จะเป็นยังไงถ้าเมืองที่เราอาศัยอยู่กลายเป็นเมืองร้าง ที่ด้านนอกเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้
เรื่องของซอมบี้หรือวันที่โลกล่มสลายอาจเคยถูกเล่าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อาจยังไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เรารู้สึกสนุกกับการเอาตัวรอดจากโลกผุพัง เหมือนว่าเรากำลังเผชิญหน้าอยู่จริง ได้เท่าเรื่องราวของช่อง JAPOC invert
‘เอาตัวรอดในโลกล่มสลายและพวกกลายพันธุ์’ คือโปรเจ็กต์ส่วนตัวของ ซัล—ซัลมา อินทรประชา นักวาดภาพประกอบ จากช่อง JAPOC เธอหยิบเรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันธรรมดาๆ ของคนในเมืองรกร้าง ที่เต็มไปด้วยซอมบี้ มาเล่าให้เหล่าผู้ชมฟัง
ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่ซัลยังทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวาขึ้นด้วย ภาพประกอบลายเส้นการ์ตูนกวนๆ รวมถึงชิ้นงานจากมุมของผู้ที่มีชีวิตรอดผู้โดดเดี่ยวให้เราได้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็น คู่มือเอาตัวรอดจากซีนทำมือ หรือบันทึกการเอาตัวรอดของคนแปลกหน้า หรือ Lost Letters จดหมายถึงผู้รอดชีวิต จนเหมือนเราเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นไปด้วยจริงๆ
เมื่อได้พบผู้รอดชีวิตอย่างซัล เราจึงไม่พลาดที่จะชวนเธอมาพูดคุยถึงเบื้องหลังโปรเจ็กต์นี้ รวมถึงวิธีเอาตัวรอดในโลกที่ใกล้ล่มสลายที่เธอใช้มาตลอดกัน
จากตึกร้างสู่โลกล่มสลาย
JAPOC เริ่มต้นวาดรูปได้ยังไง?
เราจบอินทีเรีย คณะสถาปัตย์ มหาวิทยาลัยลาดกระบัง จบมาหลายปีแล้วก็ทำอินทีเรียอยู่พักหนึ่ง แต่รู้สึกว่างานอินทีเรียค่อนข้างจะจริงจังเกินไป เลยพยายามเฟดออกมา แล้วเราชอบวาดรูปอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก อยากวาด อยากเล่าเรื่อง อยากเขียนนิยาย อยากเขียนการ์ตูน เลยเริ่มมาเป็นฟรีแลนซ์วาดรูป เขียนเว็บตูน ส่วนตอนนี้เปิดรับวาดรูปอาหารด้วย ซึ่งชื่อ JAPOC ก็มาจากคำว่า just a piece of cake เพราะว่าอยากให้ทุกอย่างมันแบบราบรื่นง่ายดาย แถมยังเชื่อมโยงกับอาหารด้วย
โปรเจ็กต์โลกล่มสลายและพวกกลายพันธุ์เกิดขึ้นมาเพราะอะไร?
มันเคยเป็นโปรเจ็กต์ที่ติดค้างอยู่ในใจ รู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำเราอาจจะทำอย่างอื่นไม่ได้ เลยทำให้มันจบ โดยมันต้องไปคิดถึงมันอีก
ก่อนหน้านี้เราเขียนเรื่องเกี่ยวกับบันทึกของผู้รอดชีวิต ชื่อ ‘บันทึกผมอยากรอด’ ใน readAwrite เป็นสิ่งที่คิดมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย ตัวเอกคาแร็กเตอร์ที่แหยๆ หน่อย ที่ทุกคนรู้สึกเข้าถึงได้ เป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป จนเราก็เรียนจบมาหลายปีแล้ว ก็เลยอยากทำมันให้เสร็จไปก่อนแล้วกัน
ในโลกล่มสลายคุณได้แรงบันดาลใจจากไหนบ้าง?
เป็นความรู้สึกกลัวจากเหตุการณ์หรือข่าวสารบนโลก เรื่องราวข้างในมันก็คือสิ่งที่โลกเจออยู่ เช่น ยาเสพติด หรือข่าวอื่นๆ พวกโลกร้อน โรคระบาด หรือภัยพิบัติ อย่างล่าสุดแผ่นดินไหว เราก็รู้สึกว่ามันก็น่ากลัวจริงๆ นะ เวลามันเจอกับตัวเอง
แต่ในชีวิตจริงเราก็ไม่ได้รู้สึกกลัวตลอดเวลานะ ก็รู้สึกขำบ้าง รู้สึกเงียบๆ สบายๆ บ้าง เราก็ยังรู้สึกเฉยๆ ในพื้นที่ของเราได้ ถือว่าเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลกพวกนี้ แต่ในโลกล่มสลายมันทำให้เกิดเงื่อนไขว่าจะเอาตัวรอดยังไงก็ได้ อะไรแปลกๆ มันก็ต้องทำ ก็เลยรู้สึกว่ามันก็สนุกดี เวลาเล่ามันทั้งสิ้นหวัง และดูตลกด้วย
ชอบอะไรในซอมบี้หรือโลกที่กำลังล่มสลาย?
ชอบบรรยากาศตึกร้างๆ ในความน่ากลัวมันก็มีความสงบ คนอื่นเขาจะนึกถึงผีกันเนอะ แต่ว่าเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องผี เลยรู้สึกเศร้ามากกว่า รู้สึกว่ามันเคยเป็นที่ที่มีคนเคยใช้งานนะ แล้วก็ถูกทิ้ง ยิ่งพอใส่ความเป็นซอมบี้ลงไป ยิ่งทำให้เห็นว่าถึงมันเป็นสถานที่สิ้นหวัง แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีความหวังอยู่ด้วย เพราะเราก็ต้องเอาตัวรอดในโลกที่ดูพังๆ แบบนี้ ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นสเน่ห์ที่เข้ากันได้
ในมุมของคุณ ช่วงเวลาที่แบบโลกกำลังล่มสลายโลกมันมีหน้าตาเป็นยังไง?
คิดว่าพยายามใช้เซ็ตติ้งที่ดูเหมือนโลกปัจจุบัน เราอยากเล่าในมุมเซ็ตติ้งประเทศไทยบ้าง เช่น บ้านที่เราอยู่ หรือถนนที่เราใช้ เพราะตามหนังหรือเกมที่เราเคยดู มันก็จะเป็นเซ็ตติ้งต่างประเทศ แต่เรารู้สึกว่าในไทยมันก็มีจุดเท่ๆ ดีนะ เดินไปตามถนนเราก็จะเห็นกันอยู่แล้ว
แม้กระทั่งใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิท หรือทองหล่อก็เห็นมีอยู่เยอะแยะ เวลาขึ้นรถไฟฟ้า แล้วมองลงมาก็เห็นมีแต่ต้นไม้เนอะ มันก็เก๋ๆ ดี แต่ไม่มีใครสนใจมันเลย มันก็อยู่เงียบๆ ของมัน
เราชอบความเป็นกรุงเทพหรือว่าประเทศไทยนะ ความที่บ้านมันมีรั้ว หรือว่าหลังคาที่มันติดๆ กัน เราสามารถที่จะวิ่งไปบนนั้นได้ หรือสะพานลอย เราไม่ค่อยเห็นสะพานลอยในต่างประเทศเนอะ แต่เรารู้สึกว่าบนสะพานลอยมันก็เริ่ดอยู่นะ มันดูมีทางที่ไปต่อได้หลายอย่างดี
แสดงว่าเวลาใช้ชีวิตอยู่ในเมือง คุณจะจินตนาการถึงการเอาตัวรอดตลอดเหรอ?
มันเผลอคิดตลอดเลย (หัวเราะ) มันไม่ได้เป็นการเอาตัวรอดเบ็ดเสร็จ ฉันต้องรอดแน่ๆ แต่มันคงรู้สึกดีเหมือนกันนะ ถ้าได้หนีซอมบี้ บนนั้น บนนี้ หรือว่าไปตรงนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แค่อยากลองไปอยู่ในจุดที่มันแปลกๆ เช่น ขึ้นดาดฟ้า ปีนบันไดลิงตึก หรืออย่างในห้าง มันก็มีบางจุดที่ให้เข้าได้สำหรับพนักงาน หรือว่าปล่องลิฟต์ ปกติมันไม่ควรจะเข้าไปหรอก มันอันตรายด้วย แต่ว่าถ้ามันมีสิ่งที่อันตรายกว่า อย่างซอมบี้ มันก็ต้องทำ ใช่มั้ยละ เพราะอาจเป็นทางเลือกเดียวให้มีชีวิตรอด
ถึงคุณ ในโลกผุพัง
ในโปรเจ็กต์นี้ คุณทำซีน (zine) เองด้วย ชื่อ easy and cool things กิจกรรมคลายเครียดของผู้รอดชีวิต ซีนนี้มาจากอะไร?
เราคิดในมุมมองของคนที่เครียดจากการติดอยู่ในที่หนึ่งนานๆ เพราะว่าเขากลัวที่จะตายถ้าออกไปข้างนอก
ที่หน้าปกเลยจะมีคำเตือนว่าเนื้อหานี้ถูกเรียบเรียงขึ้นจากคนที่เครียด แล้วก็ลิสต์กิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะทำอะไรที่สุดโต่งมากๆ เช่น ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำ เปิดคอนเสิร์ตประสานเสียงระหว่างตึก หรือบางคนอาจจะอยากจะสร้างลัทธิ ซึ่งบางอย่างมันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงตายตายนิดนึง คือบางทีการเอาชีวิตรอดอาจจะแพ้ให้กับ ความเบื่อก็ได้ เลยเกิดขึ้นมาเป็นซีนนี้
เราตั้งชื่อให้ดูเหมือนคนเขียนเป็นคนเจ๋งๆ แต่จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนที่ขี้ขลาดที่ติดอยู่ในห้องนี่แหละ กลายเป็น easy and cool thing เหมือนว่าเรื่องพวกนี้ง่ายและก็เจ๋งมากเลยนะ ที่จะทำท่ามกลางแบบพวกกลายพันธุ์ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ง่ายแล้วมันก็ไม่ได้เจ๋งด้วย
ทำไมถึงต้องมีซีนในการเล่าเรื่อง?
คงเพราะมันก็สอดคล้องกับเรื่องแนวโลกล่มสลายพอดี เพราะในโลกแบบนั้นการจะมีวัตถุดิบแค่นี้ เพื่อเล่าเรื่องอะไรบางอย่างหรือสื่อสารอะไรถึงคนอื่น การทำซีนมันก็ดูเป็นไปได้
มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ตั้ม (วุฒิพล อุจจธรรมรัตน์ ศิลปินสิ่งพิมพ์อิสระ) ที่เรารู้จัก เขาชวนให้เราทำซีนในหัวข้อที่เราสนใจ เพื่อที่พี่เขาจะได้เอาไปใช้ในนิทรรศการที่เขาทำอยู่ เลยเป็นที่มาของเล่ม easy and cool thing เป็นซีนที่ทำจากกระดาษแผ่นเดียว บวกกับทำไม่ยาก ไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง จบได้ที่ตัวเองเลยนะ ก็เลยได้ทำออกมา
นอกจากเรื่องเล่าที่เราติดตามได้บนช่องของคุณแล้ว เห็นว่าต่อยอดไปเป็น Lost Letter จดหมายส่งถึงคนที่ติดตามด้วย?
ใช่ค่ะ เราพยายามใส่สิ่งที่เราสนใจลงไปให้มันน่าสนใจมากขึ้น โดยจะไม่ใช่แค่ซีนอย่างเดียวแล้ว แต่มีจดหมายด้วย เราตั้งใจอยากให้ผู้รับเป็นผู้รอดชีวิต ซึ่งได้รับจดหมายที่เราส่งให้ เสมือนว่าเขาได้รับจากผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ
จริงๆ มันคือ letter club รูปแบบหนึ่ง จะส่งเดือนละครั้ง เล่าในธีมของผู้รอดชีวิต นอกจากจดหมาย เราก็พยายามใส่คอนเซ็ปต์อาหารเป็นซีนเล่มเล็กๆ อีกเล่ม ที่บอกว่าเรา (อาจจะ) กินอะไรได้บ้าง 6 อย่าง ให้คนที่ได้รับส่วนหมาย ไปสำรวจ แล้วก็ไปเลือกคิดกันเองว่าจะกินได้ไหม เช่น ทิชชู่ หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดอายุ คือถ้าคุณหิวมาก คุณก็กินได้นะ มีช่องให้ติ๊กเอาเองได้เลยว่าจะกินหรือไม่กิน มีช่องความหิวคุณเท่าไหร่ พอใจไหมหลังกินแล้ว เป็นการเล่าแบบกึ่งกึ่งเสียดสีนิดหน่อย
ผู้รอดชีวิตผู้โดดเดี่ยว
ปกติเวลาพูดถึงโลกที่ใกล้ล่มสลาย ส่วนใหญ่มักเป็นมุมของคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับสิ่งนั้น แต่ทำไมคุณถึงนำเสนอวิธีการเอาตัวรอดในโลกผุพังมากกว่า?
เราอยากให้รู้สึกเหมือนเป็นคนทั่วๆ ไปมากที่สุด เป็นแค่คนอยากจะรอดชีวิตไปเฉยๆ ในหนึ่งวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่ก็ได้ เป็นคนปกติที่เอาตัวรอดและยังไม่สิ้นหวังในแต่ละวันก็พอ เพราะทุกคนก็พิเศษอยู่แล้ว
สิ่งที่คุณอยากให้ผู้ชมได้รับหลังจากได้ดูงานของคุณ?
เราอยากเล่าความเอ็นจอยเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเจอในชีวิตทั่วไป เพราะทุกวันนี้เราก็พยายามเอาตัวรอดจากอะไรบางอย่างตลอดเวลาอยู่แล้ว จากงาน เงิน คนรอบตัว แต่บางทีการเอาตัวรอดจากเรื่องพวกนั้น ก็ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกหรือเหงา เพราะความรู้สึกพวกนี้มันไม่สำคัญพอที่จะพูดให้คนอื่นฟัง แต่มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้ เราเลยอยากใส่เรื่องพวกนี้ลงไป ว่าสิ่งที่เราต้องต่อสู้กันอยู่ทุกวันมันก็เหมือนกับซอมบี้นั่นแหละ
แต่ช่วงเวลาที่เราดิ้นรน เราไม่ได้รู้สึกแย่ตลอดเวลา มันก็เป็นความรู้สึกดี ที่เราพยายามอยู่ ถึงจะเล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็รู้สึกดีนะ มันก็เหมือนกับธีมที่เราเล่าในช่อง เราเป็นผู้รอดชีวิตที่โดดเดี่ยว ที่ตามหาผู้รอดชีวิตแบบเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้อยากสร้างกลุ่มผู้รอดชีวิตก็ได้ หรือจริงๆ แล้วเราก็ตามหานั่นแหละ แต่เราอาจจะยังไม่เจอ เราเลยอยากบอกเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน
ได้ทำโปรเจ็กต์ที่ติดค้างในใจแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?
รู้สึกโล่งนิดหน่อยนะ ในแง่ที่ว่า โอเคได้ทำแล้ว อันที่สองคือมันก็คิดต่อได้ หลังจากที่เราทำคือเราทำลงไปแล้ว มันก็มีไอเดียใหม่เกิดขึ้น มันไม่ได้แบบจบเลย แล้วก็เลยรู้สึกดีใจ แล้วก็รู้สึกดีใจมากกว่าอีก คือมีคนสนใจในสิ่งที่เราทำนะ รู้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่ข้างนอกนั่น ทุกคนน่าจะรู้สึกแบบเดียวกันกับสิ่งที่เราเล่า แล้วเป็นเราที่ได้หยิบออกมาพูด
อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนผู้รอดชีวิตได้แล้วหรือเปล่านะ