“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกอดเธออีกสักครั้งหนึ่ง อยากให้มันเป็นกอดสุดท้ายที่ดี”
เราไม่รู้หรอกว่ากอดครั้งไหนจะเป็นกอดครั้งสุดท้าย และในวันที่เราต้องการกอดสุดท้ายนั้นแบบใจจะขาด ก็พบว่ามันเป็นคำร้องขอในใจที่แม้เสียงดังแค่ไหน ก็ยากที่จะเป็นจริง เพราะเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว
เราล้วนมีใครสักคนที่เคยเป็นคนพิเศษในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้ลงเอยกันอย่างที่เคยวาดฝันไว้ ความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นเลยสร้างความรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้ในใจ ชนิดที่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ทำใจยอมรับและมูฟออนไปจากความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้สักที
หลายคนให้คำจำกัดความของคำว่ามูฟออนเป็นการลบทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ สิ่งของ แชต เบอร์โทร ความทรงจำ หรือตั้งเป้าเอาไว้ว่าถ้าเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนใหม่ได้เมื่อไหร่นั่นก็คือการมูฟออนได้แล้ว แต่ทำไมลบแชตทิ้งไม่ให้ตัวเองกลับไปอ่านอีกก็แล้ว ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขาไปแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ามูฟออนไม่ได้ 100% อยู่ดี
ไม่จำเป็นต้องลบ แต่แค่ยอมรับ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือแย่ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของเรา เราอาจพยายามลืมหรือทำเป็นหลับตาไม่มองมันได้ก็จริง แต่สักวันหนึ่งมันก็จะวนกลับมากวนใจเราอยู่ดี ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการมูฟออน (ให้ได้สักที) คือการยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง และมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว
ความคิดฟุ้งซ่านอันดับต้นๆ ที่ชอบเข้ามาในหัวของคนยังมูฟออนไม่ได้คือ “มันจะเป็นยังไง ถ้าวันนั้นเราไม่ได้ทำแบบนั้น” หรือ “วันนี้เราจะยังอยู่ด้วยกันไหม ถ้าตอนนั้นเราไม่ได้พูดคำนั้นออกไป” หรือ “วันนั้นที่เราคุยกันครั้งสุดท้าย เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง” คิดหาคำตอบทีไรก็น้ำตาจะไหลพรากทุกที
ก่อนอื่นเราขอบีบมือให้กำลังใจทุกคนที่มีความคิดเหล่านี้มากวนใจ พวกเราชาวดาวเศร้ารู้กันดีว่าไม่มีใครหนีความคิดแบบนี้ได้ วันดีคืนดีแค่เดินผ่านคาเฟ่ที่เราเคยนั่งด้วยกัน ความคิดพวกนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่มีใครอนุญาต ถ้าใจเรายังไม่พร้อมจะไล่ตะเพิดมันออกไปก็ไม่เป็นไร ให้มันอยู่ในใจแบบนั้นไปก่อนก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราไม่ต้องพยายามไปคิดหาคำตอบว่ามันจะเป็นยังไงถ้าแบบนั้นแบบนี้ คำถามพวกนี้เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ยิ่งคิดหาคำตอบมีแต่จะยิ่งช้ำ
ในวันนี้เขายืนอยู่ที่ปัจจุบันแล้ว แต่เรายังเดินออกจากอดีตไม่ได้สักที และการเห็นเขามีความสุขกับปัจจุบันของเขายิ่งทำให้เราเจ็บหนักขึ้นไปอีก จอห์น คิม (John Kim) นักบำบัดและผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ The Angry Therapist ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า ถ้าเรายังยึดติดกับเรื่องราวในอดีต วันนั้นมันเป็นความผิดของใครกันนะ เราอาจต้องคิดให้ถี่ถ้วนและยอมรับว่ามันไม่ใช่ความผิดของใครเลย หรือถ้ามีใครผิดในเรื่องนี้จริง การยอมรับอาจหมายถึงการให้อภัยในเรื่องราวที่เกิดขึ้น
การทำใจยอมรับเรื่องที่ต้องเราเจอโดยไม่ทันตั้งตัวเป็นเรื่องยาก มันอาจจะต้องใช้เวลา ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในสองวัน ดังนั้นให้เวลาตัวเองเท่าที่อยากจะใช้ การเร่งเร้าตัวเองให้รีบมูฟออนให้ได้สักทีอาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง มามูฟออนไปพร้อมกันโดยการเริ่มบอกตัวเองว่า “โอเค ต้องยอมรับความจริงแล้วแหละ” และให้เวลากับตัวเองมากขึ้นกัน
การมูฟออนไม่เคยเป็นเส้นตรงมาตั้งแต่แรก
มูฟออนเป็นวงกลม มูฟออนเป็นรูปหัวใจ หรือมูฟออนเป็นรูปอะไรก็ตามแต่ ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าเราล้มเหลวในการมูฟออน แต่ความจริงคือการมูฟออนนั้นอาจไม่เคยเป็นเส้นตรงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราจะร้องไห้ โกรธ ไปออกกำลังกายหรือหาอะไรทำให้ลืม สักพักเราก็เหมือนจะยอมรับได้ในบางเรื่อง แล้วก็กลับมาร้องไห้อีกครั้ง โกรธอีกรอบ โทษตัวเองอีกหน่อย เพื่อนชวนออกไปปาร์ตี้ สนุกกับชีวิต แล้วก็กลับมาร้องไห้อีกครั้ง เป็นเรื่องธรรมดาของการมูฟออนแหละ
อย่ารู้สึกผิดที่จะร้องไห้หรือกลับมาโกรธอีกครั้ง ทั้งที่เวลามันก็ผ่านมานานมากแล้ว ถึงเราจะมูฟออนเป็นวงกลมอยู่แบบนั้น แต่เราจะค้นพบว่าเมื่อเวลาผ่านไป การร้องไห้ของเราจะไม่ใช่การแผดเสียงออกมาจนหายใจไม่ทันเหมือนวันแรกที่เลิกกันอีกต่อไป เราจะร้องไห้ไม่บ่อยเหมือนเดิม แต่ละครั้งที่ร้องไห้อาจเป็นแค่น้ำตาที่ไหลอาบข้างแก้มแบบไม่มีเสียงสะอื้นใด คาเฟ่ที่เคยไปด้วยกันจากที่เดินผ่านทีไรก็ใจสลายจนต้องเลี่ยงไปเดินทางอื่น จะกลายเป็นแค่คาเฟ่ธรรมดาที่เรามองแล้วไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เข้าไปสั่งลาเต้เย็นหน่อยดีกว่า หูฟังที่เคยระเบิดเสียงเพลงเศร้าออกมาให้น้ำตามันไหลริน จะกลายเป็นเพลงสนุกๆ ที่ทำให้เราเคาะเท้าไปตามจังหวะเพลงอย่างชื่นบานได้
ถ้าให้เปรียบเทียบ การมูฟออนก็เหมือนการเดินทางไปในความทรงจำเพื่อยอมรับในสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ถ้าเรายอมรับมันได้ทั้งหมดแล้ว สามารถหันกลับไปมองทุกเรื่องราวได้โดยไม่โทษตัวเองอีกต่อไป กลับมารักตัวเองได้มากขึ้น นั่นคือสัญญาณที่ดีมากแล้วของการมูฟออน
ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น จะเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต
มีคำกล่าวว่า ‘จงเรียนรู้จากความผิดพลาด’ ดังนั้นการที่เราผ่านความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวังมาหลายครั้ง ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลวในเรื่องความสัมพันธ์หรือไม่คู่ควรกับความรักที่ดี แต่มันจะทำให้เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เรียนรู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาในความสัมพันธ์แล้วจะต้องแก้มันยังไง เรียนรู้ว่ากอดสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องทำทุกครั้งให้ดีที่สุด
การที่เราไม่ได้ลงเอยกับคนที่เราวาดฝันไว้ว่าอยากจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะรับไหว ถึงเราพยายามจะไขว่คว้าเขามากอดเอาไว้แน่นเท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีใครคนไหนสามารถเป็นของเราได้อย่างแท้จริง สิ่งที่จะอยู่กับเราคือความทรงจำ ประสบการณ์ และบทเรียนที่ได้รับมาจากความสัมพันธ์ครั้งนั้นต่างหาก
สุดท้ายเราจะได้รู้ว่า การมูฟออนที่แท้จริงไม่ใช่การลืมหรือการไปเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครคนใหม่ แต่เป็นการยอมรับได้ว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแล้ว
อ้างอิงจาก