ปี ค.ศ.2021 นี้ สำหรับแฟนๆ อนิเมะที่อยากรับชมภาพยนตร์ดีๆ ก็มีอะไรน่าติดตามกันหลายเรื่อง ไฮไลท์ที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมาก็คงไม่พ้น ภาพยนตร์ Evangelion: 3.0+1.0 Thrice Upon a Time กับ ภาพยนตร์ Mobile Suit Gundam: Hathaway
เรื่องแรกนั้นถือว่าเป็น ‘ตอนจบ’ ของภาพยนตร์ชุด Rebuild Of Evangelion ที่เล่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเทวทูต กับเรื่องราวของเหล่านักบินวัยรุ่นที่ยังจิตใจไม่มั่นคง แต่ต้องขับหุ่นยักษ์และกลายเป็นผู้กุมชะตากรรมของมนุษย์
ส่วนเรื่องหลังเดิมทีเป็นนิยายที่ตีพิมพ์ในช่วงปี ค.ศ.1989 – 1990 และถือว่าเป็นเรื่องราวภาคต่อในจักรวาล Gundam และมีความเชื่อมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นการยากที่จะดัดแปลงเป็นอนิเมะ แต่สุดท้ายก็ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบไตรภาค
และแฟนอนิเมะนอกประเทศญี่ปุ่นต่างเฝ้ารอคอยกันด้วยใจระทึก เพราะภาพยนตร์ทั้งของฝั่ง Evangelion และฝั่ง Gundam มีการเข้าฉายในหลายประเทศมาก่อนแล้ว ดังนั้นภาพยนตร์ภาคต่อก็ไม่น่าจะเป็นอะไรที่ต้องลุ้นเท่าใดนัก… ใช่ไหม
น่าเสียดายที่คำตอบจากคำถามเมื่อสักครู่นั้นคือไม่ใช่ เมื่อ Mobile Suit Gundam Hathaway ประกาศลงฉายทาง Netflix ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ปี ค.ศ.2021 ส่วนตัวภาพยนตร์ Evangelion: 3.0+1.0 Thrice Upon a Time แจ้งข้อมูลไว้ว่าจะออกฉายทาง Amazon Prime Video ในวันที่ 10 สิงหาคม ปี ค.ศ.2021
แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เจ้าของสิทธิ์ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องที่ทำรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท ถึงตัดสินใจนำเอาภาพยนตร์ที่จะสามารถสร้างเงินได้มากกว่านี้หากเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อื่นๆ ทั่วโลก ลงฉายผ่านช่องทางสตรีมมิ่งออนไลน์เพียงอย่างเดียว?
เทรนด์ภาพยนตร์อนิเมะกำลังมา… ในจังหวะที่ไม่ดี
ก่อนอื่นคงต้องไล่เรียงกันก่อนว่า เทรนด์ของภาพยนตร์อนิเมะนั้นมาแรงในระดับนานาชาติมาระยะหนึ่งแล้ว และในปี ค.ศ.2020 ที่ผ่านมาภาพยนตร์อนิเมะ ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้มากที่สุดของโลก และตัวภาพยนตร์ยังยิงยาวฉายมาจนถึงช่วงกลางปี ค.ศ.2021
อย่างไรก็ตาม การที่รายได้ภาพยนตร์อนิเมะที่สูงขึ้นนั้น เพราะโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ปิดทำการ หรือ เปิดให้บริการแบบลดจำนวนผู้ชมสูงสุดต่อโรง เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 ซึ่งตัว ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ ได้เข้าฉายในช่วงปลายปี ค.ศ.2020 และเป็นจังหวะที่สถานการณ์หลายแห่งทั่วโลกอยู่ในช่วงผ่อนคลาย ทั้งยังเป็นผลงานที่ได้รับการจับตามาตั้งแต่ก่อนหน้า ตัวภาพยนตร์อนิเมะดังกล่าวจึงทำรายได้สูงกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในปี ค.ศ.2020 อย่างชัดเจน แต่ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่มีความไม่แน่ไม่นอน ทำให้ภายนตร์หลายเรื่องที่ตัดสินใจเลื่อนฉายไปเป็นปี ค.ศ.2021
ซึ่งตัวภาพยนตร์ Evangelion: 3.0+1.0 Thrice Upon a Time และ Mobile Suit Gundam Hathaway เดิมทีก็มีกำหนดเข้าฉายในช่วงปี ค.ศ.2020 ก่อนจะตัดสินใจเลื่อนไปฉายในปีถัดไป เพราะเห็นแล้วว่าสภาวะการณ์ในช่วงกลางปี ค.ศ.2020 ที่เป็นกำหนดฉายเดิมของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง น่าจะไม่มีประเทศไหนบนโลกมีคนออกไปรับชมภาพยนตร์ในโรงกันอย่างอู้ฟู่ การเลื่อนฉายเพื่อโอกาสทางการตลาดที่ดีขึ้นจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
และการตัดสินใจดังกล่าวก็ออกผลดี เมื่อภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องออกฉายในช่วงต้นปี-กลางปี ค.ศ.2021 ทั้งผู้ชม ทั้งนักวิจารณ์ต่างก็ชื่นชอบภาพยนตร์ทื้งสองเรื่อง และตัวภาพยนตร์ก็ทำรายได้ดีอยู่ไม่น้อย ตัวภาพยนตร์ Evangelion: 3.0+1.0 Thrice Upon a Time ทำรายได้ในบ้านเกิดสูงถึง 10,000 ล้านเยน (หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท) ในช่วงการฉาย 127 วัน ส่วนภาพยนตร์ Mobile Suit Gundam Hathaway ทำรายได้ประมาณ 1,745 ล้านเยน (หรือประมาณ 500 ล้านบาท) จากการฉายประมาณ 30 วัน
ถ้าเป็นโลกในสภาพปกติ ทีมงานของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องคงเตรียมการนำภาพยนตร์ไปเข้าตลาดแล้วขายสิทธิ์การฉายให้ประเทศอื่นๆ ต่อกันเรียบร้อยแล้ว และประเทศที่ซื้อสิทธิ์ไปคงคิดกันว่าจะจัดอีเวนท์ท่าไหนรอกันเลย
แต่…เราอยู่ในโลกที่ไวรัส COVID-19 แพร่กระจาย จึงมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากมายนำทางไปก่อนแล้ว
โรคเปลี่ยน-โลกเปลี่ยน-คนเปลี่ยน
ปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี ค.ศ.2019 ทำให้การใช้ชีวิตของคนทั้งโลกเปลี่ยนไปในระดับ ‘หน้ามือ-หลังเท้า’ ไม่เว้นแม้แต่ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในด้าน ผู้สร้าง, ผู้ฉาย และ ผู้ชม
ในฝั่งผู้สร้างภาพยนตร์ถ้าไม่ตัดสินใจเลื่อนฉายภาพยนตร์ไปหนึ่งปี (อย่างที่ภาพยนตร์อนิเมะสองเรื่องที่เรากล่าวถึงข้างต้น) ก็จะเป็น การตัดสินใจลงฉายบนแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง ควบไปกับการเข้าฉายทางโรงภาพยนตร์ในประเทศที่สถานการณ์ปลอดภัยอยู่ และยังมีส่วนน้อยที่ยังให้ภาพยนตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เพียงช่องทางเดียวอย่างห้าวหาญอยู่บ้างเช่นกัน
อีกฝั่งที่มีการปรับตัวเยอะ ก็จะเป็นฝั่งของผู้ฉาย โดยเฉพาะในภาคแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งก็เป็นการปรับตัวตามผู้คนที่อาศัยอยู่กับบ้านเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวเปิดตัวของแพลตฟอร์มจากผู้สร้างภาพยนตร์เจ้าใหญ่ถึงสองเจ้า นั่นก็คือ HBO Max กับ Disney+ ที่ต่างก็ตัดสินใจใช้แผนการดึงหนังดังในสังกัดตัวเองมาฉายบนแพลตฟอร์มชนกับวันที่เข้าโรงจริง หรืออาจจะฉาย Exclusive บนแพลตฟอร์มอย่างเดียว แต่จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มในการชมภาพยนตร์เรื่องใหม่หรือไม่นั้นก็แล้วแต่ผู้ให้บริการแต่ละเจ้า
น่าเสียดายที่เราไม่มียอดรายได้จากฝั่งแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งให้ดูเยอะนัก เพราะมีเพียงฝั่ง Disney+ ที่เผยข้อมูลผ่านข่าวว่า ตัวภาพยนตร์ที่ฉายควบบนแพลตฟอร์มกับโรงภาพยนตร์อย่างเรื่อง Mulan ทำรายได้ไปประมาณ 270 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8,850 ล้านบาท) แม้ว่าตัวหนังจะโดนถล่มจากผู้ชมและนักวิจารณ์ แต่ในด้านรายได้ทาง Disney เองก็ยังบอกว่าเป็นรายได้ที่น่าพึงพอใจ
เมื่อเจ้าใหญ่แบบ Disney ยังบอกว่ารายได้กำลังโอเค ไม่แปลกนักที่แพลตฟอร์มเจ้าอื่นจะพยายามลงทุนสร้าง หรือลงทุนซื้อภาพยนตร์ที่น่าสนใจมากพอจะดึงดูดสายตาและเงินตราของคนดูเอาไว้ได้ และผู้คนเองก็คุ้นเคยกับการรับชมภาพยนตร์ในจอเล็กมากขึ้นเช่นกัน
พอรวมกับสถานการณ์การบริหารในการรับมือ COVID-19 ของหลายๆ ประเทศ ในช่วงต้นปี ค.ศ.2021 ไม่ว่าจะเป็นในประเทศญี่ปุ่น ตลาดใหญ่อย่างอเมริกาหรือฝั่งยุโรป และแน่นอนรวมถึงตลาดรองลงมาอย่างไทยเองก็ก็อยู่ในสถาพที่เดาได้ยากว่า สถานการณ์จะดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิมกันแน่
ขณะเดียวกันนั้นเอง แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่หลายเจ้าก็แสดงความสนใจในการนำเอางานประเภทอนิเมะ ทั้งที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นที่ใช้สไตล์งานผลิตแบบเดียวกันมาฉายบนช่องทางของตัวเองมากขึ้น อย่างที่เห็นได้จากการที่ Netflix ร่วมลงทุนสร้างอนิเมะ ไปจนถึงการเปิดสถานบันสร้างอนิเมเตอร์กับสตูดิโออนิเมะในญี่ปุ่น ส่วน Amazon Prime เองก็เคยร่วมลงทุนงานสร้างจากญี่ปุ่นมาก่อนแล้ว หรือแม้แต่ฝั่ง Disney+ เองก็เริ่มสนใจงานอนิเมะ และกำลังจะมีการฉาย Star Wars: Visions ที่เหมือนเป็นการชิมลางงานฟากนั้นเป็นขั้นต้น
เพราะฉะนั้นไม่ควรแปลกใจนักที่ทีมงานของภาพยนตร์ Evangelion: 3.0+1.0 Thrice Upon a Time และ Mobile Suit Gundam Hathaway ที่อยู่ในภาวะไม่แน่ใจนักว่าการทำตลาดนอกประเทศจะเป็นไปได้หรือไม่ (เพราะต้องลุ้นว่ารัฐบาลทั้งฝั่งญี่ปุ่นเองและประเทศอื่นๆ จะบริหารโรคได้ดีขนาดไหน)
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ชมก็ส่งสัญญาณแล้วว่า ‘พอจะรับได้’ กับการรับชมภาพยนตร์บนจอที่เล็กลงหน่อย และเพื่อเป็นการยืนยันว่าภาพยนตร์ของพวกเขาจะได้รายได้อยู่คุ้มพอแน่นอน (ตามปกติแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ มักจะจ่ายค่าสิทธิ์ในการฉายแบบทั่วโลกในราคาที่อยู่ในจุดที่ผู้สร้างภาพยนตร์เห็นว่าเป็นกำไรอยู่ระดับหนึ่ง) สุดท้ายแล้ว ทั้ง Evangelion และ Gundam จึงปรับการฉายบนแพลทฟอร์มออนไลน์อย่างที่เห็นกันในที่สุด
แล้วหลังจากนี้การฉายภาพยนตร์อนิเมะจะเป็นอย่างไรต่อ
สำหรับฝั่งภาพยนตร์อนิเมะนั้น มีบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และงานลิขสิทธิ์หลายท่านได้ให้ความเห็นว่า จะมีผลงานภาพยนตร์อนิเมะที่มีชื่อเสียงอีกหลายเรื่องที่จะเลือกฉายผลงานนอกประเทศญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งกันอีกระยะ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากการที่รัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น กับอีกหลายๆ ประเทศในทวีปเอเซีย ซึ่งมักจะซื้อสิทธิ์ภาพยนตร์อนิเมะไปฉายยังไม่สามารถจัดการ COVID-19 ได้เรียบร้อยดี
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าภาพยนตร์อนิเมะทุกเรื่องจะมุ่งหน้าตัดสินใช้แผนการเข้าฉายผ่านแพลตฟอร์ออนไลน์กันเสียทั้งหมด ยังมีผลงานหลายเรื่องที่ยังมีท่าที่จะเข้าฉายผ่านโรงภาพยนตร์เป็นที่แรก เพราะโดยปกติแล้วแนวการทำตลาดในญี่ปุ่น หรือต่อให้หนังถูกระบุว่าฉายออนไลน์เฉพาะแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ทางทีมผู้สร้างภาพยนตร์อนิเมะใหนญี่ปุ่นอยากที่จะเข้าฉายโรงภาพยนตร์อย่างน้อยสักหนึ่งสัปดาห์ถึงสองสัปดาห์ ให้สมความเป็นภาพยนตร์เสียก่อน
ส่วนในฟากฝั่งภาพยนตร์ฮอลลีวูด ก็มีคนที่เห็นแนวทางว่า โรงภาพยนตร์ต้องมาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้มีภาพยนตร์ดังอย่าง A Quiet Place Part II กับ Fast & Furious 9 ที่ประกาศมาตลอดว่าจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นที่แรกเท่านั้น และเรื่องหลังเพิ่งแจ้งข่าวว่าจะลงฉายผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์อย่างเร็วที่สุดคือสี่เดือนให้หลังจากวันฉายในโรงภาพยนตร์
ส่วนฝั่งที่เชื่อมั่นว่า แผนการฉายภาพยนตร์ในโรงพร้อมกับแพลตฟอร์ม (แต่เก็บเงินเพิ่ม) อย่างก็มีการปรับท่าทีเล็กน้อย หลังจากสมาคมเจ้าของกิจการโรงภาพยนตร์ของทางสหรัฐอเมริกาออกจดหมายโจมตีเกี่ยวกับแผนการฉายภาพยนตร์ในโรงพร้อมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เป็นการทำลายอุตสาหกรรมทั้งสองฝั่ง เพราะโรงภาพยนตร์ทำรายได้น้อยลง และมีการละเมิดลิขสิทธิ์สูงขึ้นแบบชัดเจน
ทำให้ภาพยนตร์จากทาง Dinsey หลายเรื่องที่จะออกฉายหลังจากนี้อย่าง Free Guy, Shang-Chi and the Ten Rings, Encanto, Eternals ฯลฯ จะทำการฉายในโรงภาพยนตร์เป็นเวลา 45 วัน ก่อนจะโยกไปฉายผ่านทางแพลตฟอร์มอื่นๆ ส่วนฝั่ง HBO Max กับทาง Warner นั้นแม้จะไม่ได้ออกท่าทีอะไรชัดเจนนัก แต่ในช่วงปี ค.ศ.2020 ก็มีบุคลากรผู้สร้างภาพยนตร์หลายคนทักท้วงไปก่อนแล้วว่า จะไม่ยอมให้หนังตัวเองลงฉายบทแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งพร้อมโรงภาพยนตร์
และถ้าโลกกลับมาเป็นสภาพปกติมากขึ้น เวลาในการเว้นว่างระหว่างการฉายภาพยนตร์ในโรงก่อนจะไปยังสื่ออื่นๆ มีโอกาสที่จะย้อนกลับเว้นวรรคไปถึงช่วง 60-120 วัน ใกล้เคียงกับที่เคยเป็นในยุคก่อนหน้านี้เช่นเดิม เพียงแค่ว่าทางแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแต่ละเจ้าก็จะมี คอนเทนต์หรือเนื้อหาเฉพาะถิ่นไว้ดึงดูดใจผู้ชมกันต่อไป ส่วนประเทศที่ยังมีปัญหากับการบริหารจัดการรับมือไวรัส COVID-19 ก็อาจจะต้องรอกันอีกระยะ เพราะถ้าบริหารจัดการโรคกันไม่ดีแบบที่เห็นกันอยู่แถวนี้ อย่าว่าถึงการฉายหนังในโรงภาพยนตร์ไปเลยครับ แค่จะเดินไปหน้าบ้านโดยให้รู้สึกชีวิตยังปลอดภัยก็ลำบากยากเย็นเต็มทีแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก
Anime News Network – 1, 2, 3, 4
National Association of Theatre Owners