“And I know we weren’t perfect but I’ve never felt this way for no one
And I just can’t imagine how you could be so okay now that I’m gone”
นอนร้องไห้ทุกทีที่ฟังเพลง drivers license แล้วตอนนี้ออกมาจากความเศร้านั้นได้หรือยัง? หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่าอัลบั้มเดบิวต์ของโอลิเวีย ร็อดริโก (Olivia Rodrigo) ช่วยให้คนอกหักมูฟออนมาได้นักต่อนักแล้ว มีอะไรซ่อนอยู่ในอัลบั้มที่กวาดรางวัล Grammy ไปกว่า 3 รางวัล และทำไมการฟังเพลงของเธอถึงเหมือนการอัดยาแก้ปวด (ใจ) ให้ตัวเองกันนะ
เพราะความรู้สึกน้อยใจเกิดขึ้นได้กับทุกคน Sour เป็นอัลบั้มเดบิวต์ของโอลิเวีย ร็อดริโก ในวัย 17 ปี เธอพูดถึงอัลบั้มนี้ว่า สิ่งที่เธอภาคภูมิใจในอัลบั้มนี้ คือ การที่เธอสามารถพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกมาได้ยาก และสังคมอาจไม่ยอมรับ การแสดงอารมณ์โกรธ อิจฉา แค้นเคืองนั้นทำให้เด็กสาวคนหนึ่งถูกมองว่าเป็นคนนิสัยไม่ดี แต่ในมุมมองของเธอ มันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกสามารถเกิดขึ้นได้จริงในใจของทุกคน
เพลงที่อยู่ในอัลบั้มนั้นเป็นการสำรวจอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ที่บูดเปรี้ยว อารมณ์ความรู้สึกที่เด็กสาวคนหนึ่งจะต้องเก็บเอาไว้โดยไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้ ชื่ออัลบั้มนี้พูดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิตของเธอที่เริ่มบูดเปรี้ยวเมื่อเธอโตขึ้น เรื่องราวในเนื้อเพลงล้วนเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเธอในฐานะเด็กสาวอายุ 17 ปี ซึ่งมีทั้งความเจ็บปวดและการค้นพบสิ่งใหม่
เมื่อต้องมองคนรักเดินจากไป ลำดับขั้นของความเสียใจนั้นมีอยู่ 5 ขั้นด้วยกัน คือขั้นปฏิเสธความจริง ขั้นความโกรธเคือง ขั้นการต่อรอง ขั้นความเศร้าหมอง และขั้นการยอมรับความจริง เพลงทั้งหมดในอัลบั้มของเธอล้วนเป็นตัวแทนของแต่ละขั้นของความเสียใจหลังการเลิกราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น deja vu, good 4 u, favorite crime, enough for you ที่อยู่ในขั้นปฏิเสธความจริงและโกรธเคือง drivers license, traitor อยู่ในขั้นเศร้าหมอง ส่วน happier, hope ur okay อยู่ในขั้นของการยอมรับความจริง
ระบายกับใครไม่ได้ ให้ตะโกนร้องท่อนบริดจ์แบบสุดเสียง
ความรู้สึกลบๆ อย่างความโกรธ ความอิจฉา ความหวงก้างนั้นยอมรับได้ยาก ซึ่งยอมรับก็ว่ายากแล้ว แต่การพูดหรือระบายออกมานั้นยากยิ่งกว่า พูดไปก็โดนเพื่อนดุเอาว่านิสัยไม่ดีเลย แต่ท่อนบริดจ์ของโอลิเวียทุกเพลงนั้นเป็นการร้องตะโกนความในใจที่อัดอั้นเหล่านั้นออกมา ถ้าไม่รู้จะระบายกับใคร ก็มาแหกปากให้สุดเสียงกับท่อนบริดจ์ของเธอก็ได้
เริ่มที่ท่อนบริดจ์สุดไอคอนิกของเพลง drivers license (ที่แม้จะถูกเล่นวนจนเบื่อแล้ว แต่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้) การที่เรายังเห็นใบหน้าของคนรักเก่าในทุกที่ที่เคยไปด้วยกันจนไม่อยากจะผ่านไปเห็นอีกแล้ว ไม่ว่าจะแยกไฟแดง สวนหน้าบ้าน ทางม้าลายที่เคยจูงมือข้ามด้วยกัน เพราะเรายังคงรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง การใช้เสียงที่เปลี่ยนทำให้คนฟังแม้จะไม่เคยมีประสบการณ์การจูงมือข้ามทางม้าลายมาก่อนก็สามารถรู้สึกอกหักทิพย์ได้ในทันที
ส่วนเพลง jealousy, jealousy ที่ทุกคนรอคอยจะตะโกนท่อนบริดจ์ตามเสมอ ก็พูดถึงความรู้สึกอิจฉาคนที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ความอยากจะเป็นคนคนนั้นที่มีหน้าตาสวย มีชีวิตที่ดี ซึ่งเราเชื่อว่าทุกคนอาจจะเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกัน บวกกับการกระแทกเสียงในทุกประโยคนั้นแสดงให้เห็นว่าความอิจฉา ความโกรธโลกใบนี้มีมากเพียงใด การได้ตะโกนท่อนบริดจ์ของ jealousy, jealousy ออกมาเลยช่วยเยียวยาใจได้อย่างน่าประหลาด
หรือเพลง deja vu ที่เราต้องยอมรับว่าในเวลาที่เลิกรากันไปแล้วเห็นเขามีคนใหม่ เราอดใจไม่ได้หรอกที่จะแอบเข้าไปส่องว่าคนใหม่ของเขาจะเป็นยังไง ทำอะไรด้วยกันบ้าง ยิ่งเห็นเขาทำในสิ่งที่เราเคยทำด้วยกันมาก่อนยิ่งร้อนรุ่มในใจ แต่จะบอกใครก็ไม่ได้เพราะดูขี้แพ้ ท่อนบริดจ์ของเพลงนี้เป็นการระบายเรื่องเหล่านั้นออกมา เสื้อแจ็กเก็ตที่แลกกันใส่ เราก็เคยทำมาก่อนนะ ไม่รู้สึกถึงวันเวลาที่เราเคยมีร่วมกันบ้างเลยหรือไง ถ้าเรื่องนี้มันพูดกับใครไม่ได้ก็ตะโกนร้องให้สุดเสียงไปเลย
เพลงของเธอทำให้รู้สึกว่า เราจะไม่ต้องผ่านมันไปคนเดียว
Sandi Curtis นักบำบัดด้วยเสียงเพลงได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเพลงของโอลิเวียเอาไว้หลายข้อด้วยกัน เริ่มที่เรื่องของข้อความในเนื้อเพลง ความอิมแพ็กของทำนอง และความกลมกลืนของคอร์ดที่มีความทรงพลัง เมื่อนำรวมกันแล้วสามารถกระตุ้นการตอบสนองที่แข็งแกร่งจากเราทั้งทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจในเวลาเดียวกัน ทำให้บางครั้งที่ฟังเพลงของเธอ เราอาจรู้สึกได้ว่ากำลังขนลุกอยู่ หรืออยากร้องไห้ขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ
Sandi Curtis ก็ได้ให้อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงของเธอนั่นเป็นเพราะเราได้ฟังเรื่องของเราในเพลงของคนอื่น ทั้งประสบการณ์ที่เราเคยมี อารมณ์ที่เราเคยรู้สึก ในช่วงเวลาที่เราแตกสลาย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เราได้รู้ว่าเราไม่ได้เจอกับเรื่องนี้อยู่คนเดียว
และการปลดปล่อยอารมณ์อะไรก็ตามระหว่างที่เราฟังเพลงนั้นอาจไม่ได้เกิดจากการอกหักเสมอไปSandi Curtis บอกว่าที่จริงแล้วเราอาจเชื่อมโยงชีวิตของเรากับเนื้อเพลงแค่ท่อนเดียวก็ได้ แต่ท่อนนั้นดันเป็นท่อนที่มีผลกับใจเราอย่างหนัก
เพลงเศร้าจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
ไม่ว่าเราจะเพิ่งอกหักมาแบบสดใหม่ หรือเป็นก่อนอกหักครั้งก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้วแต่ยังคงมูฟออนเป็นวงกลม เพลงของเธอเชื่อมใจคนอกหักได้เสมอ หลายคนต้องเคยเจออะไรบางอย่างเหมือนในเนื้อเพลง
การสับสนในความสัมพันธ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใน 1 step forward, 3 step back การที่คนรักเก่าของเรามูฟออนได้เร็วเกินไปจนใจเจ็บใน happier, good 4 u การที่คนใหม่ของเขาคือเพื่อนคนนั้นที่เราเคยสงสัยใน traitor การที่ร้านประจำของเรากลายเป็นร้านประจำของเขากับคนใหม่ไปแล้ว และการที่เรายังคงหวงเขาอยู่แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนของเราอีกต่อไปใน deja vu ก็ตาม การกดเล่นเพลงเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมานั้นช่วยฟื้นฟูใจเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
การฟังเพลงเศร้าที่มีเรื่องราวของเราอยู่ในนั้นจะช่วยให้เราได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและอารมณ์ความรู้สึกของเรา ทำให้เราอยู่กับปัจจุบันและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แทนที่จะกดมันเอาไว้แล้วพยายามจะมีความสุข เพลงเศร้าจึงกลายเป็นเพื่อนยามอกหักที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราต้องการมัน
ในวันที่เราฟังเพลงของเธอแล้วไม่ร้องไห้จะเป็นจะตายอีกต่อไป วันนั้นแหละคือวันที่เราก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดและเข้มแข็งขึ้นได้แล้ว
“Cause someday I will be everything to somebody else.”
อ้างอิงจาก