เวลาพูดถึงสงคราม เราอาจไม่เคยมีประสบการณ์ร่วม โดยเฉพาะภาพของสงครามตั้งแต่สงครามโลกเป็นต้นมา สงครามที่มนุษย์ทำลายกันด้วยอาวุธที่ทรงพลานุภาพ ด้วยเทคโนโลยีที่เคยเป็นคำมั่นของความก้าวหน้าของมวลมนุษย์
ในยุคหลังสงคราม โดยเฉพาะในชาติที่เผชิญสงครามอย่างประเทศอังกฤษ วรรณกรรมที่เฟื่องฟูขึ้นในยุคหลังสงคราม คืองานเขียนสำหรับเด็ก หลายผลงานเป็นงานเขียนที่เริ่มจากพื้นที่ส่วนบุคคล เป็นข้อเขียนของพ่อผู้ซึ่งเดินทางเข้าร่วมรบ หรือเหล่านักคิด นักเขียนที่ไม่ได้ปรารถนาสงคราม แต่จำต้องใช้ทักษะของตนในแนวหน้า และมองเห็นการฆ่าและความตายด้วยตาของตนเอง
สงครามสร้างบาดแผลอย่างล้ำลึก หลายครั้งโลกจินตนาการจึงกลายเป็นพื้นที่ของความปลอดภัย กระทั่งงานเขียนเหล่านั้น ยังเป็นสิ่งที่นักเขียนในรุ่นก่อนพยายามบอกเล่าประสบการณ์ หรือร่วมกันสร้างพื้นที่อันสงบสุขให้กับคนรุ่นหลัง ท่ามกลางบรรยากาศของสังคมและเด็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและการสูญเสีย
งานเขียนที่เรารักหลายชิ้นเกี่ยวข้องกับสงคราม ด้วยผู้เขียนเคยผ่านสงครามมาก่อน และใช้เรื่องราวต่างๆ ในการสื่อสาร เยียวยา และอาจกำลังแฝงนัยเรื่องสำคัญ เช่น สันติภาพและการรักษาความเป็นเด็ก ตัวละครสำคัญคือ วินนี่เดอะพูห์ ตัวละครในป่าร้อยเอเคอร์ ก็ถูกเขียนขึ้นเพื่ออธิบายบาดแผลและอาการของผู้เป็นพ่อ ผ่านตัวละครตุ๊กตานุ่นของ คริสโตเฟอร์ โรบิน (Christopher Robin) ทั้งนี้ ผู้เขียนทั้ง 3 เรื่องอย่างป่าร้อยเอเคอร์ ดินแดนนาร์เนียร์ และมัชฌิมโลก ล้วนผ่านสมรภูมิที่ซอมม์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
ไปจนถึงงานเขียน เช่น หมอผู้พูดกับสัตว์ได้คือ Doctor Dolittle ซึ่งแรกเริ่มเป็นนิทานที่พ่อเขียนส่งกลับจากแนวหน้า เพื่อแทนความคิดถึงและเป็นความอบอุ่นให้กับลูกๆ ในห้วงเวลาของไฟสงคราม กระทั่ง ฮายาโอะ มิยาซากิ (Miyazaki Hayao) ที่มักเล่าเรื่องราวของสงครามและผลกระทบต่อเด็กๆ ก็เติบโตขึ้นในห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือแม้แต่ เจ้าชายน้อย ที่เรารัก ผู้เขียนก็เคยเป็นนักบินของกองทัพและร่วมรบด้วย
งานเขียนที่เรารักเหล่านี้ ด้านหนึ่งจึงอาจเป็นผลพวงของสงคราม เป็นคำมั่น เป็นวิสัยทัศน์ที่ชี้ให้เราและคนรุ่นหลังได้มองเห็นความหมายของสันติภาพ และเป็นความหวังของการสิ้นสุดลงของสงครามทั้งปวง
A. Milne
เอเอ มิลน์ (A. A. Milne) เป็นหนึ่งในนักเขียนที่เรารัก ผู้เขียน Winnie the Pooh ตัวเขาจบการศึกษาด้านคณิตศาสตร์ แต่มีความสนใจและทำงานด้านการเขียนอยู่เสมอ ทว่าอาชีพหลักของมิลน์คือ การเข้าร่วมกองทัพ หนึ่งในสมรภูมิสำคัญของเขา คือการรบที่ซอมน์ (Battle of the Somme) ในปี 1916 และในช่วงสงครามโลกครั้งแรก เขาได้รับตำแหน่งเกี่ยวกับการสื่อสาร ทั้งการส่งสัญญาณและการวางระบบโทรคมนาคม
ในยุทธการที่ซอมน์ถือเป็นดินแดนหฤโหด มิลน์สูญเสียเพื่อนรักจากระเบิด จนไม่เหลือเค้าลางในวันแรกที่เข้าประจำการที่แนวหน้า มิลน์จึงได้รับบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจ และเป็นเหมือนโชคชะตาของโลกวรรณกรรม เมื่อมิลน์เป็น 1 ใน 3 นักเขียนงานเขียนสำคัญของโลกแฟนตาซีที่ร่วมรบที่ซอมน์ ซึ่งนักเขียนทั้ง 3 คนกลับติดโรคไข้สนามที่เกิดจากหมัด ทำให้มิลน์ถูกส่งตัวกลับจากแนวหน้า
มิลน์รักษาแผลกายและใจเป็นเวลานาน จนในช่วงที่สงครามยุติลง มิลน์เองได้สิ่งสำคัญ นั่นคือในปี 1920 เขาตั้งชื่อลูกชายว่า ‘คริสโตเฟอร์ โรบิน’ และตั้งใจจะเป็นพ่อที่ดี แม้ในขณะนั้นจะยังมีบาดแผลทางจิตใจ หรือมีภาวะ Shell shock จากผลของสงคราม เช่น ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินเสียงผึ้ง หรือการวิ่งหนีและหาที่หลบภัยจากเสียงลูกโป่ง
วันหนึ่งมิลน์พาลูกชายไปเที่ยวที่สวนสัตว์ ณ เมืองลอนดอน ลูกชายของเขาได้พบกับเจ้าหมีดำที่ชื่อว่า Winnipeg ซึ่งเคยถูกเลี้ยงในกองทัพขณะที่แคนาดาร่วมรบกับอังกฤษ และเป็นมาสคอตของกองสำรวจ คริสโตเฟอร์ โรบิน ชอบเจ้าหมีตัวนั้นในทันที มิลน์จึงซื้อตุ๊กตาหมีกลับมาให้
มิลน์เริ่มเขียนเรื่องสั้นโดยสร้างตัวละครจากตุ๊กตาของลูกชาย และแน่นอนว่าตัวละครหลักอย่าง วินนี่เดอะพูห์ ถูกตั้งชื่อตามหมีที่ผ่านสงครามมา รวมถึงตัวละครอื่นๆ ด้วย มุมมองหนึ่งตีความว่าอันที่จริง สิ่งที่มิลน์ทำคือการเขียนเรื่องราวเพื่อสื่อสารและพาลูกชายไปท่องดินแดน โดยที่ตัวละครต่างๆ เป็นตัวแทนของอาการที่มิลน์เผชิญ เป็นการอธิบายให้ลูกของเขาเข้าใจสภาวะของพ่อ พิกเล็ตเป็นตัวแทนของอาการพารานอยด์ อียอร์เป็นตัวแทนของภาวะซึมเศร้า กระต่ายเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) จิงโจ้เป็นตัวแทนของการปกป้องจนล้นเกิน (over-protection) และพูห์ที่เป็นตัวแทนของพ่อ ผู้พาลูกชายผจญภัยไปในป่าร้อยเอเคอร์
J.R.R. Tolkien
ปู่โทลคีน ผู้สร้างมัชฌิมโลก การทำลายแหวน และอาณาจักรสำคัญที่สู้รบและรักษาสันติภาพของโลกแฟนตาซี เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J.R.R. Tolkien) เป็นนักคิด นักภาษาศาสตร์ แต่ด้วยบริบทของอังกฤษที่เข้าสู่สงคราม ในปีจบการศึกษา แทนที่โทลคีนจะเข้าสู่โลกตำรา ความรู้ของเขากลับถูกนำไปใช้ในแนวหน้า ในฐานะเจ้าหน้าที่อาณัติสัญญาณ ซึ่งหนึ่งในสมรภูมิสำคัญก็คือ ยุทธการที่ซอมน์ และโทลคีนเองก็ป่วยเป็นโรคไข้สนามเช่นเดียวกัน
การจะกล่าวว่ามัชฌิมโลกเกิดในสนามรบก็ไม่ผิดนัก โทลคีนลงมือเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับมัชฌิมโลกในช่วงที่รักษาตัวจากไข้สนามในโรงพยาบาลทหาร หลายร่องรอยในเรื่องราวจึงสัมพันธ์กับประสบการณ์การรบ เช่น ความสัมพันธ์ของแซมและโฟรโด โทลคีนก็เขียนไว้เองว่ามาจากความสัมพันธ์ที่เรียกว่า แบตแมน (batman) ระบบทหารชั้นผู้น้อยที่ทำหน้าที่ร่วมรบและดูแลอำนวยความสะดวกในด้านๆ ให้กับนายทหารชั้นยศสูงกว่า โดยโทลคีนสูญเสียทั้งเพื่อนร่วมรบและเพื่อนร่วมเรียนไปในสงคราม จากเหตุการณ์สำคัญที่หน่วยพยาบาลถูกระเบิดลงโดยตรง ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โทลคีนถูกย้ายออกจากเต็นท์นั้นพอดี
งานเขียนชุดแรกๆ ที่โทลคีนเขียนช่วงพักฟื้น เป็นตำนานก่อนเกิดเหตุการณ์ของ The Hobbit และ The Lord of The Rings ปัจจุบันบางส่วนอยู่ในงานตีพิมพ์ชุดหลังเช่น The Silmarillion และ The Book of Lost Tales เมื่อโทลคีนกลับสู่โลกวิชาการ ตัวเขาเองเริ่มเขียนประโยคแรกคือ “In a hole in the ground there lived a hobbit” ในคืนหนึ่งในหน้าร้อนของปี 1930 และมีบันทึกว่าโทลคีนได้ส่งต้นฉบับไปให้ ซี.เอส. ลูอิส (C.S. Lewis) อ่านด้วยในปี 1933
เรื่องราวสงครามในมิดเดิ้ลเอิร์ธ หลายส่วนคล้ายกับภาพสงครามที่โทลคีนเผชิญ หลุมบ่อที่เต็มไปด้วยร่างของมอดอร์คล้ายกับสนามเพลาะที่ซอมน์ นาซกูลที่โบยบินก็เหมือนกับภาพของเครื่องบินรบที่โฉบไปมาและนำความตายมาให้
ในบทเปิดของ เดอะลอร์ดออฟเดอะริง โทลคีนเขียนไว้ว่า “ในปี 1918 เพื่อนรักของผมล้วนจากไปหมดแล้ว เหลือเพียงคนเดียว” (แต่ไม่ได้หมายถึงลูอิส เพราะทั้งคู่พบกันหลังจากสงคราม) การที่โทลคีนเขียนรำลึกถึงความตายของมิตรสหายนี้ก็อาจตีความได้ทั้งว่า บาดแผลของสงครามนั้นบาดลึกลงไปในจิตใจ และเรื่องราวในมหากาพย์อาจเกี่ยวข้องกับสงครามและความสูญเสียที่เขาได้เผชิญ
C.S. Lewis
ซี.เอส. ลูอิส เป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่เพิ่งจะเข้าเรียนที่อ็อกซ์ฟอร์ด ก่อนจะถูกดึงตัวออกจากมหาวิทยาลัยไปฝึกและร่วมรบในแนวหน้า ลูอิสเข้าสู่สงครามจริงที่ซอมน์ในวันเกิดอายุ 19 ปี (29 พฤศจิกายน 1917) จริงๆ แล้วเป็นคนละยุทธการณ์กับโทลคีน แต่รบในพื้นที่เดียวกันและยังคงอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ตัวลูอิสเองได้รับบาดเจ็บตั้งแต่วันแรก เขาจึงเริ่มเขียนบทกวี รวมถึงผลงานอื่นๆ ทั้งยังมีข้อเขียนเกี่ยวกับสงครามโดยตรง ทั้งในระหว่างการรบและงานเขียนในตลอดชีวิตของลูอิสเอง
มุมมองของลูอิสมักจะอธิบายเหมือนกับกวีสงคราม ที่พรรณนาภาพสงครามเหมือนกับนรก ให้ภาพความเจ็บปวด ในบางความเห็นลูอิสมองว่า สงครามอาจยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่บางข้อเขียนก็กล่าวว่าสงครามไม่ได้เปลี่ยนอะไร ในงานเขียนเรื่อง The Chronicles of Narnia เราจะสัมผัสบริบทของสงครามเป็นฉากหลังได้ เช่น ในเล่มแรกที่ตีพิมพ์คือ The Lion, the Witch and the Wardrobe กับการต้องอพยพจากลอนดอน เพราะการทิ้งระเบิดของเยอรมัน ซึ่งในเรื่องทั้งหมดของนาร์เนียก็ค่อนข้างพูดเรื่องเหตุผลของการรบ ความชอบธรรมของอำนาจ การสร้างและรักษาสันติภาพ
Hugh Lofting
Doctor Dolittle เป็นหนังสือภาพและเป็นงานเขียนสำหรับเด็ก ภายหลังกลายเป็นหนังยอดฮิตที่เราอาจจะพอจำได้ ตัวเรื่องพูดถึงหมอในหมู่บ้านสมมุติ ซึ่งดั้งเดิมวางเป็นยุควิคตอเรียน หมอดูลิตเติ้ลไม่ชอบคน แต่ชอบสรรพสัตว์ และด้วยความมหัศจรรย์ เขาจึงได้รับพลังให้พูดคุยภาษาสัตว์ได้
สำหรับเรื่องราวของหมอที่คุยกับสัตว์ได้ ฮิว ลอฟติง (Hugh Lofting) เริ่มวาดภาพและแต่งเรื่องราวเป็นครั้งแรกในจดหมายที่ส่งกลับมาให้ลูกๆ ในช่วงที่ไปรบที่แนวหน้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาเขาอธิบายว่าเป็นการแต่งเรื่องราวขึ้นใหม่ เพราะข่าวสารที่เขาจะเขียนกลับมาในจดหมายจะได้ไม่น่าเบื่อ หรือหากเป็นเรื่องราวจากแนวหน้าก็น่าสยดสยองจนเกินไป
Antoine de Saint-Exupéry
The Little Prince หรือ เจ้าชายน้อย ที่เรารัก เบื้องหลังคือ อองตวน เดอ แซงเต็กซูเปรี (Antoine de Saint-Exupéry) นักบินหนุ่มผู้หายตัวไปอย่างลึกลับ และทิ้งหนึ่งในวรรณกรรมที่เป็นที่รักที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกไว้ นอกจากอองตวนจะเป็นนักบินแล้ว ตัวเขาเองยังเคยร่วมในสงคราม โดยเฉพาะการสู้รบกับเยอรมันในกองทัพอากาศของฝรั่งเศส ช่วงที่เจ้าชายน้อยกำเนิดขึ้น คือช่วงที่อองตวนเครื่องบินตกและใช้เวลาอยู่ในทะเลทรายซาฮาร่า เป็นช่วงที่มีความตึงเครียดของสงครามโลกครั้ง 2 เป็นฉากหลัง และอองตวนเองที่ลี้ภัยจากฝรั่งเศสไปยังอเมริกาก็ด้วยภัยจากสงคราม ซึ่งทั้งการตกลงในทะเลทรายและการหนีจากบ้านเกิดนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน เจ้าชายน้อย ด้วย
แม้ว่า เจ้าชายน้อย อาจจะไม่เล่าถึงสงคราม หรือผลกระทบของสงครามโดยตรง แต่สิ่งที่อองตวนมักแสดงออกคือ การต่อต้านสงคราม สิ่งที่เขาให้ความสำคัญ รวมถึงเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากตัวเจ้าชายน้อย คือการสำรวจความหมายของการเป็นมนุษย์ การคลี่คลายความรู้สึกอันสำคัญ เช่น ความรัก มิตรภาพ ความหมายของการมีชีวิต รวมถึงการเล่าถึงความเป็นเด็ก อาจสะท้อนถึงการกลับไปสู่ห้วงเวลาอันสงบสุข
Hayao Miyazaki
งานของสตูดิโอจิบลิหลายเรื่องว่าด้วยสงคราม จำนวนมากพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยตรง เช่น ฉากหนีสงครามที่ใช้เวลาสร้างยาวนานของ The Wind Rises รวมถึงเรื่องราวการรักษาบาดแผลสงครามของเด็กหนุ่ม และการเดินทางตามนกประหลาดไปยังดินแดนพิศวงใน The Boy and the Heron อนิเมชั่นที่ถือเป็นงานส่งท้าย และค่อนข้างเล่าเรื่องราวการเดินทาง การสร้างสรรค์ และการส่งต่อมรดกของตัวมิยาซากิเอง
ถ้าเราย้อนกลับไป ฮายาโอะ มิยาซากิ เป็นลูกชายคนที่ 4 ของ คัตสึจิ มิยาซากิ (Katsuji Miyazaki) ผู้อำนวยการ Miyazaki Airplane บริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งใช้ในเครื่องบินรบญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัยเด็กของมิยาซากิเกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง ทั้งความรักต่ออากาศยาน รวมถึงประสบการณ์การลี้ภัยจากการทิ้งระเบิด และมีประสบการณ์กับภาพเมืองที่ถูกระเบิดและเสียหาย รวมถึงการต้องพลัดถิ่นและระหกระเหินเพราะภาวะสงคราม
งานของมิยาซากิจำนวนมากจึงให้ภาพความรุนแรงของสงคราม หลายชิ้นเล่าถึงประสบการณ์ของเด็ก ของวัยรุ่นที่มีสงครามเป็นฉากหลัง หรือกระทั่งได้รับบาดแผลโดยตรงจากสงครามนั้นๆ การดิ้นรนเพื่อเติบโต และการเยียวยาทั้งจากบาดแผลและการสูญเสียผู้คนที่รักหรือครอบครัวไป
Kuroyanagi Tetsuko
โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงที่ภายหลังตีความความแปลกของเธอว่า น่าจะเป็นเด็กน้อยที่มีภาวะพิเศษ โดยในที่สุด โต๊ะโตะจังก็ได้เจอกับโรงเรียนในฝัน ที่ยอมรับและเปิดโอกาสให้เธอเรียนรู้ในโรงเรียนรถไฟ ทว่าความสะเทือนใจสำคัญคือ เรื่องราวของห้องเรียนของเด็กๆ ที่มีไฟของสงครามเป็นฉากหลัง และไฟสงครามนั้นก็พุ่งลงมายังโรงเรียนอันสงบสุขของโต๊ะโตะจังในท้ายที่สุด
เรื่องราวทั้งหมดของโต๊ะโตะจัง สร้างจากเรื่องราวประสบการณ์จริงของ เท็ตสึโกะ คุโรยานางิ (Tetsuko Kuroyanagi) เป็นภาพพื้นที่ปลอดภัย ทั้งสำหรับเด็กที่หลากหลาย และเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยในห้วงเวลาแห่งสงคราม แม้ท้ายที่สุด โรงเรียนที่เด็กๆ รักจะมอดไหม้เพราะไฟสงคราม แต่สิ่งที่หลงเหลือคือความหวัง และเรื่องราวการเติบโตที่ไม่มีวันดับลง
อ้างอิงจาก