หากสามารถขโมยเงิน 30 ล้าน โดยที่ไม่มีใครจับได้ คุณจะกล้าไหม?
‘ลักกันวันตาย’ ภาพยนตร์ไทยล่าสุดจาก Netflix ที่นอกจากจะมีเนื้อเรื่องสุดเข้มข้น ว่าด้วยเรื่องของนายธนาคารที่พยายามยักยอกเงินจากบัญชีของคนตายแล้ว ยังมีความน่าสนใจเพราะเป็นการโคจรมาเจอกันของนักแสดง 2 รุ่น ที่ต้องมาร่วมหัวจมท้ายก่ออาชญากรรมด้วยกันด้วย
2 นักแสดงที่ว่าคือ เคน—ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ และ ริว—วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล แม้ภายนอกเราอาจเคยรู้จักพวกเขาในลุคสุดเท่ แต่เรื่องนี้ทั้งคู่เผยกับเราว่าเป็นเรื่องแรกที่ได้สลัดภาพจำของตัวเองออกไป กลายเป็นคนธรรมดา ที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ครั้งนี้ เคน รับบทเป็น ‘โต’ พนักงานธนาคาร ซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ งานที่เคยมั่นคงกลับถูกสั่นคลอนด้วยเทคโนโลยี ภาระค่าใช้จ่ายถาโถม ความจนตรอกทำให้เขาต้องร่วมมือกับ ‘เพชร’ รับบทโดยริว พนักงานรุ่นน้องที่ค้นพบช่องโหว่ของธนาคาร ว่ามีเงิน 30 ล้านนอนนิ่งอยู่ในบัญชี ทั้งคู่ตัดสินใจร่วมมือกันวางแผนนําเงินก้อนนั้นออกมาใช้ ทว่าการก่ออาชญากรรมครั้งนี้ กลับพาให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่าคนอันตรายที่หมายตาเงินก้อนเดียวกัน
แม้หน้าหนังจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการไล่ล่า และฉากแอ็กชั่นสุดระทึก แต่แก่นหลักของเรื่องก็ยังเป็นความเป็นมนุษย์ ที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเชื่อได้ว่าสามารถเชื่อมโยงกับคนดูได้ไม่ยาก
พ้นไปจากหนัง น่าสนใจว่าในมุมของนักแสดง พวกเขาต้องเจอความท้าทายอะไรใหม่ๆ อะไรบ้าง ไหนๆ 2 นักแสดงต่างรุ่นมาเจอกันทั้งที เราไม่พลาดที่จะชวนเคนและริวมาพูดคุยถึงการแสดงในเรื่องนี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึงการปรับตัว ที่พวกเขาเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ
แม้พวกเขาจะออกตัวว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะสนิทใจกัน แต่ตลอดบทสนทนาที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เสียงหัวเราะ ก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าการพยายามปรับตัวของทั้งคู่ไม่สูญเปล่าเลย

หนังชีวิตที่เคลือบด้วยฉากแอ็กชั่น
ไปยังไงมายังไงถึงได้มาแสดงเรื่องนี้
เคน: พี่ต้น (นิธิวัฒน์ ธราธร – ผู้กำกับ) ติดต่อมาว่ามีเรื่องอยากจะให้ผมลองอ่านดู พอลองอ่านเสร็จแล้ว โอ้โห เข้มข้นมาก มันมีพาร์ทแอ็กชั่น มีไล่ล่าด้วย ตอนแรกยังนึกไม่ถึงว่าจะมาแบบทรงไหน ประเด็นที่พูดถึงก็น่าสนใจ ยังไม่ได้มีคนหยิบมาพูดในหนังเท่าไหร่ แล้วก็เรื่องตัวละครที่เขาให้ผมเล่น ผมรีเลตได้กับผู้ชายคนนี้ กับเรื่องครอบครัวกับลูก แน่นอนว่าบางส่วนมันไม่ใช่ตัวผมหรอก แต่เราก็รู้สึกว่าอยากทำ
ริว: ของผมตามระบบเลย เขาก็ส่งมาให้ผมไปแคสต์ พอเราอ่านเสร็จก็ตั้งใจมาก สนใจว่ามันเป็น genre หนังแนวนี้จริงเหรอที่เขาทำ แล้วก็ได้เล่นกับพี่ๆ ด้วย เลยรู้สึกว่าอยากเล่น เพราะผมไม่เคยเล่นบทที่ดิบขนาดนี้
คาแร็กเตอร์ในเรื่องมีตรงไหนที่เหมือนหรือต่างกับตัวเองบ้าง
ริว: บท ‘เพชร’ มันเป็นคนชิล เพราะว่าเป็นพนักงานจบใหม่ที่รู้เรื่องพวกเทคโนโลยี AI ซึ่งคาแร็กเตอร์พี่เคนเขาจะไม่รู้เรื่องนี้เท่าไหร่นัก เวลาจะทำอะไรเราก็จะเป็นคนคอยช่วย ผมรู้สึกว่าทุกบทที่เล่นมันไม่มีอะไรง่ายหรอกครับ จะอยู่ที่การปรับตัวแต่ละเรื่องแล้วก็เวิร์กช็อป
สิ่งที่ยากคือ ด้วยคาแรกเตอร์ หรือบทที่มันท้าทาย มันหนักหน่วง ผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะก้าวขาไปฝั่งนั้นนะ แต่เราจะแสดงยังไงให้พี่ต้นหรือคนอื่นเชื่อว่าเราจะทำสิ่งนั้นจริงๆ มันเป็นงานคราฟต์ที่เราค่อยๆ ไปด้วยกันเป็นงานกลุ่มครับ
เคน: บท ‘โต’ ของผมเป็นผู้ชายที่เขาเริ่มหมดศรัทธาในตัวเอง เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่เขาหรือครอบครัวหวังไว้ เขาอยากคนที่ทำเรื่องดีๆ ให้ครอบครัว ให้ลูก เพื่อให้ทุกคนเคารพเขา แต่สถานการณ์ของเขามันย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังจะต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ มันไม่ใช่การพิสูจน์ให้คนข้างนอกเห็นนะ แต่พิสูจน์ให้คนที่เรารักเห็น มันก็เลยเป็นแรงขับที่ทำให้เขาอยากจะทำตรงนี้ให้สำเร็จ โดยที่เริ่มปิดหูปิดตาตัวเอง เพื่อพิสูจน์ว่าเขายังมีค่าอยู่
ผมว่าผู้ชายทุกคนก็ลึกๆ ก็มีความรู้สึกแบบนั้นแหละ ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเองในฐานะครอบครัว แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คนใดคนหนึ่งบกพร่องในความรับผิดชอบตรงนี้ไป ความภูมิใจในตัวเองมันก็หายไป เราเหมือนถูกลดคุณค่าหรือเสียความมั่นใจ และโลกมันก็อาจเล่นงานเราต่อไป
ผลงานพี่ต้นเรื่องก่อนๆ เช่น Analog Squad คิดถึงวิทยา หรือ Season Change ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องครอบครัวหรือความสัมพันธ์ รู้สึกยังไงบ้างที่ได้ลองเล่นหนังของพี่ต้นที่ต่างไปจากเดิม
เคน : คุยเรื่องนี้กันเยอะ แต่พี่ต้นก็บอกว่าไอเดียเริ่มเขาก็ไม่ได้ตั้งใจว่ามันจะต้องเป็นแอ็กชั่นหรอก พื้นฐานก็ยังมาจากครอบครัวธรรมดานี่แหละ มีความสามีภรรยา หรือผู้ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่ว่ามันดันไปผูกกับเรื่องบัญชีคนตาย สุดท้ายมันคือหนังชีวิตนี่แหละ แค่มันครอบด้วยความลุ้นระทึก ความมัน ผมว่าใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ไม่ยาก

Everybody Loves Me When I’m Dead.; THEERADEJ WONGPUAPAN (ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) as Toh (โต); VACHIRAWICH WATTANAPAKDEEPAISAN (วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล) as Petch (เพชร); in Everybody Loves Me When I’m Dead. Cr. Jutarat Ninnaihin/NETFLIX © 2025
เมื่อความยากคือการปรับตัว
สิ่งที่ต้องทำการบ้านมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คืออะไร
เคน: ก็มีคุยกันนะว่าถึงขนาดจะต้องเรียนไปอะไรกันไหม แต่พี่ต้นบอกว่าไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ทำความเข้าใจกับระบบของตัวเรื่องก็พอ มันก็จะมีศัพท์บ้าง แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องยากขนาดนะ เพราะการเป็นพนักงานแบงก์มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งมากกว่า มันอาจจะเป็นคนอื่น หรือองค์กรอื่นที่อยู่ในสถานการณ์นี้ก็ได้ แต่สิ่งที่ยากและพี่ต้นสนใจจะเป็นเรื่องเคมีเวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน ความที่เรา 2 คนจะไปทำชั่วด้วยกัน (หัวเราะ)
แล้วมีวิธีสร้างเคมีด้วยกันยังไง
เคน: ตอนแรกเราต้องซ้อมกันเยอะมาก เพราะวิธีการหรือค่านิยมบางอย่างเราไม่เหมือนกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องปกตินะ แต่มันก็ยังไม่ดีสักที ก็เราก็เลยเหมือนตกที่นั่งลำบากทั้งคู่ ก็เลยเริ่มไปคุยกันนอกรอบ ผมว่าตรงนั้นมันสำคัญจริงๆนะ พอเราเริ่มไปคุยกัน สนิทกัน มันก็เลยมีเป้าหมาย เดียวกันว่าพี่กับริวเราจะต้องไปให้ถึงฝันของผู้กำกับให้ได้
เราก็เลยเริ่มทัก คุยไลน์กัน ผมก็จะเรียกเขาว่าเพชร เขาเรียกผมว่าโต เพราะเราต้องเข้าใจตัวตนและธรรมชาติของตัวเขาด้วย แน่นอนว่าเขาต้องเป็นตัวละคร แต่มันก็จะมีบางอย่างที่เป็นตัวเขาอยู่ด้วย มันก็ทำให้เราสนิทใจกันมากขึ้นเวลาที่เราเล่น ซึ่งมันก็ค่อยๆ ถูกพัฒนาไประหว่างที่เราซ้อมจนวันที่มาเริ่มงาน แรกๆ ผมก็เครียด แต่พอเราโตกว่า เลยพยายามทำเหมือนว่าเราไม่เครียด
ริว: เขาบอกผมว่า ‘อย่าไปเครียด ปล่อยไป เล่นจบ นี่ดู ไม่เห็นเครียดอะไรเลย’ (หัวเราะ)
เคน: ก็โกหกนั่นแหละ แต่พอถึงวันที่ซ้อมวันสุดท้ายผมก็ไม่เครียดแล้ว จริงๆ คนเรามักจะหวังดีแหละ เขาก็อาจจะเครียดในมุมที่ว่า เฮ้ย ถ้าผมทำไม่ดี แล้วพี่เขาจะรอ แต่จริงๆ คนอื่นก็อาจจะคิดแบบนี้เหมือนกันก็ได้ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา การทำดีไม่ดีเดี๋ยวผู้กำกับเขาดูเอง

มีเรื่องไหนที่คุยกันแล้วทำให้เรารู้สึกสนิทกันมากขึ้นไหม
ริว: ผมว่ามันค่อยๆ ไป ถึงเราจะมีเรื่องคุยกันได้ เช่น ถ่ายรูปหรือเรื่องรถ แต่ริวว่ามันคือเอเนอจี้ โดยรวมมากกว่า ความเป็นพี่เป็นน้อง ความที่อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน บางอย่างมันบังคับไม่ได้ มันอาจจะไม่ได้เป็นเคสที่เจอกันครั้งแรกแล้วได้เลย เราต้องใช้เวลาคุยกันจนสบายใจ
เคน: พอวัยต่าง ส่วนหนึ่งผมก็รู้สึกเอ็นดูเขาแหละ ผมก็จะเริ่มแกล้งเขา ถ้านอกรอบคือเราพูดกู-มึงกันนะ เห็นเนื้อแท้ของกันและกันหน่อย แต่เขาก็ยังเรียกผมพี่อยู่นะ คือสุดท้ายแล้วเรามีฟอร์มใส่กันไม่ได้ไง ผมก็ต้องเชื่อใจเขา เขาก็ต้องเชื่อใจผม ถ้าทลายกำแพงไปได้ เคมีมันก็จะค่อยๆ เกิดขึ้น
พอได้รู้จักกันแล้วมีเรื่องอะไรที่รู้สึกว่าอีกคนต่างจากที่เราคิดไว้ตอนแรกบ้างไหม
ริว: ถ้าริวเห็นเขาในโซเชียลที่พี่หน่อยเป็นคนลง ริวรู้แล้วว่าเขาเป็นคนชอบแต่งตัว แล้วก็ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ บนเสื้อผ้า กระเป๋า หมวก แฟชั่น แล้วจะดูผลงาน แต่พอผมเจอตัวจริง เขาเป็นคนขี้เล่นมาก
เต็ม 10 ให้เท่าไหร่
ริว: เดาทางไม่ถูกครับ มันจะขึ้นเหมือนเป็นคลื่นหัวใจ (ทำมือขึ้นลง) พอขึ้นปุ๊บ แล้วก็จะมีโหมดนิ่งมาก พอได้มาเจอพี่เคน ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนใส่ใจมากๆ กับทุกเรื่อง ทั้งวิธีคิดเขา หรือสิ่งที่เขาชอบ ได้มาเห็นพี่ชายหลายๆ มุม หมั่นไส้บ้าง ดีบ้าง
แล้วริวต่างจากที่เคนคิดตอนแรกไว้ยังไงบ้าง
เคน: ผมรู้สึกว่ายิ่งเจอ เขายิ่งเด็กขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ อาจจะยังเก๊กอยู่มั้ง เขาก็ดูเป็นหนุ่มสมวัยเขา แต่พอยิ่งรู้จักก็คิดว่า เฮ้ย ทำไมมันเด็กจังวะ ก็เลยไม่แน่ใจว่า เขารู้สึกว่าผมเป็นพี่หรือเป็นพ่อเขาหรือเปล่า เขาก็เลยทำตัวเด็กใส่ผม (หัวเราะ) มีความขี้อ้อน เป็นผู้ชายอ่อนโยน ซอฟต์ๆ เขาเซนซิทีฟมาก แคร์กับเรื่องนั้นเรื่องนี้เยอะอยู่

การทำงานจากวันนั้นจนถึงวันนี้
เวลาแสดงแต่ละคนมีวิธีการทำงานแบบไหน แต่ละคนชอบที่จะสวมบทในชีวิตจริงไปด้วย หรือแยกบทออกจากกัน
เคน: ผมแยกครับ ผมก็ไม่เคยลองแบบนั้น แต่ก็ได้ยินว่ามีนักแสดงที่เขาประสบความสำเร็จ ส่วนตัวผมมองเรื่องของการใช้ชีวิตกับคนอื่นๆ ด้วย พอผมกลับบ้านไป ผมก็มีลูก มีเมีย มีสังคม หรือแม้แต่ตอนคัตแล้วเราก็ยังมีเพื่อนร่วมงาน ถ้าคุณต้องเล่นเป็นอะไรที่มันเกินเลยไปมากๆ เช่น ฆาตกรโรคจิต แล้วเวลาคุณอยู่ในกอง คุณจะทำยังไง สำหรับผม นักแสดงถ้าคุณได้ยินเสียงคัตแล้ว ก็ต้องหยุดเล่น แล้วพัก พอแอ็กชั่นก็เริ่มใหม่ ผมเป็นแค่นั้นครับ
ริว: ถ้าของริว ริวจะอ่านก่อนว่าเราเห็นภาพมุมไหนคล้ายคลึงตัวเองบ้าง หรือมุมไหนที่มันห่างมากๆ เพราะเราไม่ได้เป็นตัวละคร 100% มันจะมีความบางมุมที่คงความเป็นเราอยู่ สมมติสัก 30% แต่ถ้าวันหนึ่งเราต้องไปเล่นบทคนที่ต้องเจอกับสิ่งนั้นยาวทั้งชีวิต อย่างนั้นผมถึงเป็นเขาได้ 100% ส่วนเรื่องการแสดง ถ้าคัทเสร็จ ริวก็จะกลับมาอยู่ตัวเองเหมือนกันครับ
สำหรับเคน เคยมีประสบการณ์ทำงานมาหลายแบบ ทั้งแบบละคร และภาพยนตร์ ในแง่การแสดงเรื่องนี้ต่างจากที่ผ่านมายังไงบ้าง
เคน: ต่างนะ ผมไม่ได้เล่นหนังมา 6 ปี ละครก็น่าจะประมาณ 3 ปี ช่วงแรกผมปรับตัวเยอะมากเลย เหมือนกับเริ่มต้นใหม่ เพราะบทที่ผ่านมาผมอาจจะมีความเป็นฮีโร่ที่แก้ปัญหาเองได้ ซึ่งเราต้องเอาตรงนั้นออกไปก่อน แต่เรื่องนี้ผมต้องเป็นผู้ชายธรรมดา ผมไม่ได้เก่งอะไรเลย เสียหน้า แล้วก็ผิดพลาดตลอด (หัวเราะ)
รู้สึกยังไงที่ได้เปลี่ยนมาเป็นคนขี้แพ้ในเรื่องนี้
เคน: สะใจดีนะ มีซีนที่ผมเล่น แล้วพี่ต้นเขาน่าจะอยากเห็นซีนนี้แหละ ได้เห็นความพ่ายแพ้ของผม พอผมเล่น แล้วผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาหลังมอนิเตอร์อ่ะ ซึ่งผมรู้ว่ามันคือเสียงหัวเราะสะใจ ประมาณว่า ทุเรศว่ะ ผู้ชายคนนี้มันทุเรศ ผมคิดว่าต้องดีแน่ๆ (หัวเราะ)

Everybody Loves Me When I’m Dead; THEERADEJ WONGPUAPAN (ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) as Toh (โต); in Everybody Loves Me When I’m Dead. Cr. Jutarat Ninnaihin/NETFLIX © 2025
สำหรับริว ปีนี้เราเห็นผลงานของริวหลายครั้ง มีนิยามการทำงานปีนี้ไว้ว่าอย่างไร
ริว: ให้ผมมีผลงานออกบ้างดีแล้ว (หัวเราะ) ผมว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่คนเริ่มประกอบได้แล้วว่า คนนี้ชื่อริวนะ แล้วเวลาไปไหนเขาก็จะจำได้ว่ามาจากเรื่องนี้นะ เรารู้สึกว่า ภูมิใจนะ ที่เราทำมามีคนจำเราได้ด้วย ริวว่ามันน่าจะเป็นประตู ที่ให้ริวทำอะไรใหม่ๆ เป็นปีที่ขอบคุณครับ ไม่รู้ว่ามันคือจุดไหนก็ตาม แต่ผมยังสนุกที่ได้ทำมัน
จุดนี้เป็นสิ่งที่ริวเคยฝันไว้หรือเปล่า
ริว: ใช่ๆ เพราะว่าเราไม่ได้เข้ามาในวงการแล้วปั้งเลย แต่ได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นสเต็ป เราทำอันนี้เสร็จ แล้วได้ทำอันนี้ต่อ ผมรู้สึกว่ามันสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว ทุกโอกาสของริวมันดีมาก ได้ทำงานคนที่ริวอยากทำ ทั้งพี่ๆ นักแสดงที่หลายคน หรือผู้กำกับ อย่าง พี่ต้น เราก็เป็นแฟนหนังเขา ถ้ามีเราอยู่ในหนังเขามันจะเป็นยังไง ตื่นเต้นมากครับ
โลกเปลี่ยนไป แต่ใจต้องเปิดรับสิ่งใหม่
ช่วงหลังๆ เราจะได้ยินคำชมจากคนดูบ่อยๆ ว่าคอนเทนต์ไทยค่อยๆ ดีขึ้น แล้วในฐานะนักแสดงทำยังไงเพื่อตอบโจทย์คนดูที่คาดหวังสูงขึ้น
เคน: ผมเล่าแทนริว เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาทำ แต่เขาอาจจะมองข้ามไป หลังจากจบงาน เขาก็จะเล่าให้ผมฟังว่าเขาไปเข้าคลาสการแสดงที่น่าสนใจ ที่ผมก็ไม่เคยรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขามีด้วย ผมยังตื่นเต้นว่า อ๋อ เดี๋ยวนี้มีแบบนี้ด้วยเหรอ ที่มาจากต่างประเทศ สำหรับผม อันนั้นแหละมันคือสิ่งที่ทำให้เขาพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ยังอยู่กับมาตรฐานหรือระบบที่ดีขึ้น
ริว: ผมเอาคำตอบนี้เลยครับ (ยิ้ม)
ความท้าทายของนักแสดงยุคนี้มันมีอะไรบ้าง
เคน: ถ้ามองรวมๆ ทุกอาชีพ ถ้าคุณยังอยากทำมันอยู่ ก็คงย้อนกลับไปที่ว่าคุณก็ต้องเปิดใจ แล้วก็ต้องพัฒนาตัวเอง เปิดใจกับสิ่งใหม่ๆ โลกมันเปลี่ยนไปทุกวัน แต่ถ้าคุณยังยึดติดกับบางอย่างอยู่ โดยที่จะไม่เปลี่ยนอะไรเลยอาจจะไม่ใช่เรื่องดี แน่นอนมันมีสิ่งที่ดีอยู่ แต่คุณเก็บทุกอย่างไม่ได้ มันเหมือนข้าวของที่เรามีในชีวิต พอถึงวันหนึ่งบางอย่างคุณก็ต้องเอาไปบริจาค เพราะถ้าคุณเก็บทุกอย่าง ยังไงก็ล้นบ้านครับ

Everybody Loves Me When I’m Dead.; VACHIRAWICH WATTANAPAKDEEPAISAN (วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล) as Petch (เพชร); in Everybody Loves Me When I’m Dead. Cr. Jutarat Ninnaihin/NETFLIX © 2025
มีเรื่องไหนที่รู้สึกว่ามันไม่เวิร์กกับยุคนี้แล้ว
เคน: เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมคนดูชอบสิ่งความจริง อยากเห็นคนจริงๆ หมายความว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ บางทีสิ่งที่ผมเคยเล่นมามันอาจจะมีความเหนือธรรมดานิดนึง แต่ถ้ามันมีความเก่งมากๆ มันก็จะไม่ค่อยผิดพลาด แต่ในความจริงคุณไปเจอกับมือปืน เจอกับผู้ก่อการร้ายจริงๆ คุณดีลเขาไม่ได้หรอก สิ่งเหล่านี้มันต้องเกิดขึ้นกับวิธีคิดของคุณ การตัดสินใจ หรือกับการแสดงออก เพื่อให้คนส่วนใหญ่สัมผัสกับตัวละครได้
ด้วยความที่มาจากคนละรุ่นกัน มีอะไรอยากแนะนำอีกฝ่ายบ้างไหม
เคน: มีอะไรอยากจะบอก บอกมาเล้ย เอ้ย พี่มันโบราณล่ะ ที่พี่ทำแบบนั้นอะ วันหลังอย่าทำอีกนะ
ริว: ตอนที่เขา 68 แล้วผม 45 พี่ยังต้องคงอยู่ พี่ชายผมชีวิตเขาตอนนี้คือพอดีแล้ว ทุกอย่างก็แค่เรื่องสุขภาพครับ
เคน: โอ้โห นี่เตือนผู้หลักผู้ใหญ่เรื่องสุขภาพ เดี๋ยวจะไม่อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ว่างั้น ได้ครับ ผมจะดูแลสุขภาพให้ดีครับคุณริว แหม
ริว: (หัวเราะ)
เคน: ส่วนผม ตอนที่ผม 68 แล้วเขาอายุ 45 ผมแค่อยากจะบอกเขาอย่างเดียวเลยว่า ถึงอายุ 45 แล้ว เท่ให้ได้เท่าผมตอนนี้แล้วกัน (หัวเราะ)