“ฉันเป็นโสเภณีค่ะอีฟ
เหมือนกับที่คุณเป็นนักเขียน”
เรื่องราวของโสเภณี กับนักเขียนที่หมดไฟ บนหน้ากระดาษที่ขีดเขียนโดย LADYS ได้กลายมาเป็นตัวละครที่เคลื่อนไหวโลดแล่นอยู่บนจอเงิน โดยเอมอัยย์ จาก AORTA
เมื่อเราเลื่อนดูสิ่งที่คนพูดถึงคอนเชตตา สายตากวาดผ่านบทวิจารณ์จำนวนไม่น้อย ก็อาจรู้สึกได้ถึงความน่าสนใจที่ภาพยนตร์ทั่วไป CONCETTA (2025) ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวดราม่า หรือความรักโรแมนติก หากแต่ยังเป็นผลงานแนวกระแสสำนึก (stream of consciousness) ที่สร้าง ‘ความรู้สึก’ ต่อคนดูในแบบที่ต่างกันออกไปด้วย
หากสำรวจจิตใจที่ยุ่งเหยิงของ อีฟ เพย์น (รับบทโดย ไอญา – ภูมิรัตน์ ลอร่า แวน เฮค) กับหญิงลึกลับที่ถูกขนานนามว่าคอนเชตตา (รับบทโดย ต่าย – เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) แม้เป็นเรื่องราวเดียวกัน แต่ด้วยความต่างทางประสบการณ์และการตีความ ก็อาจทำให้เกิดคำถามที่ยังมิอาจหาคำตอบ — “เรากำลังใช้ชีวิตของเราอยู่ หรือเพียงแค่อยู่ในชีวิตที่คนอื่นสร้างไว้ให้เราเฝ้ามอง?”
เพื่อสำรวจหนึ่งในปรากฏการณ์งานศิลปะ จากสองศิลปินนี้ให้มากยิ่งขึ้น The MATTER ได้ไปพูดคุยกับทั้ง 2 ศิลปิน ที่แม้รูปแบบผลงานจะต่าง แต่ต่างก็โหยหาอิสรภาพในการสร้างศิลปะไม่ต่างกัน
“สวัสดีค่ะ ชื่อลาดิดนะคะ เป็นนักเขียน และเป็นเจ้าของร่วมของสำนักพิมพ์ลาดิดและมูนสเคป”
“เอมอัยย์ค่ะ ตอนนี้เป็นนักเขียน ผู้กำกับ และทำหนัง ทำละครเวที แล้วก็ทำงานเชิงประเด็นหลายๆ อย่าง และเป็นนักเขียนอิสระ ทำหลายอย่าง แต่กับเรื่องนี้ เป็นนักเขียนและผู้กำกับค่ะ”
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะตัวเดียวกัน เริ่มต้นจากการทักทาย และให้คำนิยามตัวเองตามโจทย์ที่ได้รับไป และต่อจากนี้ คือบทสนทนากับพวกเขาทั้งคู่
และต่อจากนี้ คือบทสนทนากับทั้ง 2 ศิลปิน
หมายเหตุ: มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนังสือ Stream of Concetta และภาพยนตร์ CONCETTA (2025)
กำเนิด ‘คอนเชตตา – อีฟ’
ลาดิด : เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นน่าจะทำงานแล้วเหนื่อย เลยอยากเขียนเรื่องของความเหนื่อย แต่ก็ยังอยากที่จะเขียน ความคิดไม่ออก แต่เราจะหาแรงบันดาลใจได้จากที่ไหน แล้วเอามวลทั้งหมดนี้มารวมกัน เราแค่เหนื่อยเหมือนกัน แต่เราไม่มีทางยอมให้ตัวเองใช้ชีวิตเละเทะขนาด อีฟ เพย์น ในหนังสือ
และที่ไม่เคยบอกที่ไหน จริงๆ แล้วตัวละครคอนเชตตาที่เป็น Sex Worker ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคนที่เป็น Sex Worker คนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตกันในช่วงหลายปีก่อนจากการเจอกันบ่อยครั้งในร้านกาแฟที่ไปบ่อยๆ ขณะนั้นเราเรียนอยู่ แล้วไม่กล้าบอกเขา เลยบอกว่าเราเป็นนักเขียน เพราะตอนนั้นก็มีเขียนเล็กๆ น้อยๆ เป็นงานอดิเรกอยู่
พอคุยกันไปเรื่อยๆ ก็มีการท้ากัน เขาเรียกตัวเองว่า ‘กะหรี่’ แล้วท้าเราว่า
“ถ้าเขียนเรื่องของกะหรี่ แล้วไม่ต้องมีตอนจบแย่ เธอคิดว่ามันจะขายได้หรอ”
เราก็บอกว่า ถ้าเราเก่งมันก็คงได้ แต่เขาไม่อ่านหนังสือ เราเลยบอกว่า “งั้นก็รอดูหนังแล้วกัน” จนเขาถามต่อว่า “แล้วเธอคิดว่ามันจะดังขนาดโดนเอาไปทำหนังได้เลยหรอ” และอีกคำถามคือ “คิดว่ากะหรี่มันจะถูกกฎหมายได้หรอ”
ตอนนี้ก็สำเร็จไป 2 อย่างแล้ว เหลืออีกอย่างหนึ่ง ที่ก็กำลังพยายามอยู่… แต่ถ้าถามว่าตัวละครนี้เหมือนเขาไหม ไม่มีความเหมือนเลย แค่เรารู้สึกว่าตัวเขาในความทรงจำเรามันยังคงเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
สารตั้งต้นของภาพยนตร์ CONCETTA (2025)
ลาดิด : จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่หนังสือเรื่องเดียวที่เราอยากทำเป็นหนัง มันเริ่มตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ความเหนื่อยอ่อนๆ จากการทำงานมันเริ่มปรากฏ เราก็เลยอยากเอาตัวเองออกไปจากการทำงานคนเดียวไปเรื่อยๆ ประกอบกับปีที่แล้ว เราได้ไปดู Cloud Cuckoo Country (2022) (ภาพยนตร์ที่เขียนบทและกำกับโดย เอมอัยย์) ดูแล้วชอบ เลยเก็บไว้ในใจ
เราจึงไม่ได้เอาคอนเชตตาเป็นตัวตั้ง แต่เราเอาเอมอัยย์เป็นตัวตั้ง
เราไปดูงานเขาแล้วรู้สึกว่า เขาพูดในสิ่งที่เขาอยากพูด แม้เราจะต่างกันมาก รูปแบบของผลงานก็ต่าง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความเป็นอิสระในการเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราทำสำนักพิมพ์อิสระ เพราะเราอยากทำ เราไม่อยากให ้บ.ก. มาบอกว่าเราพิมพ์ได้แบบไหน เราจะพิมพ์ เหมือนเขาที่ทำของเขาเอง
เราเลยคิดว่า ไหนๆ ก็มีคนที่ ‘ถ้าอยากพูดอะไรก็คงจะพูด’ ก็เลยเลือกเล่มที่ถ้าหากจะเอาให้ที่ใหญ่ๆ ทำ หรือที่ที่จะโดนคลุมด้วยทุนบางอย่างไปทำ ก็อาจโดนเซ็นเซอร์จนไม่เหลือสิ่งที่เราจะพูดแล้ว
เอมอัยย์ : เขาส่งอีเมลมาชวน และส่งพัสดุเป็นหนังสือมาให้ด้วย แล้วเราก็อ่าน แต่ในตอนแรก จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากจะทำงานกับใคร กะว่าจะทำงานของตัวเอง เขียนเอง หรือทำกับกลุ่มของศิลปินที่เป็นเพื่อนๆ ที่เรารู้จักกัน พอเป็นเรื่องนี้ เราก็คิดว่าทำไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นนักเขียนที่มีแฟนคลับของเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางที่ฉันจะไปเทียบกับจินตนาการของแฟนคลับที่เขาคิดขึ้นมาในหัวได้
เพราะคนที่อ่านหนังสือเขาจะมีจินตนาการของเขา ร้อยคนอ่าน ก็ต่างกัน ไม่เหมือนคนดูละครหรือดูหนัง ที่มีความจริงเพียงหนึ่งเดียวคือสิ่งที่เรานำเสนอให้ดู แล้วฉันจะไปสู้กับคนร้อยคนได้อย่างไร มันก็เลยเป็นความท้าทายหนึ่งที่อยากทำ
พอเขาส่งหนังสือมาเลยลองอ่านดู ก็ยังคิดว่าถ้าจะทำเป็นหนังก็น่าจะยุ่งยากนะ เพราะเนื้อเรื่องมีแต่ความรู้สึก ไม่มีพล็อต และมันยังเป็นงานแนวกระแสสำนึกด้วย ที่ไม่ได้มีความเป็น ‘หนัง’ ขนาดนั้นอยู่แล้ว แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ ให้มันเป็นหนัง แล้วก็มีคนมามอบบททดสอบนี้ เลยลองทำดูก็ได้ มันก็น่าสนใจ และเรื่องมันน่าจะนำไปสู่อะไรที่เราชอบ เราอยากเห็นมันมีชีวิตขึ้นมาได้
แม้ว่า AORTA ในตอนนี้จะดูเหมือนเราทำแค่งานที่เราผลิตเอง แต่ปลายทาง เราอยากให้มันเป็นที่ที่รวมงานของศิลปินได้หลายแบบ เป็น Artist Hub ที่สร้างสรรค์งานได้หลายแบบ สนับสนุนศิลปินผู้หญิงได้หลายแบบ เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นการลองทำเป็นพิมพ์เขียวด้วย ว่าถ้าหากเราร่วมทำงานกับศิลปินคนอื่นมันจะออกมาเป็นแบบไหน
‘กระแสสำนึก’ ในหน้ากระดาษ สู่ภาพเคลื่อนไหว
เอมอัยย์ : ตอนแรก เราเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมาเลยโดยที่ไม่ได้ดูจากหนังสือ เป็น Dramatic Movie ที่มีพล็อต มีการดำเนินไปของเรื่องราว เลยพยายามใส่สถานการณ์ เบื้องหลังตัวละคร ว่าคอนเชตตาเป็นมายังไง ทำงานที่ไหน มีเหตุการณ์อะไรในชีวิต
แต่พอลองมานั่งอ่าน สิ่งนี้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องการ แล้วเราจะเล่าอะไรจากงานกระแสสำนึก? เพราะปกติเวลาที่เราทำงานเราก็ต้องมานั่งคิดว่าอยากจะให้คนดูเข้าใจอะไร แต่พอมานั่งคิดจริงจัง
คือเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรให้เข้าใจ แต่ต้องให้รู้สึกอะไรบางอย่างมากกว่า
มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องหอบความเข้าใจไปให้กับคนดู ไม่ต้องรู้ว่าคอนเชตตาเป็นมาแบบนี้นี่เอง อีฟเป็นมาแบบนี้นี่เอง แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ แต่คนดูควรได้รู้สึกอะไรบางอย่าง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นเราต้องไม่ไปบังคับให้มันเกิดเนื้อหา หรือให้เกิดสถานการณ์ขนาดนั้น
เราก็เลยแก้ใหม่ให้เป็นโครงเดิมของเรื่องจากในนิยาย เพราเราคิดเองหมดเลยว่าเขา (ลาดิด) ไม่ได้ต้องการเห็นมันเป็นหนังในแบบที่อยากจะให้มีตัวละครมาเดินบนเวที แต่การที่เขาเขียนหนังสือกระแสสำนึกมาหลายเล่ม เขาอาจจะอยากทำให้คนรู้จักศิลปะรูปแบบนี้มากขึ้น เราจึงต้องทำหนังให้มันรู้สึกแบบเดียวกันกับรูปแบบนั้น
เราก็เลยเอาเส้นพล็อตออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่า อาจจะมีคนดูหนังที่มาดูเพื่อเอาความเข้าใจเพื่อเอาไปเขียนรีวิว แต่เราก็รู้สึกว่า เราจะพาสิ่งนี้ไปให้คนที่ไม่รู้จักมันมาก่อน ไม่เคยรู้สึกกับมันมาก่อน แล้วอยากให้เขารู้สึกอะไรบางอย่างกับอะไรใหม่ๆ
คนทำหนังจะมีกฎเรื่อง ‘Show don’t tell’ แต่เรื่องนี้ tell ล้วนๆ tell หมดเลย
เราเคยลองถ่ายแบบไม่มีเสียงบรรยายเลย แต่มันไม่ใช่ไวยากรณ์ของกระแสสำนึก
ฉบับที่เผยแพร่ให้ทุกคนได้ดู จึงเป็นแบบที่มีคำพูดจากในหนังสืออยู่ในช่วงหนึ่ง แล้วค่อยๆ ลดน้อยลงจนเป็นภาษาบทสนทนามากขึ้น จนตอนท้ายพูดอะไรบ้านๆ ขึ้น ความประดิษฐ์ประดอยของความเป็นนักเขียนมันค่อยๆ จางหายไปจากตัวละคร ค่อยๆ ให้รู้สึก จะเห็นว่าทุกอย่างค่อยๆ จางลง
จากตอนแรก คอนเชตตา ก็แต่งหน้าเข้มมาก ตามภาพเหมารวม (Stereotype) ที่ Sex Worker จะต้องแต่งหน้าเข้ม ติดขนตาปลอม ทาปากเบิร์น จากนั้นก็ค่อยๆ แต่งหน้าเบาลง จนกลายเป็นไม่แต่งหน้าอะไรเลย หรือตัวอีฟ ที่เริ่มต้นโดยการไม่แต่งหน้าอะไรเลย แต่หลังจากเจอคอนเชตตา อาจตั้งใจจัดห้องให้เรียบร้อยมากขึ้น ทาปากให้มีสีมากขึ้น ค่อยๆ เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่เราพยายามทำกับหนังเรื่องนี้
ลาดิด : หนังสือเรื่องนี้แทบไม่มีคนที่รู้สึกกลางๆ กับมัน ดังนั้นเราไม่ได้คาดหวังว่าถ้าเป็นหนังแล้วมันจะต้องแตกต่างออกไป โลกนี้มันก็เป็นแบบนี้
เอมอัยย์ : แต่เราก็ไม่ได้อยากตีความให้คนเกลียด แต่มันมีไวยากรณ์ของเรื่องเล่า แต่ไม่ใช่แบบโครงเรื่องที่มีซีน 1 2 3 หรือซีนไล่ล่าที่ทำให้ตื่นเต้น
ความคาดหวัง – ความชื่นชม – เส้นที่ยอมไม่ได้
ลาดิด : ความแตกต่างระหว่างในหนังกับในหนังสือ คือในหนังสือ ไม่ได้มีเรื่องความต่างวัย แต่ถามว่า เราติดกับการที่มันมีปรากฏมาในหนังไหม ไม่ เพราะตอนที่เราให้ทำหนังเรื่องนี้ เราคาดหวังแค่ให้เขา (เอมอัยย์) ชอบในสิ่งที่เขาทำ คือไม่ต้องถามเราก็ได้ว่าเราชอบไหม แต่ถ้าเอมพอใจ เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ
เพราะถ้าเราไม่ชอบเขา เราก็จะไม่ส่งอีเมลไปหาเขา เราชื่นชอบเขาในความเป็นศิลปิน ที่ได้พูดในสิ่งที่เขาอยากพูด อย่างที่เขาบอกไปว่าการอยู่ในประเทศนี้มันยากนะ การจะยืนอยู่ด้วยเงินทุนระดับหนึ่ง แล้วก็จะพูดแบบนี้ และบ้านไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีที่จะคอยส่งเงินให้
เอมอัยย์ : ถ้าบ้านเป็นมหาเศรษฐีป่านนี้สบายไปแล้ว จะทำหนังปีละ 3 เรื่อง
ลาดิด : เราเป็นแฟนคลับเขาแบบนั้น แล้วเมื่อทำงานคนเดียวมาระดับหนึ่งก็อยากทำงานกับคนอื่นบ้าง เราก็อยากจะเลือกทำงานกับคนที่เราชอบ เราเลือกคนที่เรามั่นใจว่าจะไม่บาดหมางกันในสิ่งที่เขาทำ แต่ถึงเราดูสบายๆ แต่จริงๆ แล้วเราก็มีเส้นของเราอยู่ แต่เขาไม่ได้เฉียดมาใกล้แค่นี้เลย
เอมอัยย์ : เส้นอะไร?
ลาดิด : ไม่เคยบอกด้วย เพราะว่าเรารู้ว่าคุณจะไม่ทำสิ่งนี้อยู่แล้ว เช่น ถ้าขอเปลี่ยนคอนเชตตากับอีฟเป็นชาย-ชาย อันนี้คงจะต้องด่ากัน ซึ่งเคยมีคนขอด้วย หรืองานไหนที่เราทำตัวละครเป็นคนข้ามเพศไว้ แล้วขอเปลี่ยนเป็นตัวละครคนตรงเพศ เราไม่ให้ แต่ถ้าจะขอเปลี่ยนคอนเชตตาเป็นหญิงข้ามเพศ เราให้นะ คือเรามีเหตุผลที่ให้ตัวละครนี้เป็นเพศใด
ถ้าจะมาเปลี่ยนตัวละครของเราเป็นเพศที่ ‘ดูเป็นบรรทัดฐาน (Normative)’ ในสังคมมากขึ้น หรือมี ‘อำนาจ’ ในสังคมมากขึ้น เราไม่ให้
เอมอัยย์ : เรื่องนี้มันแบกความเป็นผู้หญิงมาอยู่แล้วในตัวละคร แล้วก็เล่าในเรื่องความเป็นผู้หญิงผ่านไดนามิกตัวละคร
ไม่ใช่เรื่องรัก โรแมนติก หรือดราม่า… แล้ว CONCETTA คืออะไร?
ลาดิด : สำหรับเรา ทั้งหนังสือ ทั้งหนัง เหมือนกันเลยก็คือการได้รับ ‘แรงบันดาลใจ’ จากตัวละครคอนเชตตา ถามว่ารักไหม โรแมนติกไหม อย่างคนที่เป็นแรงบันดาลใจคนนั้น เราก็ไม่ได้รักเขาแบบโรแมนติก ดังนั้นสารจึงเป็นอันเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะการจะได้รับแรงบันดาลใจไม่จำเป็นต้องมาจากความรักโรแมนติก
เอมอัยย์ : ตอนที่เราแคสต์ เราอยากได้ผู้หญิงที่มีภาพที่จะ ‘ปลอบโยน’ คนคนหนึ่งได้ มีคนบอกว่าทำไมไม่เห็นจะจิ้นเลย ไม่เห็นจะโรแมนติกเลย แต่ฉันอยากให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเป็นอะไรสักอย่างที่ปลอบโยนชีวิตคนอีกคนหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือมันอาจจะติดอยู่ในชีวิตไปอีกนานก็ได้ นั่นคือปลายทางของสิ่งที่เรื่องนี้จะพาไป แล้วแต่การตีความ แต่คือการได้อะไรสักอย่างจากคนคนหนึ่ง
ลาดิด : มันคือการผ่านเข้ามาหนึ่งครั้ง และไม่ว่าจะรู้สึกอะไร มันก็คือการที่ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากเธอ
แม้ว่าเธอจะหายไปแล้ว แต่ทุกวันนี้นึกถึงเราก็ยังรู้สึก
รับชม CONCETTA (2025) ได้ทาง https://youtu.be/IQJ-SZlABi0?si=H804YXvH7lHny-0E