เมื่อความรักผลิบานกลางใจ ความปีติท่วมท้นจนเผลอคิดไปว่า ความรักนี้ได้มอบอะไรให้เรามากมายเหลือเกิน เหตุนั้นเราจึงลืมพลิกฉลากอ่านคำเตือนในอีกฝั่ง ว่ามันก็อาจพรากเอาบางสิ่งไปได้เช่นกัน
ยามรัก เรากอบโกยความสุข เสน่หา ที่อีกฝ่ายมอบให้ แลกเปลี่ยนความรู้สึก ประสบการณ์ร่วมกัน แต่กว่าจะได้สิ่งเหล่านั้นมา เราได้สละอะไรไปบ้าง ยอมสละพื้นที่บนอ่างล้างหน้า ให้ข้าวของเครื่องใช้อีกคนวางเคียงกัน ยอมสละเวลาส่วนตัว เพื่อใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น หรือแม้แต่ความคิด การตัดสินใจ ในบางเรื่อง ที่เรายอมลดความสะดวกกายสบายใจที่เคยมียามเป็นโสดไป เมื่อมีอีกคนเข้ามาเป็นตัวแปรในความสัมพันธ์
แม้จะบอกว่าสิ่งที่ลดน้อยถอยไปเหล่านั้น เราสละมันไปด้วยความเต็มใจ แต่นั่นหมายความว่าบางสิ่งบางอย่าง มันไม่สามารถเดินทางไปพร้อมความรัก ความสัมพันธ์ได้งั้นหรือ มาสำรวจเรื่องวุ่นๆ ของความรักและอิสระ ผ่านมุมมองความรักของนักปรัชญา ว่าพวกเขามองความรักเป็นสิ่งเหนี่ยวรัั้งอิสระ จนต้องเลือกสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวเลยหรือเปล่า?

หากพูดถึงอิสระคงไม่พูดถึง Being and Nothingness (1943) ของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) ไม่ได้ เขาอธิบายว่ามนุษย์นั้นดำรงอยู่มาก่อนแก่นแท้ (existence precedes essence) เกิดมาก็เป็นอิสระ ไม่มีสาระตายตัวกำหนดอะไรในชีวิตเรามาก่อน
แต่อิสระนั้นดูเหมือนจะสั่นคลอนได้เช่นกัน โดยเฉพาะในความรัก ในบท Concrete Relations with Others ซาร์ตร์มองว่าความรักคือความพยายามครอบครองเสรีภาพของอีกฝ่าย หากมองผ่านมุมนี้ เมื่อเรารักใครขึ้นมา เราย่อมอยากเป็นที่รักของคนนั้น แล้วความต้องการจะเป็นที่รักนี้เนี่ย มันคือความต้องการให้อีกฝ่ายเลือกเรา ขณะเดียวกัน ก็ไม่อยากให้เขาไม่เลือกเราด้วย ต่อให้อยู่ในความสัมพันธ์ที่ความรักผลิบานไปแล้ว เราก็ไม่อยากให้เขาเลิกรักเราด้วยเหมือนกัน
แล้วไหนล่ะที่ว่าทุกคนมีอิสระในตัวเอง แล้วเราดันไปลิดรอนอิสระของคนอื่นงั้นหรือ กลับกัน คนรักของเรากำลังคิดแบบนี้อยู่เหมือนกันหรือเปล่านะ เรากำลังถูกลิดรอนอิสระด้วยเหมือนกันหรือเปล่า ความรักมันก็เลยเป็นเหมือนภาวะขัดแย้งในตัวเองในสายตาของซาร์ตร์ เป็นการพยายามควบคุมเสรีภาพของอีกฝ่ายโดยไม่อยากให้เขารู้ว่ากำลังทำอยู่
แค่ความรู้สึกที่อยากให้เขาเลือกเรา ไม่อยากให้เราเลิกรักเรา ก็นับว่าขัดกับอิสระที่ติดตัว (ในสายตาซาร์ตร์) แล้ว ดูเหมือนว่าทั้งสองสิ่งนี้อาจจะไม่สามารถแยกจากกันได้ เหมือนกับเป็นภาวะขัดแย้งที่เราเองต้องทำความเข้าใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย กันไปทีละขั้น จนกว่าจะรู้สึกว่าอยู่ในความขัดแย้งนั้นได้อย่างเป็นสุข

อีกหนึ่งมุมมองความรัก ความสัมพันธ์ ที่น่าสนใจจาก ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) ในหนังสือ The Second Sex (1949) เธอกล่าวถึงเรื่องรักๆ ไว้ว่า วัฒนธรรมในสังคม ทำให้ผู้ชายและผู้หญิงมีความคาดหวังที่ไม่สมดุลต่อกัน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ที่แม้จะเปี่ยมด้วยความรักแค่ไหน ก็อาจกลายเป็นสนามรบแห่งความปรารถนาหรือสุสานแห่งความผิดหวังได้
ถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าเธอจะโบกมือลา ไม่เอาแล้วความรัก เธอกลับมองว่าความปรารถนาที่จะรักและได้รับความรักนั้น เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการดำรงอยู่ของมนุษย์
แล้วความรักของเธอหน้าตาเป็นแบบไหน เธอมองว่าความรักที่แท้จริงจะต้องเป็นความรักที่ตอบแทนกันและกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ ปรารถนาให้อีกฝ่ายมีอิสรภาพ ในฐานะบุคคลที่กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ ความรักที่ดีจึงไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการสร้างพื้นที่ให้ต่างฝ่ายเติบโตร่วมกัน แต่ไม่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

จริงๆ แนวคิดนี้เธอไม่ได้กล่าวถึงรักโรแมนติกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังหมายรวมถึงมิตรภาพ ครอบครัว หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย
สอดคล้องกับงานเขียนอีกชิ้นในชื่อ The Ethics of Ambiguity (1947) ที่เธอชูแนวคิดอิสรภาพร่วมกัน อิสรภาพของทั้งสองต้องเคารพคุณค่าของอิสรภาพซึ่งกันและกัน เพราะความปรารถนาให้ตนเองเป็นอิสระก็คือความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นอิสระเช่นกัน
เธอจึงเชื่อว่าความรักกับอิสรภาพอยู่ร่วมกันได้ ถ้าความรักนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับว่า เราเองก็ต้องเคารพในอิสรภาพของอีกฝ่าย ในแบบเดียวกับที่อีกฝ่ายจะเคารพของเราเช่นกัน เราจึงไม่จำเป็นต้องละทิ้งอิสรภาพเพื่อสานสัมพันธ์กับใคร แต่การความสัมพันธ์นั้นต่างหาก ควรทำให้ทั้งคู่ยังคงเป็นอิสระได้
สุดท้ายแล้ว ทั้งสองสิ่งมันอาจจะแยกขาดจากกันไม่ได้ มีรักแล้วย่อมมีความปรารถนาให้รักนั้นได้ดั่งใจ แม้จะแยกกันไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่ามันไปด้วยกันไม่ได้ คำตอบของเรื่องอาจไม่ใช่ว่าเราจะเลือกรักหรือเลือกอิสระ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่อาจหมายถึงหนทางจะไปต่อในความรัก ที่เราแปรเปลี่ยนหน้าตาของอิสระไปตามรูปแบบความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย
อ้างอิงจาก