หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ
อาจเป็นเพราะเราต่างคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันถูกต้อง ต่างฝ่ายต่างมองว่าตัวเองทำถูกต้อง ทั้งๆ ที่มันอาจจะผิดกันทั้งคู่ก็ได้
Merry Christmas Mr.Lawrence คือหนังคลาสสิกที่ฉายในปี ค.ศ. 1983 กำกับและเขียนบทโดย Nagisa Oshima เป็นหนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ The Seed and the Sower ของ Sir Laurens Jan van der Post โดยเป็นเรื่องราวที่มีฉากหลังเป็นช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พูดถึงค่ายกักกันเชลยของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งหนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายให้เห็นฉากระเบิดยิ่งใหญ่อลังการ ไม่มีเสียงปืนที่สาดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่หนังเรื่องนี้แค่เล่าถึงผู้คนในค่ายกักกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายญี่ปุ่นที่มีสถานะและอำนาจเหนือกว่า กับฝ่ายอังกฤษที่ถูกจับมาเป็นเชลยและ มีสถานะอยู่ต่ำกว่า แต่แค่เพียงเท่านี้ ก็สามารถสะท้อนภาพของความขัดแย้งที่เป็นจุดกำเนิดของความรุนแรงต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและเอาอยู่มากทีเดียว
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ได้ David Bowie นักร้องเพลงร็อคในตำนานที่กระโดดมาร่วมแสดงหนัง จนกลายเป็นภาพจดจำอีกแบบของเขาไป นอกจากนี้เพลงประกอบจาก Ryuichi Sakamoto ก็กลายเป็นเพลงที่ประทับตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายๆ คน (ซึ่งภายหลังเขาก็ได้รับรางวัลสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมในออสการ์จากหนัง The Last Emperor อีกด้วย) อีกทั้งเขายังได้มารับบทแสดงนำในหนังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
Merry Christmas Mr.Lawrence แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของผู้คนในค่ายกักกันนี้ เป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้เห็นความขัดแย้งต่างๆ ของผู้คนในหลายมิติ ไม่ว่าจะต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม ต่างความคิด ต่างความเชื่อ ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะมีวิถีทางที่เป็นคนละขั้วอย่างชัดเจน ซึ่งความขัดแย้งตรงนี้คือสิ่งสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบ
John Lawrence (Tom Conti) และ Jack Celliers (David Bowie) คือตัวแทนจากฝ่ายอังกฤษ โดย Jack Celliers คือตัวแทนจากโลกตะวันตกแบบเต็มขั้น เป็นตัวละครที่มีบุคลิกอยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เพราะในโลกตะวันเชื่อในสิทธิและเสรีภาพของตัวเองเป็นสำคัญ เน้นความเป็นปัจเจกมาก ในขณะที่ John Lawrence คือคนที่อยู่ในค่ายมายาวนานกว่า เขาพยายามเรียนรู้และเข้าใจฝ่ายตรงข้ามอย่างญี่ปุ่น ซึ่งก็จะเห็นว่าเขาคือคนเดียวที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นได้
Yonoi (Ryuichi Sakamoto) และ Gengo Hara (Takeshi Kitano) คือตัวแทนจากฝ่ายญี่ปุ่น และแน่นอนว่า Yonoi คือตัวแทนคนญี่ปุ่นแบบเต็มขั้นเช่นกัน สีหน้าขึงขัง ความเจ้าระเบียบ และการยึดถือในวัฒนธรรมตัวเองเป็นสำคัญได้แสดงออกผ่านตัว Yonoi เสมอ และแน่นอนว่า Gengo Hara คือคนที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความเป็นญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก จริงๆ Gengo Hara เองก็ยึดมั่นในธรรมเนียมของญี่ปุ่นมากๆ แต่เขาเองก็เป็นคนที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัว John Lawrence ที่เขาสนิทสนมด้วย ซึ่งในตอนท้ายเราก็จะได้เห็นทั้ง Gengo Hara และ John Lawrence พูดคุยและเปิดเผยคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดให้เราเข้าใจ
จะเรียกว่าเป็นการจับคู่ตรงข้ามที่ฉลาดก็ได้ เพราะการทำให้ Jack Celliers กับ Yonoi มาเจอกัน เป็นการเน้นย้ำให้เราเห็นความต่างของวัฒนธรรมและความเชื่อทั้งสอง ในขณะที่ Gengo Hara และ John Lawrence คือคู่ตรงข้ามที่คอยทำให้เรารู้สึกว่า ปัญหาความขัดแย้งเกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันอาจจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการพยายามทำความเข้าใจและไม่ยึดอัตตาตัวเองจนเกินไป
ความเชื่อหนึ่งที่แสดงความคิดที่แตกต่างของสองชนชาติได้ชัดเจนคือ สำหรับคนญี่ปุ่น หากถูกจับเป็นเชลยหรือกระทำความผิดจะยอมสละชีวิตของตนเพื่อรับผิดชอบ หรือที่เรียกว่าการทำฮาราคีรี ซึ่งหากใครที่ทำผิดหรือถูกจับเป็นเชลยแล้วยังมีชีวิตอยู่ จะถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ในขณะที่คนอังกฤษเชื่อว่า การรับผิดชอบต่อความผิดไม่ใช่การแลกด้วยชีวิต อีกทั้งตัวเองต้องเอาชีวิตรอดต่อไปให้ได้แม้จะเป็นเชลย มีความหวังและอยู่ต่อไปเพื่อกลับไปบ้านเกิด ไปเจอหน้าครอบครัว คนที่รัก การสละชีวิตจึงไม่ใช่ทางออกของปัญหาสำหรับชาวอังกฤษ
แค่เพียงประเด็นนี้ประเด็นเดียวก็ทำให้เราเห็นความขัดแย้งทางความเชื่อของคนสองกลุ่ม และแน่นอนว่าหนังก็จะพยายามปล่อยความขัดแย้งทางความคิดมาให้เราได้ทำความเข้าใจและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งหนังไม่ได้ตัดสินว่าความเชื่อของใครถูกต้อง แต่เป็นหน้าที่ของคนดูที่อาจจะต้องไปคิดกันต่อเองว่าคิดเห็นยังไงกับโจทย์ที่หนังเรื่องนี้ส่งมาให้
กลับมาที่ตัวละคร Yonoi เป็นตัวละครที่ชวนให้เราเห็นใจมากที่สุด ในหนัง John Lawrence เรียกเขาว่าเป็นหนุ่มหัวก้าวหน้า ซึ่งเราก็จะเห็นว่าการกระทำของ Yonoi นั้นดูสับสนไปมา บางครั้งดูใจดีและเห็นใจเชลยในค่าย แต่บางครั้งก็โหดร้ายและตัดสินใจโดยใช้อำนาจเป็นใหญ่ของตน ซึ่งมันคือความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนว่าตัว Yonoi ยังไม่รู้ว่าจะต้องเลือกทางไหน ทำอะไรถึงจะเรียกได้ว่า ‘ถูกต้อง’ และกลายเป็น Jack Celliers นี่เองที่มา ‘ฝังเมล็ดพันธ์ุ’ ไว้ในตัวของ Yonoi แม้จุดจบของพวกเขาจะเป็นความตาย แต่เราก็สามารถบอกได้ว่าในวันที่ Jack Celliers จูบเขาต่อหน้าผู้คนในค่าย คือวันที่ Yonoi ได้มองเห็นกำแพงที่เขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้ เขาเรียนรู้ที่จะรักและเปิดเผยความปราถนาดี การนำ ‘เส้นผม’ ของ Jack Celliers ที่เสียชีวิตไปแล้วเอาไปบูชาที่ศาลเจ้าในช่วงท้าย ทำให้เราเห็นการแสดงความเคารพและนับถือจากตัว Yonoi ถึง Jack Celliers ที่กลายเป็นดอกไม้แบ่งบานท่ามกลางความขัดแย้ง
Merry Christmas Mr.Lawrence จึงเล่าเรื่องราวของปมขัดแย้งแทบจะทุกอย่างและทุกมิติที่มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นไปได้ ทั้งความสัมพันธ์แบบ Homosexual ที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นเปิดเรื่องจากที่มีการจับได้ว่าทหารเกาหลีในค่ายกับเชลยชาวเยอรมันแอบมีความสัมพันธ์กัน รวมไปถึงท่าทีของ Yonoi ที่มีต่อ Jack Celliers ที่แม้หนังจะไม่ได้เฉลยหรือเปิดเผยมากนัก แต่คนดูก็พอจะเดาออกกันได้บ้าง (ซึ่งการพูดถึงประเด็นนี้ในหนังยุค 90s เป็นอะไรที่ใหม่มากทีเดียว และแม้จะผ่านไปหลายสิบปีก็ยังดูสดใหม่อยู่เสมอจนน่าแปลกใจ) การพูดถึงประเด็นความเชื่อของคนต่างวัฒนธรรมก็ถูกเล่าให้เห็นซ้ำๆ เสมอเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญที่หนังเรื่องนี้พยายามนำเสนอมากที่สุดคือ ไม่ว่าจะมีกำแพงต่างๆ ทั้งเชื้อชาติ เพศ หรือสิ่งใดก็ตาม เราเองสามารถข้ามมันไปได้ด้วยความเข้าใจและความรัก ความยินดีต่อชีวิตของคนที่อยู่ร่วมโลกกับเรา
หนังได้สรุปทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งคำตอบของความขัดแย้งทั้งหลายไว้ในบทสนทนาตอนท้ายของ John Lawrence และ Gengo Hara ในวันที่โลกกลับด้าน ฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะ Gengo Hara ถูกจับและได้รับโทษประหาร John Lawrence กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่ในฉากนั้น ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน เรามองไม่เห็นอำนาจเหล่านี้เลย เพราะทั้งสองคนได้เรียนรู้มาด้วยกันถึงมิตรภาพและความปราถนาดีที่มีต่อเพื่อนมนุษย์
สิ่งที่ John Lawrence พูดให้อีกฝ่ายฟังนั้น คือสิ่งที่สามารถอธิบายความขัดแย้งทั้งหมดที่เรามี เราต่างคิดว่าตัวเองถูกต้อง ต่างฝ่ายต่างคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด เรามีความเชื่อที่แตกต่างกัน ซึ่งเราอาจไม่ได้กลับมาคิดกันเลยว่าบางทีอาจจะไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกเลยก็ได้ เราอาจจะผิดกันทั้งหมด (ซึ่งจะมองว่าเรามี ‘ความจริง’ กันคนละชุดก็ได้เช่นกัน)
ดังนั้น ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การตามหาว่าใครเป็นคนผิดหรือถูกอาจไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเดียวในโลกที่ความจริงนั้นแสนซับซ้อนและถูกผลิตซ้ำก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็หวังว่าเราจะยังสามารถหยิบยื่นมิตรภาพให้กันในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเช่นนี้