์ใหม่ ตัวตนใหม่ โดยต้องหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เข้ากับกลุ่ม และลบตัวตนเดิมทิ้ง บีบให้คนหนุ่มสาวต้องลาจากครอบครัวและสังคมที่เขาเคยรู้จัก จากนั้น ISIS จะใช้อารมณ์และความทรงจำในอดีตในการชักจูง ความผิดพลาดในอดีตแก้ไขได้ด้วยการอุทิศตัว หากใครนึกถึงครอบครัวและพ่อแม่ให้คลายกังวลด้วยการท่องคำสอนของศาสดาแทน
แน่นอน ISIS บิดเบือนคำสอนทางศาสนาอย่างร้ายกาจ ป้ายความผิดไปที่อิสลาม และมักใช้เป็นข้ออ้างในการแสดงออกที่รุนแรง เพราะ ISIS รู้ดีว่าศาสนาเป็นสิ่งบอบบางที่สุดของมนุษย์
แผนขั้นที่ 3 จงรักษาความบริสุทธิ์ของขบวนการ
เมื่อแนวร่วมเข้าถึงขั้นนี้ ผู้ชักจูงส่วนใหญ่จะถือว่าทำสำเร็จแล้ว 80% และน้อยคนจะหันหลังกลับ หนุ่มสาวจะถูกแต่งตั้งให้มีตัวตนและชื่อเรียกภาษาอาหรับที่มีความหมาย พวกเขาต้องปฏิบัติตัวตามวิถีอย่างเคร่งครัด การรักษา ‘ความบริสุทธิ์ของเจตจำนง’ ขบวนการถือเป็นหัวใจและมิอาจถูกบิดเบือน ดังนั้นพวกเขาต้องห้ามนำความเชื่อเก่าอันโสมมาปะปน หนุ่มสาวต้องตัดขาดจากครอบครัวอย่างถาวร และเริ่มติดต่อกับแนวร่วมคนอื่นๆ
แผนขั้นที่ 4 ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์
หนุ่มสาวแนวร่วม ISIS จะคิดว่าพวกเขาเหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ เพราะพวกเขาเข้าถึง ‘ความจริงอันเที่ยงแท้’ และมนุษย์คนอื่นไม่มีค่าพอจะเป็นมนุษย์ เป็นเพียงตัวเบี้ยที่สังคมวางไว้ ดังนั้นกลุ่ม ISIS แนะนำให้ทำภารกิจ ‘ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์’ (Dehumanization) โดยการฆ่า และการฆ่าคนเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นอาชญากร หากแต่เป็นหน้าที่ด้วยซ้ำ ISIS จะสนับสนุนวิธีการสังหารเหยื่อทีละมากๆ และกำชับให้แนวร่วมทั้งหลายประกาศต่อสาธารณะว่าทำตามเจตจำนงของ ISIS
คน 3 ประเภทที่มักถูก ISIS ชักจูงให้ร่วมขบวนการมากที่สุด
- Profile – เคยถูกทารุณกรรม
หญิงสาวที่เคยมีประสบการณ์ถูกข่มขืนและทารุณกรรมในวัยเด็ก มักถูกผู้ชักจูงโน้มน้าวว่า พวกเธอจะได้แต่งงานกับ เจ้าชายหนุ่มรูปงาม ที่ถืออาวุธ Kalashnikov (ปืน AK) และ จะได้สวมนิกาบ (Niqab) หรือผ้าที่ปกปิดใบหน้าจนถึงเท้า โดยไม่มีชายใดมารังแกเธอได้อีก ซึ่งคาดว่า 70 % ของผู้หญิงที่ร่วมกับ ISIS มักเคยมีประวัติถูกทารุณกรรม
- Profile – รู้สึกผิด
ISIS จะเล่นงานกับความรู้สึกผิดและสำนึกบาป มีกรณีว่าสาววัยรุ่นได้รับการเชื้อเชิญให้ร่วมสนทนากับ ‘เพื่อน’ หลังจากเธอเคยมีประวัติประสบอุบัติเหตุพร้อมกับพี่ชายในวัยเด็ก ซึ่งเธอเป็นคนเดียวที่รอดในเหตุการณ์ ผู้ชักจูงบอกว่า แท้จริงแล้วเธอนั้นควรจะตายไปแล้ว แต่มีชีวิตอยู่เพื่อทำภารกิจสุดท้าย ผู้ชักจูงหว่านล้อมให้เธอ ‘ระเบิดพลีชีพ’ โดยการนำระเบิดมาติดกับสายรัดตัว ซึ่งเธอจะสามารถพบกับพี่ชายบนสรวงสวรรค์ในเวลาไม่กี่วินาที
- Profile – มีมนุษยธรรม
แม้คนที่มีจิตใจเมตตาก็ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย สาวนางหนึ่งมีความประสงค์ร่วมขบวนการ ISIS เพื่อทำหน้าที่ ‘พยาบาล’ ในประเทศบูร์กินาฟาโซ หลังจาก Facebook ของเธอเต็มไปด้วยภาพสลดของเด็กในซีเรีย ภาพ การเห็นความสูญเสียทำให้เธอเคียดแค้น และร่วมวางแผนการก่อการร้าย เพราะคิดว่านั้นสามารถช่วยหยุดยั้งการสูญเสียของเด็กๆ ได้
เมื่อวัยรุ่นบอบบาง พวกเขาจึงถูกชักจูงง่าย
ที่น่ากลัวคือ ISIS รู้วิธีการสื่อสารกับพวกเขามากกว่าพ่อแม่แท้ๆ เสียอีก
อ้างอิงข้อมูลจาก
Looking for the roots of terrorism
Escaping Radicalism : Dounia Bouzar Scientific American Mind May/June 2016