ตายไปกี่ตัวแล้ว? สำรวจแมพครบรึยัง?
ช่วงนี้เกมเมอร์หลายคนน่าจะกำลังกดปุ่มจนมือหงิกและหัวร้อนไปกับเกม Hollow Knight: Silksong (2025) ภาคต่อของเกมสไตล์ Metroidvania ที่แฟนเกมเฝ้ารอมานานกว่าเจ็ดปี
ตั้งแต่ที่เกม Metroid (1986) และ Castlevania: Symphony of the Night (1997) ได้ให้กำเนิดเกมแนว ‘Metroidvania’ ขึ้นมา เกมแนวนี้ก็ไม่เคยหายไปจากวงการเกมเลย แถมยังพัฒนาไปตามกาลเวลา
เหตุผลสำคัญคงเพราะเกมแนว Metroidvania มักเป็นสนามทดลองแรกๆ ของนักพัฒนาเกมอิสระและสตูดิโอเกมอินดี้อยู่เสมอ ด้วยแกนหลักของเกมที่มีพื้นฐานแสนจะเรียบง่ายอย่างการเติบโตของตัวละครและการสำรวจแผนที่ไม่เป็นเส้นตรง การต่อยอดให้เกมแนวนี้ยังสดใหม่สำหรับชาวเกมได้จึงเป็นการวัดกึ๋นของนักพัฒนาเกมดีๆ นี่เอง มันคือบททดสอบชั้นดีที่จะพิสูจน์ว่านักพัฒนาเกมมีความสามารถในการออกแบบเกม ความคิดสร้างสรรค์ การเขียนเนื้อเรื่อง และทักษะในงานภาพดีแค่ไหน
ครั้งนี้ The MATTER จึงขอพาไปรู้จักเกม Metroidvania ยุคใหม่จากผู้พัฒนาอินดี้หรือสตูดิโอขนาดเล็ก ซึ่งแต่ละเกมล้วนมีจุดเด่นที่เปิดทางให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ โดยที่ตัวเกมยังคงให้ประสบการณ์ของการสำรวจแผนที่ซับซ้อนและระบบพัฒนาตัวละครแบบเกม Metroidvania ไว้ครบถ้วน ใครเล่น Hollow Knight: Silksong (2025) แล้วยังรู้สึกไม่หนำใจ อยากให้ลองเล่นเกมที่จะพูดถึงหลังจากนี้ดู
Hollow Knight Series

ผู้เล่นบางคนอาจจะเริ่มรู้จักเกมซีรีส์ Hollow Knight จากภาค Silksong เป็นเกมแรก แต่ Silksong จะไม่ได้รับเสียงตอบรับอย่างทุกวันนี้หากไม่มี Hollow Knight (2017) เกมแรกเริ่มที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน
ในภาคแรก ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Knight อัศวินตัวน้อยที่มีศีรษะสีขาวคล้ายแมลง ดวงตากลมใหญ่ พร้อมอาวุธคล้ายดาบที่เรียกว่า Nail เป้าหมายของ Knight คือการเดินทางสำรวจทั่วอาณาจักร Hollownest ที่เคยรุ่งเรืองก่อนจะล่มสลาย เพื่อเปิดเผยความลับของโศกนาฏกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคระบาดที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
Hollow Knight คือผลงานของ Team Cherry สตูดิโอเกมอินดี้ขนาดเล็กจากออสเตรเลีย ตัวเกมใช้ภาพ 2D รายละเอียดสูงที่ อารี กิ๊บสัน (Ari Gibson) หนึ่งในดีไซเนอร์ของทีมผู้พัฒนาวาดเองกับมือ เสน่ห์ของเกมคือการเล่าเรื่องผ่านสภาพแวดล้อมของอาณาจักร Hollownest ผู้เล่นต้องปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองจากคำใบ้ บันทึก และบทสนทนาสั้นๆ อีกทั้งเกมยังมีโหมดการต่อสู้ที่ท้าทาย (และอาจจะตายเยอะ) แบบเกมแนว Souls-like
สำหรับใครที่อยากจะเริ่มเล่นจากภาค Silksong ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเล่นเกมภาคแรกมาก่อน เกมทั้งสองภาคสามารถเล่นแยกกันได้ อยู่ที่ว่าผู้เล่นอยากจะปาดเหงื่อกับเกมภาคไหนก่อน
Ori Series

การเสียสละ ความรัก ความหวัง และการฟื้นฟูโลกที่พังทลายคือธีมหลักของเกมซีรีส์นี้ ในภาคแรก Ori and the Blind Forest (2015) คือเรื่องราวการผจญภัยของวิญญาณผู้พิทักษ์ Ori ที่ต้องการฟื้นฟูสมดุลให้ป่า Nibel ที่กำลังจะตายลงและถูกปกคลุมด้วยความมืด ต่อมาในภาค Ori and the Will of the Wisp (2020) ตัวเอกของเราได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งใหม่เพื่อตามหาเพื่อนที่พลัดหลงกัน
เกมซีรีส์ Ori ขึ้นชื่อเรื่องงานภาพที่สวยงาม ด้วยการเลือกใช้สีที่มีเอฟเฟ็กต์สว่างไสว การออกแบบแสงและเงา และเทคนิคการสร้างความตื้น-ลึก (parallax scrolling) ให้กับฉากหลังที่วาดด้วยมือ มาพร้อมกับดนตรีประกอบที่ช่วยขับเน้นการเล่าเรื่องให้ทรงพลังยิ่งขึ้น แม้เกมนี้จะพัฒนาโดยสตูดิโอเกมเล็กๆ ชื่อ Moon Studios แต่เหตุผลที่ทำให้ตัวเกมออกมาคุณภาพดีขนาดนี้ได้ก็คงต้องยกเครดิตให้กับพี่ใหญ่ Microsoft Studios ที่คอยดันหลังให้การสนับสนุน
CARRION

โดยปกติเกมแนว Metroidvania มักมอบหมายให้ผู้เล่นรับบทเป็นตัวละครที่ต้องหนีเอาตัวรอดหรือมีภารกิจกู้โลก แต่ใน CARRION (2020) ผู้เล่นคือผู้ล่า (reverse horror) คุณจะได้ควบคุมสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อสีแดงที่ถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองใต้ดิน และต้องหาทางออกจากที่แห่งนั้นโดยการกินและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ การกินจะทำให้สัตว์ประหลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และหน้ากลัวมากขึ้น ระหว่างการเล่นผู้เล่นจะได้รับทักษะใหม่ๆ เช่น การพรางตัว การยืดเส้นใยร่างกายเพื่อกินเหยื่อ
CARRION เหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่เตรียมพร้อมรับมือความรุนแรง ทนไหวกับการเห็นเลือดสาดกระเซ็น โชคดีหน่อยที่ Phobia Game Studio ผู้พัฒนาเกมนี้เลือกใช้กราฟิกแบบพิกเซลอาร์ตสองมิติ ที่พอจะช่วยบรรเทาความโหดร้ายลงไปได้บ้าง ใครเบื่อการเล่นเป็นฮีโร่ ลองเล่นเกมนี้ดู
Dead Cells

ความน่าสนใจของ Dead Cells (2018) คือการผสมผสานระหว่างเกมแนว Roguelike กับ Metroidvania จนได้เป็นเกมแนวใหม่ที่เรียกว่า ‘Roguevania’ เกมแนวนี้จึงมีทั้งความสนุกจากการสำรวจแผนที่ มีระบบปลดล็อกความสามารถที่ทำให้ผู้เล่นไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ได้ และดึงดูดให้เล่นซ้ำเพื่ออัพเกรดตัวละครให้เก่งขึ้น
Dead Cells เป็นเกมที่พัฒนาโดย Motion Twin สตูดิโอเกมอินดี้จากฝรั่งเศส ทีมผู้พัฒนาออกแบบเกมด้วยการใช้กราฟิกแบบพิกเซลอาร์ต สีสันสดใสและการเคลื่อนไหวที่ไหลลื่น ตัวเอกของเกมคือ The Prisoner นักโทษที่ตื่นขึ้นมาในคุกใต้ดินและต้องพยายามหาทางหลบหนี แต่การจะหนีนั้นไม่ง่าย กว่าตัวเอกของเราจะเก่งขึ้นจนหนีรอดได้ คงต้องตายซ้ำตายซ้อนไปหลายรอบ
ANIMAL WELL

คุณคือก้อนกลมสีเหลืองที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาในโลกที่แปลกประหลาดและซับซ้อน ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านี่คือโลกใต้ดินหรือเปล่า หลังเริ่มเดินสำรวจได้ไม่นาน คุณพบเจอทั้งสะพาน บันได ทางลับ และปริศนามากมาย มีสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่อาศัยอยู่ที่นี่ บางตัวก็ดูเป็นมิตรดี แต่บางตัวกลับมีพฤติกรรมเหมือนจ้องจะทำร้าย โดยเฉพาะเจ้าวิญญาณแมวสีขาวตัวใหญ่ มันลอยไปลอยมา แถมยังตามคุณไปทุกที
ANIMAL WELL (2024) เป็นเกมแนว Metroidvania ที่น่ารัก ตัวเกมเน้นการสำรวจและการหาไอเท็มใหม่ๆ มาใช้แก้ปริศนาเป็นหลัก การเผชิญหน้ากับศัตรูมีอยู่บ้างก็จริง แต่ส่วนใหญ่จะรับมือด้วยการหลีกเลี่ยงหรือหนีเอาตัวรอดเสียมากกว่า ANIMAL WELL มีเสน่ห์ตรงการเลือกใช้ภาพกราฟิกแบบพิกเซลอาร์ตชวนหลงใหล ประกอบกับเสียงเกมที่เหมือนพาผู้เล่นไปอยู่ในธรรมชาติอันเงียบสงบ คล้ายกับจะบอกใบ้ให้ผู้เล่นว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
น่าเหลือเชื่อว่า บิลลี บาสโซ (Billy Basso) สร้างเกมนี้ขึ้นมาด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว ภายใต้บริษัทชื่อ Shared Memory และไม่ใช่แค่นั้น เกมนี้ยังได้ Bigmode มาร่วมเป็นผู้จัดจำหน่าย ซึ่งหากใครไม่รู้จักมาก่อน Bigmode คือบริษัทที่ก่อตั้งโดย เจสัน แกสโตรว์ (Jason Gastrow) และภรรยา แกสโตรว์คือยูทูบเบอร์ดังที่คนรู้จักกันในชื่อ videogamedunkey
Blasphemous series

เรื่องราวเริ่มต้นในโลก Cvstodia ดินแดนที่เทพเจ้าสาปแช่งด้วย ‘Miracle’ (ปาฏิหาริย์) ความสยดสยองแผ่ปกคลุมดินแดนแห่งนี้ คุณคืออัศวินผู้เงียบงัน ‘The Penitent One’ (ผู้สำนึกบาป) สมาชิกคนสุดท้ายของกลุ่ม Brotherhood of the Silent Sorrow ที่สวมหมวกหนามแหลมคมอยู่บนศรีษะ หนทางแห่งการไถ่บาปของคุณคือการออกเดินทางต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่บิดเบี้ยวเพื่อลบล้าง Miracle
เกมซีรีส์ Blasphemous เหมาะกับชาวเกมสายโหด ทั้งในแง่ของระบบการต่อสู้ รวมถึงเนื้อเรื่องของเกมที่มีความลึกและเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับศาสนา จุดขายของเกมคืองานภาพแบบพิกเซลอาร์ตสองมิติ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาคริสต์ในยุคกลาง ให้บรรยากาศมืดมนและน่ากลัวคล้ายกับหลุดมาจากภาพศิลปะของ ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya)
เกมซีรีส์นี้มีอยู่ด้วยกันสองภาค ได้แก่ Blasphemous (2019) และ Blasphemous 2 (2023) เป็นผลงานที่ The Game Kitchen สตูดิโอเกมจากสเปนที่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนผ่านแคมเปญ Kickstarter
Nine Sols

ลองนึกภาพศิลปะจีนโบราณที่หลอมรวมเข้ากับบรรยากาศ sci-fi จินตนาการที่ได้ออกมาคงจะคล้ายกับภาพในเกม Nine Sols (2024) ในเกมนี้ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็น Yi นักรบชาวโซลาเรียนที่มีรูปร่างคล้ายแมว และต้องผจญภัยในโลกที่จะได้พบเจอทั้งสิ่งมีชีวิตโบราณลึกลับ และเทคโนโลยีขั้นสูง
Red Candle Games ผู้พัฒนาเกมอธิบายว่า Nine Sols เป็นเกมที่ออกแบบโดยอ้างอิงจากลัทธิเต๋าและความเป็นไซเบอร์พังก์ ผลลัพธ์คือเกมแนวใหม่ที่เรียกว่า ‘Taopunk’ ระบบการต่อสู้ถือเป็นจุดเด่นของตัวเกม โดยเฉพาะการ parry ที่ปัดป้องการโจมตีของคู่ต่อสู้ด้วยศิลปะการต่อสู้แบบจีน ใครอยากรำดาบ ใช้พลังปราณเท่ๆ ปราบศัตรู เกม Nine Sols นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
Axiom Verge Series

หากคิดถึงเกมที่มีภาพแบบพิกเซลอาร์ตสไตล์เรโทรสไตล์ 16-bit / 8-bit เกมซีรีส์ Axiom Verge คือคำตอบ
เกมซีรีส์ Axiom Verge เป็นผลงานที่ให้ความเคารพเกม Metroid อย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะในแง่การออกแบบ งานภาพ และดนตรีประกอบ ตัวเกมเกือบทั้งหมดสร้างขึ้นด้วยฝีมือของคนเพียงคนเดียวคือ โทมัส แฮปป์ (Thomas Happ) ในเกมผู้เล่นจะรับบทเป็น Trace นักวิทยาศาสตร์ที่ตื่นขึ้นมาในโลกต่างดาว ความสนุกของเกมคือการได้สำรวจไบโอมใหม่ๆ และที่ไม่พูดไม่ได้คือกลไกเกมสุดเจ๋งจากอุปกรณ์สุดแปลกอย่าง Glitch ที่ทำให้ศัตรูและสิ่งแวดล้อมในเกมเกิดความผิดปกติบางอย่าง เพื่อเปิดทางไปต่อ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าผู้เล่นสามารถ ‘แฮก’ โลกในเกมได้
เกมมีออกมาให้เล่นแล้วสองภาค คือ Axiom Verge (2015) และ Axiom Verge 2 (2022) ในขณะนี้แฟนเกมต่างใจจดใจจ่ออยู่กับการเฝ้ารอภาคต่อ Axiom Verge 3
อ้างอิงจาก