เกมแบบไหนที่ปล่อยให้เราสำรวจโลกในเกมอันกว้างใหญ่ แถมยังทำสิ่งต่างๆ ได้ตามใจ
หลายครั้งเราอาจสนุกไปกับเกม เพราะมีเป้าหมายในใจอยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เช่น ต้องเอาชนะบอสตัวสุดท้ายให้ได้เพื่อผ่านด่าน ต้องไขปริศนายากๆ เพื่อรับรางวัล ในทางกลับกันหากเราเอาชนะไม่ได้ คำว่า You Lose ตัวใหญ่ๆ ก็จะปรากฏขึ้นมา ปลุกไฟให้เราต้องกลับไปเล่นใหม่อีกครั้ง ทั้งการอยากเอาชนะ หรือชนะแล้วได้รางวัล เลยกลายเป็นวิธีที่ทำให้เราสนุกทุกครั้งที่ได้เล่นเกม
แต่แม้จะขึ้นชื่อว่าเกม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีคนแพ้หรือชนะเสมอไป เพราะทุกวันนี้มีอีกหลากหลายเกมที่บทสรุปไม่ได้หาผู้ชนะ แต่ก็ทำให้เราติดใจไม่แพ้กัน อย่าง Minecraft, Cyberpunk 2077, Legend of Zelda หรือ The Witcher ซึ่งเป็นเกมที่ชวนเราเราไปสำรวจโลกกว้าง ลองสวมบทบาทใหม่ๆ แทน รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลากับเกมเหล่านี้ไปเกือบทั้งวัน
จุดเด่นของเกมเหล่านี้คือความอิสระที่ผู้เล่นสามารถกำหนดแนวทางการเล่นได้ตามใจ เรียกอีกอย่างว่าเกม Open World แม้จะไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด จุดจบของเกมนี้เป็นยังไงไม่มีใครทราบ แต่ open world กลับขึ้นแท่นเป็นเกมที่หลายคนผูกพัน สามารถเล่นติดต่อกันได้เป็นปีๆ แล้วอะไรที่ทำให้เกมเหล่านี้สนุกกันนะ
เหตุผลที่เราหลงรักเกม open world
เกม open world ที่ใครๆ ก็พูดกัน จริงๆ แล้ว มันคืออะไรกันแน่? ก่อนอื่นเราเลยอยากชวนไปรู้จักเกมประเภทนี้ให้มากขึ้นกัน
ถ้าใครได้เล่นเกมบ่อยๆ คงพอจะนึกออกว่าแต่ละเกมก็มีวิธีการเล่นไม่เหมือนกัน เกมแบบเนื้อเรื่องโดยทั่วไปแบ่งการเล่าได้ 2 ประเภท คือ แบบเส้นตรง (Linear) และ ไม่เป็นเส้นตรง (Non-Linear)
แบบแรก มักเป็นเกมที่ผู้เล่นต้องทำสิ่งต่างๆ ไปตามเนื้อเรื่อง เช่น ต้องทำภารกิจของจุด A ให้สำเร็จก่อน จึงจะสามารถไปจุด B ได้ เช่น Uncharted หรือ Final Fantasy ในขณะที่เกมประเภทหลัง ผู้เล่นจะทำภารกิจจุดไหนก่อนก็ได้ หรือไม่ทำก็ไม่ผิดกติกา ซึ่งเกมประเภทนี้เองที่กลายเป็นวิธีการออกแบบเกม open world ที่เรารู้จัก
ในเกม open world ผู้เล่นมีอิสระในการสำรวจสิ่งต่างๆ ภายในเกมโดยไม่จำกัด จะพูดคุยกับตัวละครไหน ออกคำสั่ง สร้างสิ่งของ หรือเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในแผนที่ได้อย่างอิสระ อาจจะมีภารกิจบ้างเล็กน้อย เช่น ช่วงแนะนำการเล่นช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเกมจะไม่บังคับให้เราต้องทำภารกิจ บางครั้งก็มีความคล้ายกับ เกมแซนด์บ็อกส์ (sandbox) หรือเกมที่ผู้เล่นปรับแต่งหรือสร้างสิ่งต่างๆ ได้ตามใจ อย่างเกม Minecraft ที่เราสามารถสร้างสิ่งของ หรือบ้านสวยๆ ได้เอง แม้จะไม่มีคำสั่งให้ทำตามเลยก็ตาม
ด้วยระบบเกมแบบนี้เอง ทำให้เกมแนว open world แตกต่างไปจากการเล่นเกมแบบอื่นๆ เพราะเปิดโอกาสให้เราสำรวจสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศัตรูใหม่ ไอเท็มลับที่ถูกซ่อนไว้ ภารกิจ ของสะสม หรือตัวละครต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วแผนที่ การค้นพบสิ่งที่ซ่อนไว้ด้วยตัวเอง จึงเป็นเหมือนรางวัลเล็กๆ ให้เราสนุกกับการเล่นเกมต่อ
นอกจากนี้ ความอิสระของเกมยังทำให้แต่คนละคนได้รับประสบการณ์ไม่เหมือนกัน เพราะแม้จะเป็นเกมเดียวกัน แต่คนหนึ่งอาจเจอเหตุการณ์ที่อีกคนไม่เจอ จากการเลือกลำดับการทำเควสต์ต่างกัน หรือแต่ละคนมีเป้าหมายในเกมไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้วิธีการเล่นแตกต่างกันไป
สุดท้าย สิ่งที่ทำให้เกม open world โดดเด่นขึ้นมาจากเกมอื่นๆ คือการสามารถกลับมาเล่นซ้ำได้เรื่อยๆ เพราะไม่ถูกจำกัดด้วยลำดับเนื้อเรื่อง ทำให้ทุกครั้งที่กลับมาเล่นใหม่ เราสามารถกำหนดทิศทางการเล่นได้เอง เช่น รอบนี้อยากมุ่งทำเควสต์ หรืออยากลงลึกเรื่องความสัมพันธ์กับตัวละครให้มากขึ้นก็ได้ ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ต่างไปจากการเล่นรอบที่แล้ว ในขณะที่เกมแบบเส้นตรง ทุกอย่างถูกวางลำดับไว้แล้ว ไม่ว่าเราจะกลับมาเล่นอีกกี่ครั้งเนื้อเรื่องก็ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังนำไปสู่จุดจบที่เรารู้อยู่แล้ว หลายคนจึงเลือกที่จะไม่กลับไปเล่นซ้ำอีกครั้ง
แม้ open world จะไม่มีเป้าหมายที่ต้องทำเหมือนเกมอื่นๆ แต่ความอิสระนี่แหละ ที่กลายเป็นจุดแข็งของเกม และทำให้หลายคนใช้เวลากับเกมนี้ได้หลายชั่วโมงจนถึงหลายปีโดยไม่เบื่อไปซะก่อน เพราะนอกจากจะใช้เวลาไปกับการสำรวจแล้ว เหล่าผู้ผลิตเกมยังใช้โอกาสนี้เพิ่มเติมเนื้อเรื่องและแผนที่ไปเรื่อยๆ เพื่อดึงดูดเกมเมอร์ใหม่ๆ นั่นเอง
ไม่ใช่แค่สนุก แต่ยังช่วยฮีลใจ
สิ่งที่ทำให้เราหลงรักเกม open world นอกจากระบบเกมที่ปลุกความเป็นนักสำรวจในตัวเราแล้ว เกมประเภทนี้ยังทำให้เรารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เล่นด้วย
มีงานวิจัยเกี่ยวกับ open world ที่ตีพิมพ์ลงวารสาร Journal of Medical Internet Research อธิบายว่า การเล่นเกมประเภทนี้ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจ จากการสำรวจนักศึกษาพบว่า เกม open world ช่วยให้ผู้เล่นหลีกหนีจากโลกจริง เพราะการได้หลบไปพักผ่อนในโลกของเกม มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้น
ลองนึกภาพว่าเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เคร่งเครียดกับการทำงานมาทั้งวัน ทำกิจวัตรเดิมๆ ทั้งสัปดาห์ นานวันเข้าก็อาจทำให้จิตใจห่อเหี่ยว แต่ในโลกของเกม open world อนุญาตให้เราเป็นใครก็ได้ แถมยังสามารถทำอะไรได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นชาวสวน นักฆ่า สมาชิกองค์กรใต้ดิน หรือคนที่ต้องเอาตัวรอด ทำให้เรารู้สึกสนุกและตื่นเต้นขึ้น อย่างที่ในชีวิตจริงอาจไม่มีโอกาสได้ทำ
งานวิจัยนี้ยังระบุว่าการที่เราได้สำรวจสิ่งต่างๆ ฝึกฝนทักษะ หรือทำภารกิจให้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความต้องการพื้นฐานทางจิตวิทยา หรือสิ่งที่เราทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ความอิสระ (autonomy) ผ่านการสำรวจและควบคุมตัวละครในเกม ความสามารถ (competence) จากการพัฒนาทักษะในเกม และความเชื่อมโยง (relatedness) ผ่านการสร้างความสัมพันธ์กับโลกในเกมและตัวละครในเกม
ทั้งการเนรมิตรโลกอันกว้างใหญ่น่าตื่นตาตื่นใจให้เราได้ลองใช้ชีวิตจริงๆ และการเติมเต็มให้ชีวิตธรรมดาๆ ให้ไม่น่าเบื่อเกินไป จึงไม่แปลกใจหลายคนจะรักเกม open world แต่ถ้าถามว่าเป็นระบบเกมที่ดีกว่าแบบอื่นไหม ก็คงไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะแง่หนึ่งมันก็อาจทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้าทางเลือกที่หลากหลายในเกม รวมถึงการไม่เห็นจุดจบเช่นกัน
ในสังคมที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบและความคาดหวัง อย่างน้อยการได้เล่นเกม open world ก็คงเป็นอีกทางที่ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังได้ใช้ชีวิตของตัวเองจริงๆ สักที
อ้างอิงจาก