ดึ๊งดึง! ดึ๊งดึง!
เป็นอีกครั้งที่คุณเห็นสติ๊กเกอร์ของเพื่อนแล้วพบว่าเฮ้ย น่ารักจัง หรือหูย กวนโคตร จนอดไม่ได้ที่จะซื้อตาม (ก็มันแค่ 30 บาทบ้าง 60 บาทบ้าง ไม่แพงเมื่อแลกกับความเซอร์ไพรส์ที่เพื่อนคนต่อไปจะได้เห็น)
ปัจจุบันไม่น่าเชื่อว่าเจ้ารูปเล็กๆ พวกนี้จะสร้างธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านบาทได้ ก่อนหน้านี้ อาชีพวาดสติ๊กเกอร์ขายอาจเป็นอาชีพในมุมเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจ แต่ตอนนี้รู้ไหมว่ามันเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ดี (มากๆ!) หากคุณทำมันอย่างตั้งใจ
และก็เหมือนทุกเรื่องนั่นแหละ, โชคก็เป็นส่วนประกอบหน่ึงที่มองข้ามไม่ได้!
The MATTER มีโอกาสได้รับเชิญจาก LINE แพลตฟอร์มแชตชื่อดัง บินตรงไปญี่ปุ่นร่วมกับสื่ออื่นๆ และนักวาดสติ๊กเกอร์จากไทยอีก 10 ท่าน เพื่อร่วมเรียนรู้เรื่องการสร้างสติ๊กเกอร์ให้ดี ให้เจ๋ง ให้ขายได้ จากเหล่าครีเอเตอร์ญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จ และได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหาร LINE ว่าทิศทางของธุรกิจสติ๊กเกอร์จะเป็นอย่างไรต่อไป มีหลายข้อมูลน่าสนใจมาเล่าให้ฟังกัน เผื่อว่าใครกำลังคิดจะวาดสติ๊กเกอร์ขายอยู่ ทิปเทคนิคหรือข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นไกด์ไลน์เล็กๆ น้อยๆ ให้คำนึงถึงตอนที่จรดปากกาวาคอม!
ออฟฟิศสุดคิ้วต์
สำหรับทริปนี้เป็นทริปสำหรับผู้ชนะการประกวดสติ๊กเกอร์ของไลน์ประเทศไทย ประจำปี 2017 (LINE Creators Sticker Contest 2017) โดยมีผู้ชนะ 10 คน จากผู้ส่งประกวดทั้งหมด 885 ผลงาน การประกวดครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “Express your love via LINE” โดยแบ่งผู้ชนะเป็นประเภทสติ๊กเกอร์เคลื่อนไหว เช่น สติ๊กเกอร์ชุด Love Your Body หรือสติ๊กเกอร์ชุด “เพื่อนผมไม่กล้าครับ” และสติ๊กเกอร์ภาพนิ่ง เช่น สติ๊กเกอร์ชุด “Food ทัก” หรือสติ๊กเกอร์ชุด “ข่อยเหมียว”
รางวัลของผู้ชนะทั้งสิบก็คือการได้มาทริปญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมชมออฟฟิศไลน์ ได้พบปะกับนักพัฒนาสติ๊กเกอร์ชาวญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จแล้ว รวมถึงได้ไป Usamaru Cafe คาเฟ่แบบป๊อปอัพของคาแรกเตอร์สติ๊กเกอร์ไลน์ที่โด่งดังด้วย
ออฟฟิศของ LINE ญี่ปุ่นอยู่ที่ตึก NEWoMAN ในย่านชินจูกุ อยู่ชั้น 23 ปกติแล้วเขาบอกว่าไม่ค่อยเปิดให้ใครเข้านอกจากมีงานพิเศษ อย่างพาร์ตเนอร์บริษัทต่างๆ จะขอเข้ามาเยี่ยมเฉยๆ ก็ไม่ค่อยได้นะ ต้องนัดเป็นเรื่องเป็นราว บริเวณออฟฟิศก็เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์จาก LINE ที่เรารู้จักกันดี ทั้งหมีบราวน์ โคนี่ เจมส์ แซลลี่ และอื่นๆ หลบอยู่ตามมุมนั้นมุมนี้ให้แขกถ่ายรูปกันได้สนุกๆ เกร็ดน่าสนุกคือ เพิ่งรู้ว่าพนักงานออฟฟิศ LINE (ที่มีศัพท์เรียกว่า ‘Liner’) นี้จะมีสวัสดิการอาหารเช้าฟรี และมีหมอนวด 3-4 ท่าน ผลัดกันบริการในออฟฟิศเผื่อเมื่อยล้าด้วย
วาดสติ๊กเกอร์ยังไงให้ประสบความสำเร็จ
เมื่อพูดถึงหลักการออกแบบสติ๊กเกอร์ให้ประสบความสำเร็จ พรีเซนเตอร์จาก LINE บอกเป็นหลักการกว้างๆ ว่า จะต้องคำนึงถึงหลัก 3E คือ Easy to see (มองเห็นง่าย) Easy to use (ใช้ง่าย) และ Easy to remember (จดจำง่าย)
หลักการมองเห็นง่าย เช่น ตัวหนังสือจะต้องมีขนาดใหญ่พอ จะต้องคำนึงถึงการออกแบบเพื่อหน้าจอขนาดหลัก (เช่น ตัวละครที่มีรายละเอียดสูงอาจต้องทอนรายละเอียดบางส่วนออกเพื่อให้เข้าใจง่าย เห็นแล้วเข้าใจได้ทันที)
หลักการใช้ง่าย อาจเป็นสติ๊กเกอร์ที่ประกอบด้วยอารมณ์ที่ชัดเจน เห็นแล้วเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร เป็นอารมณ์ที่เป็นสากล
หลักการจดจำง่าย คือเป็นสติ๊กเกอร์ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง เห็นสองสามครั้งแล้วเกิดความรู้สึกแบบ ‘อ๋อ ไอ้ตัวนี้นี่เอง’ พอเห็นครั้งที่สามก็ซื้อเลยเป็นต้น
ข้อสังเกตเล็กๆ คือสติ๊กเกอร์ชุดที่ชนะรางวัลชุดที่เดินทางมานี้ (หรือหากจะพูดไป ก็คือสติ๊กเกอร์ที่มีแนวโน้มจะขายดีในไทย) มักจะเป็นสติ๊กเกอร์ที่มีกิมมิก หรือใช้การเล่นคำ เช่น สติ๊กเกอร์ชุด Love Your Body ก็ใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายมาเพื่อสื่อสาร (เช่น รักแร้ = รัก) หรือสติ๊กเกอร์ชุด “เพื่อนผมไม่กล้าครับ” ก็ใช้ตำแหน่งของข้อความมาเพื่อเป็นกิมมิก (เป็นรูปคนชี้ขึ้นไปด้านบน แล้วบอกว่า “คนนี้แอบชอบคุณครับ” นักออกแบบสติ๊กเกอร์ชุดนี้บอกว่า “เพราะว่าตัวเองเป็นคนชอบเสี้ยมว่าคนนั้นชอบคนนี้ เลยทำสติ๊กเกอร์ชุดนี้ขึ้นมาเพื่อสื่อสารอารมณ์แบบเดียวกัน”) สติ๊กเกอร์ชุด Food ทัก ก็ใช้กิมมิกคำไทยเช่นเดียวกัน เช่นใช้รูปกระเทียมดองประกอบกับคำข้างๆ ว่า “มาดองกันนะ”
ในเซสชั่นพูดคุยกับนักออกแบบสติ๊กเกอร์ญี่ปุ่น พวกเขายังตั้งข้อสังเกตอีกหลายประการที่น่าสนใจ เช่น พวกเขาคิดว่า ในแทบทุกตลาด สติ๊กเกอร์ที่ขายดีมักจะมีลักษณะคล้ายกัน คือมีลักษณะ “กลมๆ ขาว” (ลองดูตัวอย่างเช่น คาแรกเตอร์ของ Kanahei หรือคาแรกเตอร์ของ Usamaru รวมไปถึง Betakuma และของไทย เช่น ตัวกลม) นักออกแบบบางรายเน้นออกแบบสติ๊กเกอร์ที่ “มีอารมณ์แบบชัดเจนโผงผางมากๆ” ในขณะที่นักออกแบบบางรายเน้นความประหลาดใจของผู้รับเข้าว่า เช่น สติ๊กเกอร์ชุด “เนื้อสด” ที่ตัวนักออกแบบเองก็ยังบอกว่า “ผมยังงงๆ อยู่ว่าจะนิยามมันว่าเป็นคาแรกเตอร์ดีไหม”
ที่น่าสนใจอีกชุดคือสติ๊กเกอร์ชุดข้อความ ที่เป็นสติ๊กเกอร์เคลื่อนไหว พอส่งในครั้งแรก ผู้รับจะคิดว่าเป็นข้อความปกติ แต่สักพักมันจะเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ เช่น สั่น นักออกแบบบอกว่า การจะออกแบบสติ๊กเกอร์ชุดนี้ได้นั้นจะต้อง ‘เป๊ะ’ มาก ไม่งั้นจะไม่เหมือน ซึ่งก็มีการลองผิดลองถูกกันหลายครั้ง
นอกจากนั้น ผู้บริหารจาก LINE ก็ยังยอมรับว่า ในตอนนี้ พวกเขาเองก็ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้เป๊ะๆ ว่าต้องออกแบบสติ๊กเกอร์แบบไหนแล้วถึงจะฮิต (พอจะรู้แค่เลาๆ เท่านั้น) พวกเขาจึงบอกว่าความสำเร็จนั้นขึ้นกับ 50% ฝีมือ และ 50% ดวง
ตลาดขนาดยักษ์
LINE เปิดเผยว่าจากที่เปิดตัวโครงการให้นักออกแบบทั่วไปสามารถมาออกแบบสติ๊กเกอร์กับ LINE ได้ (ในนาม LINE Creators Market) นั้น จากเดิมที่มีนักออกแบบร่วมโครงการเพียง 10,000 คน ในปี 2015 ในปัจจุบันเดือนกันยายน ปี 2017 มีนักออกแบบลงทะเบียนแล้วมากกว่า 1,000,000 ราย ที่น่าสนใจมากๆ คือมี 200,000 รายมาจากเมืองไทย!
สำหรับมูลค่าตลาดนั้น LINE เปิดเผยว่ามียอดขายสติ๊กเกอร์ทั้งหมดสามปี (เฉพาะจาก Creator Market) มากถึง 47,000 ล้านเยน และหากวัดรายได้ของนักออกแบบสติ๊กเกอร์ Top 10 ของญี่ปุ่น ก็จะพบว่ามีรายได้มากถึง 530 ล้านเยนต่อคนโดยเฉลี่ย (159 ล้านบาท นับรวมสามปี) ทั้งนี้ยังไม่นับรายได้จากการแตกไลน์ไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่นสินค้า (แก้วน้ำ, แฟ้ม, ฯลฯ) ร้านอาหาร อนิเมชั่น หรือหนังสือ
ก่อนหน้านี้ Forbes เคยรายงานในปี 2014 ว่าสำหรับนักออกแบบที่มียอดต่ำกว่านั้นแล้วจะมีรายได้ลดลงมาบ้าง ในรายฉบับดังกล่าวอ้างอิงยอด “ระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม ถึง 7 พฤศจิกายน ปี 2014” ว่านักออกแบบ TOP 10 มียอดขาย $317,300 โดยเฉลี่ย ในขณะที่ TOP 30 จะตกลงมาเหลือ $203,300, TOP 100 $112,000, TOP 500 $39,600 และ TOP 1000 ที่ $23,200 (ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้คิดส่วนแบ่งที่ต้องหักให้ LINE 50%) หากคิดจากสัดส่วนนี้ก็หมายความว่านักออกแบบที่ติด TOP 1000 จะมีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่านักออกแบบ TOP 10 ราวๆ 12-15 เท่า (ซึ่งก็ถือว่ายังเป็นรายได้ที่มากอยู่ดี)
อ้างอิงข้อมูล www.forbes.com
สำหรับนักออกแบบชาวญี่ปุ่นที่มาให้ความรู้ทั้งหมดห้าราย มีรายหนึ่งที่บอกว่าในตอนนี้เขาประกอบอาชีพเป็นนักออกแบบสติ๊กเกอร์เต็มตัว โดยที่ไม่ต้องทำอาชีพอื่นเลย เมื่อนักข่าวถามว่าแล้ววันหนึ่งถ้าไม่ฮิตแล้วจะทำยังไง เขาก็บอกว่า ตอนนี้ยังคงความฮิตได้อยู่ ฉะนั้นก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรนัก ในขณะนักออกแบบรายอื่นๆ ยังทำอาชีพหลักอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นสายอาชีพที่ใกล้เคียงกับการออกแบบสติ๊กเกอร์ (เช่น ทำบริษัทพัฒนาเกม หรือบริษัทออกแบบคาแรกเตอร์)
ข้อสังเกตอีกจุดหนึ่งคือ มีนักออกแบบน้อยรายที่ทำสติ๊กเกอร์ชุดเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างเลย นักออกแบบส่วนใหญ่จะออกสติ๊กเกอร์หลักสิบชุดขึ้นไปทั้งสิ้น และมีนักออกแบบชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มาร่วมให้ความรู้ ที่ออกสติ๊กเกอร์มากถึง 300 ชุด
อนาคตของสติ๊กเกอร์ไทย
ปัจจุบันอย่างที่ทราบว่าคนไทยใช้ LINE เยอะมาก ถือเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับสองของ LINE ทั่วโลก (ผู้ใช้ประมาณ 83% ของจำนวนประชากรไทย จากการเปิดเผยต้นปี 2017) แวดวงสติ๊กเกอร์ไทยจึงเป็นตลาดที่ใหญ่ตามไปด้วย ในปัจจุบันมีคำบ่นของนักออกแบบสติ๊กเกอร์ไทยถึงขั้นตอนการอนุมัติสติ๊กเกอร์ที่ช้า (จนบางครั้งต้องรอถึงสองสามเดือนกว่าจะได้ขึ้นตลาด) อยู่บ้าง ซึ่งในเรื่องนี้ คุณกณพ ศุภมานพ หัวหน้าธุรกิจ B2C LINE ประเทศไทย ก็บอกว่า LINE ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการเพิ่มพนักงานชาวไทยที่ทำหน้าที่อนุมัติขึ้นเรื่อยๆ เพื่อการดำเนินการที่รวดเร็วขึ้น (แต่ปัจจุบันก็ยังต้องส่งให้ LINE ที่ญี่ปุ่นเป็นผู้อนุมัติอยู่ ออฟฟิศ LINE ประเทศไทยไม่สามารถอนุมัติเองได้)
หลายคนอาจสงสัยว่าสติ๊กเกอร์ LINE ถึงจุดอิ่มตัวหรือยัง (ผมเองก็สงสัย เพราะจากพฤติกรรมของตัวเอง ก็มีการซื้อสติ๊กเกอร์น้อยลงเรื่อยๆ หลังจากที่ในเครื่องมีสติ๊กเกอร์พอกินพอใช้ไปนานแล้ว ไม่ว่าจะแสดงอารมณ์ไหนก็มีสติ๊กเกอร์ไว้สื่อสาร) ในเรื่องนี้ ทั้งคุณกณพ และคุณนาโอโทโมะ วาตานาเบ้ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายธุรกิจสติ๊กเกอร์ของ LINE บอกว่า ยังไม่เห็นสัญญาณของการลดน้อยถอยลงของยอดขายสติ๊กเกอร์ และบอกว่าปัจจุบันรายได้จากการขายสติ๊กเกอร์ของ LINE ถือเป็นสัดส่วนราวๆ 20% ของรายได้ของ LINE ทั้งหมด
คุณกณพบอกว่า สาเหตุที่ยอดขายสติ๊กเกอร์ไม่ได้ลดลงอาจเป็นเพราะว่าไลน์พยายามออกผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เช่น สติ๊กเกอร์เคลื่อนไหวได้ สติ๊กเกอร์แบบป๊อปอัพ หรือสติ๊กเกอร์ที่มีเสียงเพลง ซึ่งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เหล่านี้อาจเป็นการกระตุ้นยอดขายโดยรวมไม่ให้ตกลงมากนัก
เมื่อถูกถามถึงเทรนด์ของสติ๊กเกอร์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย คุณกณพพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า ในญี่ปุ่น เราจะเห็นเทรนด์สติ๊กเกอร์แบบ Personalized คือสติ๊กเกอร์ที่มีชื่อคนอยู่ในรูปไปเลย มากขึ้น เช่น อาจเป็นสติ๊กเกอร์ภาพที่บอกว่า “ทาเคชิรออยู่นะ” หรือ “นาโอโกะงอนแล้วนะ” ซึ่งเทรนด์แบบนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นในไทยบ้างแล้ว โดยนักออกแบบอาจวาดภาพสติ๊กเกอร์เซตเดียว แล้วเปลี่ยนคำไปเรื่อยๆ ให้เข้ากับชื่อคน (ที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายใหญ่พอ, ชื่อโหล) เช่น มีสติ๊กเกอร์ “ส้มไม่คุยด้วยแล้ว” หรือ “แบงค์ไปก่อนนะ” ขึ้นมา ซึ่งเทรนด์นี้ก็น่าจะมีให้เห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
ทั้งหมดนี้คือโอกาสของนักออกแบบชาวไทยที่บางคนก็อาจเริ่มทำเป็นรายได้เสริม แต่จากตัวอย่างที่เราได้เห็นมาบ้างแล้ว, ไม่แน่นะ, ถ้าคุณฝีมือดี (และแน่นอน, ดวงดี!) มันก็อาจสร้างรายได้จนกลายมาเป็นอาชีพหลักของคุณก็ได้!