หากถามว่าเรารักอะไรใน Stranger Things มากที่สุด คงต้องตอบว่าหนึ่งในนั้นคือ Millie Bobby Brown
และเราก็ขอทำนายว่าเธอคนนี้จะขึ้นแท่นเป็นสาวน้อยที่โลกหลงรักในเร็ววันแน่ๆ หลังจากที่แจ้งเกิดอย่างงดงามกับบท Eleven ในซีรีส์ฮิต Stranger Things ที่ล่าสุดเธอก็เพิ่งรีแคปฯ เรื่องราวทั้งหมดในซีซั่นแรก ด้วยแรปสุดเจ๋งในรายการของ Jimmy Fallon
“All I need is my Eggo waffles, I’m in love with those. What I’m left with when I use my powers is a bloody nose” เธอจบการแรปด้วยท่อนนี้ และทุกคนรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร นั่นหมายถึงคนดูจำนวนมหาศาลได้รับเอา Eleven ไปไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
Millie Bobby Brown ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน แต่เธอก็ทำมันออกมาได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะแม้ Eleven จะมีบทพูดที่นับคำได้ (ประมาณ 250 คำ—นับโดยแฟนซีรีส์คนหนึ่ง) แต่เธอก็แสดงออกมาทางสีหน้าและท่าทางได้ดีจับใจ เช่นท่าประจำอย่างการกดคางลงแล้วเหลือบขึ้นจ้องหน้าคนอื่นโดยไม่พูดอะไร (ท่าทางนี้เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอแคสต์บทนี้ผ่าน)
ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน แต่ก็ใช่ว่า Millie จะไม่สนใจศาสตร์นี้เอาซะเลย เพราะเธอตัดสินใจจะเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และพ่อแม่ของเธอก็เอื้ออำนวยด้วยการย้ายบ้านจากอังกฤษมาที่ฟลอริด้า เพื่อให้เธอเข้าใกล้อาชีพนักแสดงมากขึ้น ที่นั่น Millie ได้ลองแคสต์บทบาทต่างๆ และได้รับงานแรกในปี 2013 เป็นบทอลิซในวัยเด็ก ในซีรีส์ Once Upon a Time in Wonderland ทางช่อง ABC ตามด้วยบทนำในซีรีส์ทริลเลอร์ Intruders ทางช่อง BBC, รับเชิญในดราม่าสืบสวน NCIS ทางช่อง CBS, ซิตคอม Modern Family และ Grey’s Anatomy ทางช่อง ABC
นับเป็นการเริ่มต้นก้าวเล็กๆ ที่ยังดูห่างไกลจากที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก โดยในช่วงปีนั้นเธอยังพลาดบทบาทสำคัญอย่างบท Laura ในเรื่อง Logan แต่ Millie ก็ไม่ได้หยุดความฝัน “ฟังดูบ้า แต่ถ้าหนูตัดสินใจแล้วว่าอยากทำอะไร ก็ไม่มีใครมาหยุดหนูได้”—และในที่สุดก็มาถึงคราวของ Stranger Things ตอนนั้นเธออายุเพียง 11 ปี แต่ผลงานทางการแสดงของเธอนั้น เราก็เห็นกันจนสิ้นข้อสงสัยแล้ว
นับจากนั้นชื่อของ Millie เริ่มเป็นที่จดจำขึ้นเรื่อยๆ เธอได้เล่น mv เพลง Find Me ของ Sigma และ Birdy ในปี 2016 ปรากฏตัวในงานโฆษณาหลายชิ้น และล่าสุดเธอกำลังจะเดบิวต์ผลงานหนังเรื่องแรกคือ Godzilla: King of the Monster ภาคต่อของเวอร์ชันปี 2014 ซึ่งเริ่มฟรีโปรดักชั่นแล้วและวางแผนฉายทั่วโลกในปี 2019 นับว่าหนทางข้างหน้าของเธอสดใสพริ้งพรายทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น Millie ยังได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล Outstanding Supporting Actress in Drama Seriesใน Emmy Award และแม้จะไม่ได้รับรางวัลก็ตาม แต่ก็นับว่าความทุ่มเทของเธอประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งการแสดงและการตัดสินใจโกนผม ซึ่งสำหรับเด็กผู้หญิงวัยกำลังโต มันไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายเท่าไหร่นัก แต่ไม่ใช่สำหรับ Millie
ในตอนนั้นคนที่มีปัญหากับการโกนผมกลับเป็นพ่อแม่ของเธอมากกว่า แต่เดชะบุญที่ตอนนั้น Mad Max: Fury Road กำลังมาแรง จึงทำให้พี่น้อง Duffer ผู้สร้างซีรีส์ โน้มน้าวใจพ่อแม่ได้สำเร็จเพราะภาพสาวโล้นคูลๆ ของ Charlize Theron ที่แท้ ส่วนตัว Millie เอง เมื่อได้โกนผมแล้วเธอกลับยิ่งติดใจและอยากจะกลับไปโกนอีกครั้ง แต่บทบาททางการแสดงในเรื่องใหม่กลับไม่เอื้อให้เธอทำอย่างนั้น
ที่กระอักกระอ่วนสำหรับ Millie คือฉากจูบเสียมากกว่า เพราะนั่นคือจูบแรกของเธอที่ต้องเกิดขึ้นท่ามกลางทีมงานกว่า 250 ชีวิตในกองถ่าย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ผ่านฉลุย ใครที่ได้ร่วมงานต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพลังการแสดงของ Millie นั้น ‘อัศจรรย์’
“เราไม่เคยให้โจทย์อะไรแล้วเธอทำไม่ได้เลย เราสามารถโยนบอลให้เธอทั้งเร็วและแรงแต่เธอก็รับมันได้ เหมือนกับนักร้องที่แตะได้ทุกตัวโน้ต ความสามารถของมิลลี่ก็เป็นอย่างนั้น มันเยี่ยมยอด ผมยังไม่เจอลิมิตของเธอเลย” Matt Duffer หนึ่งในผู้กำกับให้สัมภาษณ์เอาไว้กับนิตยสาร Variety ซึ่ง Ross Duffer ยังระบุอีกว่าฉากที่ทำให้คนทั้งกองตะลึงคือฉากที่เธอถูกลากไปตามทางในห้องทดลองแล้วพร่ำตะโกนว่า ‘Papa!’ พลังที่เธอส่งออกมานั้นทำให้ทั้งกองแทบจะหยุดนิ่งเพื่อดูการแสดงสดๆ ของเธอ
ฝ่ายนักวิจารณ์ก็ไม่ได้เห็นต่าง โดย Maureen Ryan นักเขียนจาก Variety เองก็บอกว่า “ความสามารถในการปลุกอารมณ์ในตัวออกมาทำการแสดงช่างน่าประทับใจพอๆ กับที่เธอสามารถเดินระหว่างโลกสองโลกได้ในซีรีส์นั่นแหละ” ทางด้านผู้ร่วมงานแสดงอย่าง David Harbour ผู้รับบทเจ้าหน้าที่ฮอปเปอร์ ก็บอกว่า “หากผมแก่แล้ว คงอยากจะนั่งดูหนังกับมิลลี่ตอนเธออายุ 30 กว่าๆ ผมอยากเห็นเธอเป็นเหมือน Meryl Streep ผมว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นแบบนั้นได้” หลายสื่อก็ยกให้เธอเป็น Emma Watson คนต่อไป
น่าจะไม่ผิดนัก เพราะเสน่ห์ของ Meryl Streep และ Emma Watson ไม่ใช่แค่การแสดง แต่ยังเป็นคาริสม่านอกจอที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก ซึ่งคาริสม่าของ Millie ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เธอคือเด็กสาวพูดจาฉะฉานที่พูดคุยกับ Ellen ได้แบบเป็นตัวเองสุดขั้ว ในเทปเดบิวต์ของ
ในรายการต่อๆ ไปก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ซึ่งสิ่งที่จับใจผู้คนได้มากก็เห็นจะเป็นการแรปในรายการของ Jimmy Fallon เมื่อตอนโปรโมท Stranger Things ซีซั่น 1 ที่เธอแรปเพลง Monster ของ Nicki Minaj ในช่วงจบรายการ มาคราวนี้เธอก็ทำการร้องแรปรีแคปเรื่องราวในซีซั่นแรก ในสไตล์ของแรปเปอร์สาว Cardi B ซึ่งทำออกมาได้ดีจนนิตยสาร Esquire มองว่าเธออาจจะเติบโตไปเป็นฮิปฮอปสตาร์คนต่อไปด้วยซ้ำ
ทั้งความสามารถทางการแสดงและเสน่ห์นอกจอ ทำให้ Millie เข้าสู่โลกของเซเลปบริตี้เต็มตัว เช่นเมื่อเธอเผยว่าเป็นแฟนรายการเรียลิตี้ของครอบครัว Kadashian เธอก็ได้ทวิตตอบโต้กันสนุกสนานกับสาวๆ คาดาเชียนด้วยภาษาแบบคาดาเชียนอย่าง Okurrrrr แทนที่จะเป็น Okay ธรรมดา และเธอยังเป็นเพื่อนรักกับเด็กอัศจรรย์อีกคนหนึ่งนั่นคือ Maddie Ziegler นักเต้นอายุน้อยที่เป็นตัวเอกในหลาย mv ของ Zia อีกต่างหาก และตอนนี้ก็ถึงจุดที่หลายสำนักข่าวรวมถึง Vogue เขียนสกู๊ปเกี่ยวกับชุดที่เธอใส่ออกงานเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ดูจะเป็นชื่อเสียงก้อนใหญ่ที่ถาโถมเข้าสู่เด็กอายุ 13 คนหนึ่งเร็วไปสักหน่อย ทำให้หลายคนแสดงความเป็นห่วง พร้อมยกตัวอย่างเคสดาราเด็กหลายคนที่พังไปเพราะดีลกับชื่อเสียงของตัวเองไม่ไหว
ครอบครัว Brown เองเล็งเห็นในข้อนี้ ทำให้แม่ของเธอหรือพี่สาวก็มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนในกองถ่ายและเวลาออกงานต่างๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำตักเตือน รวมทั้งจัดหาที่อยู่อีกที่หนึ่งในแอตแลนตาที่ห่างไกลจากความวุ่นวายสวิงสวายของฮอลลีวูด และที่นั่นเธอจะได้โฟกัสกับครอบครัว เพื่อน และโรงเรียนอย่างแท้จริง ในขณะที่ตัว Millie เองก็พยายามคงความเป็นเด็กไว้ในตัวเองให้มากที่สุดเช่นการปฏิเสธที่จะโชว์เนื้อหนังจนเกินงาม โดยเธอบอกว่า “ยังหรอก ยังไม่ถึงเวลา อาจจะเป็นตอนที่หนูอายุ 18 โน่นแหละ” แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความมั่นใจเต็มร้อยและบุคลิกสดใสเบอร์แรง ก็ไม่วายทำให้ Millie ถูกคอมเมนต์ค่อนขอดเรื่องความโตเกินวัยอยู่บ้าง
แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับความสามารถและเสน่ห์ ที่ Millie Bobby Brown ยังมีเวลาพิสูจน์ให้พวกเราเห็นกันอีกยาวๆ ว่าเธอจะเป็นตัวจริงในวงการได้หรือไม่หรือยาวนานแค่ไหนไม่ว่าจะในฐานะนักแสดง หรือในฐานะคนดังก็ตาม เชื่อว่าอย่างน้อยเธอก็น่าจะเพิ่มสีสันให้วงการได้อีกมากทีเดียว
อ้างอิง