การกลับมาที่หลายคนเฝ้ารอ Wicked ครั้งนี้กลับมาในฉบับจอใหญ่ แถมได้อารีอานา กรานเด-บูเทรา (Ariana Grande-Butera) และซินเธีย เอริโว่ (Cynthia Erivo) มาร่วมสานตำนานแม่มดเขียวแห่งบรอดเวย์
ทว่า อาจจะด้วยความเข้าใจที่ไม่ตรงกันบางประการ ทำให้มีข้อสงสัยและคำวิจารณ์ว่า Wicked ก็สนุกดีนะ แต่ทำไมบางจุดไม่ค่อยมีเรื่องเล่า และที่สำคัญคือทำไมร้องเพลงมากนัก อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกคงพอจะทราบว่า หนังเรื่องนี้ดัดเแปลงมาจากละครบอรดเวย์ ซึ่งเป็นประเภทละครเพลงหรือ Musical
ถ้าเราข้ามเรื่องความไม่เข้าใจประเภท (genre) ของมิวสิคัลว่าคืออะไร ‘ละครเพลง’ ถือเป็นอีกหนึ่งประเภทการแสดงที่ค่อนข้างมีแฟนคลับเหนียวแน่น กรณีเช่น Wicked ตัวละครเวทีเองก็ถือเป็นงานขึ้นหิ้ง ทั้งเรื่องดัดแปลงจากนวนิยาย ซึ่งต่อมาจากเรื่องตำนานคือ The Wizard of Oz ดนตรี เนื้อร้อง กระทั่งงานดีไซน์ แง่หนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ทำให้เราตื่นเต้นกับเรื่องราว แต่การกลับมาในครั้งนี้คือการได้กลับไปฟัง ไปชมการแสดงเพลงที่เราชื่นชอบอีกครั้ง
ถ้าไม่ใช่ Wicked ละครหรือการ์ตูนที่ใช้เพลงในการดำเนินเรื่องจากดิสนีย์ ไม่ว่าจะเป็นเพลงของ Frozen, Mulan และ Ariel เรื่อยมา ถึงละครเพลงในตำนาน เช่น The Sound of Music, Mamma Mia กระทั่ง Les Misérables สำหรับคนชอบดูหนัง ฟังละคร คงต้องมีสักเรื่องที่เราชอบและร้องเพลงในตำนานได้ แม้จะเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วและกลับมาทำใหม่ แต่ถ้าดีและมีโอกาส เราก็กลับไปดูอีกครั้งได้ไม่รู้จบ
คำถามคือ ละครเพลงที่ทั้งเรื่องร้องเพลง บางเรื่องก็เป็นเรื่องเรียบๆ ง่ายๆ แต่ทำไมละครเหล่านี้ถึงไม่มีวันตาย และเราในฐานะผู้ชม ไม่ว่าเราจะผ่านยุคดิจิทัล ผ่านสื่อบันเทิงหวือหวามามากมาย แต่ทำไมหลายคนถึงยังรักละครเพลงนัก?
ความชวนหัวที่แฝงนัยลึกซึ้ง
ละครเวทีแนวมิวสิคัลเป็นการสานต่อความบันเทิงที่ต่อเนื่องมาจากยุคโบราณ การแสดงบนเวทีที่มีบทร้อง มีการร้องเพลง หรือนำดนตรีมาประกอบเป็นความบันเทิง ด้วยการรวมเอาพลังของศิลปะด้านต่างๆ นับตั้งแต่วรรณกรรมอย่างถ้อยคำ ข้อเขียน และเรื่องราว มาร้อยเรียงและทำให้มีพลังขึ้นด้วยดนตรี ยิ่งมิวสิคัลที่มีการใช้องค์ประกอบอื่นๆ เช่น เครื่องแต่งกาย ฉาก หรือความตระการตาของแดนเซอร์เข้ามารวมกัน ถ้อยคำที่เคยทรงพลังอยู่แล้วก็ยิ่งเหมือนเสริมพลังด้วยศาสตร์ทุกด้านของมนุษย์เราให้ทรงพลังขึ้นไปอีก
ถ้าเรามองในเชิงประเภทวรรณกรรม หรือลักษณะเรื่องราวของมิวสิคัล งานมิวสิคัลนี้มักเป็นส่วนผสมของความสนุกสนาน เน้นการดำเนินเรื่องด้วยความสนุก มีเพลงเปิด และการดำเนินเรื่องมักมีจังหวะสนุกสนาน ด้วยขนบของบอรดเวย์นี้อาจจะติดลักษณะความเป็นละครเวที คือมีความแปลกประหลาด ตลกชวนหัว และมีการแสดงออกที่เกินจริง
ดังนั้น งานมิวสิคเคิลจึงมักเป็นส่วนผสมของการแสดงที่เป็นการเล่าเรื่องที่สบายใจ มีความสดใส มีจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่พูดเรื่องครอบครัว เรื่องแนวโรแมนติก-คอเมดี้ เป็นเรื่องแฟนตาซี แม้แต่เรื่องหนักๆ เช่น Les Misérables ก็ยังต้องมีการคั่นจังหวะด้วยเพลงเร็ว มีจุดตลกขบขัน เพื่อเน้นความเป็นสื่อบันเทิงให้กับผู้ชม
อย่างไรก็ตาม ด้วยทั้งพลังของดนตรี และการนำเอางานชิ้นเอกที่เยี่ยมยอดอยู่แล้วมาปรับปรุง โดยบรอดเวย์และโลกการละครคือพื้นที่ที่นำมาปรับปรุง ซึ่งเต็มไปด้วยยอดฝีมือ พลังของศิลปะทั้งหมดทำให้ทั้งเรื่องและถ้อยคำฝังเข้าไปในความรู้สึก และในหน้าฉากของความสดใส ชวนหัว สนุกสนาน แต่ทุกเรื่องของละครเพลงยังมักแฝงเรื่องหนักแน่นจริงจังไว้เสมอ
Wicked พูดถึงความเป็นอื่น มิตรภาพ ความแตกต่าง The Sound of Music พูดเรื่องครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งให้ไอของสงครามโลกที่คุกรุ่น ทุกเรื่องเล่าถึงสิ่งที่น่าปวดหัว และความเป็นมนุษย์ที่เราล้วนเผชิญอยู่ด้วยท่าทีที่สดใสและสนุกสนาน คือเล่าอย่างสนุก แต่ก็ไม่ได้กลวงว่าง เมื่อดูจนจบเรามักจะได้ความรู้สึกบางอย่างตกค้างไป ได้กลับไปมองเห็นความเป็นไปในชีวิตประจำวัน ผ่านจังหวะที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันของเรา
เพลงพาเรากลับสู่อดีต
เวลาเราพูดถึงเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ ในด้านหนึ่ง สิ่งที่มาจากอดีตเหล่านี้อาจเป็นภาวะที่เราคิดถึง นึกถึง และลึกๆ อยากกลับไปสู่ห้วงเวลาที่ผ่านเลยมาแล้วอีกครั้ง มิวสิคัลเองก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเพลงเป็นพาหนะสู่อดีตที่ดีวิธีหนึ่ง การได้ยินบางท่อนของบทเพลง กระทั่งเพลงที่ติดหู บางฮุก บางตอน ดนตรีเปิด จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นความทรงจำของเราได้ เป็นสิ่งที่วนอยู่ในใจ
มิวสิคัลยังเป็นความเฟื่องฟูของยุคสมัยหนึ่ง สำหรับหลายคน การดูและร้องเพลงมิวสิคัลนับเป็นความทรงจำและความบันเทิงในวัยเด็ก ถ้ามองย้อนไปด้วยลักษณะประเภทของมิวสิคัลที่เราดู มักเป็นเรื่องฟีลกู้ด ไม่มีพิษภัย เรื่องลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ตีความเพิ่มเติมได้ พ่อแม่ของเราจึงมักชอบให้เด็กๆ ได้ดูมิวสิคัล แถมบทเพลงต่างๆ และเรื่องราวสบายใจของหนังเหล่านี้ยังช่วยให้เด็กๆ มีมุมมองต่อโลกที่ดี
ดั้งนั้น จึงไม่แปลกที่มิวสิคัลจะเป็นหนังประเภทหนึ่งที่เรารัก เพราะมันเป็นเสียงและถ้อยคำของห้วงเวลาท่ีสวยงามของเรา เป็นช่วงเวลาที่เรายังมองโลกอย่างสวยงามและสดใส เพราะมิวสิคัลส่วนใหญ่มักฉายภาพโลกที่สดใส สวยงาม มีสีสันให้กับเรา การร้องเต้นจึงนำพาเราไปสู่ความสุข เป็นเพลงไอคอนๆ ฟังกี่ครั้งก็มีรอยยิ้ม หรือบางเพลงก็อาจจะมีน้ำตา
ความรู้สึกที่ถูกคนกลับขึ้นมาให้ฟุ้ง อาจเป็นทั้งความรู้สึกที่เรามีต่อถ้อยคำที่สวยงาม เรื่องราวของเรื่อง หรืออาจเป็นช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้วของเราเอง
การกลับมาของ Wicked จึงทำให้เรามองเห็นความงดงามและพลังของศิลปะที่ไม่มีวันเก่า พลังของข้อเขียนที่ถูกประยุกต์มาสู่เวที และก้าวมาสู่จอไม่ว่าจะเป็นจอใหญ่หรือจอแก้ว มนุษย์เราเองก็ยังวูบไหวไปด้วยถ้อยคำ เรื่องราว ท่าทาง และเสียงดนตรี
ถ้อยคำมหัศจรรย์ เช่น การเรียก Elphaba ก็แทบทำให้หลายคนเห็นภาพมากมายของเหตุการณ์การขี่ไม้กวาด เห็นนาฬิกา เห็นไปถึงทำนองและเนื้อร้อง ซึ่งหลายคนเฝ้ารอจะฮัมเนื้อร้องสำคัญท่อน “Something has changed within me, Something is not the same” แค่คำๆ เดียว ดนตรีไม่กี่ห้อง เนื้อร้องช่วงเดียว ก็อาจพาความทรงจำมากมายกลับมาหาเราได้
ไม่แปลกที่เรารักมิวสิคัล และตอนนี้ก็อาจจะเข้าโรงไปร้อง Defying Gravity อีกครั้ง
อ้างอิงจาก