เมื่อ Winnie-the-Pooh ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1926 โลกทั้งใบก็ตกหลุมรัก Christopher Robin และผองเพื่อนสัตว์พูดได้ซึ่งผู้เขียนอย่าง A.A.Milne ผูกเรื่องราวขึ้นจากลูกชายและเหล่าตุ๊กตายัดนุ่นที่เด็กน้อยเล่นด้วยเป็นประจำ
ในตอนนั้น คริสโตเฟอร์ โรบิน ไมลน์ มีอายุเพียง 6 ขวบ เขาอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ และพี่เลี้ยงในบ้านหลังใหญ่ริมป่า Ash Wood แถบ East Sussex ประเทศอังกฤษ โดยป่าผืนนี้เองที่เป็นต้นแบบของป่าร้อยเอเคอร์ที่ Pooh, Piglet, Eeyore, Owl, Kanga, Roo และ Tigger อาศัยอยู่
เรื่องราวว่าด้วยมิตรภาพและการละเล่นของคริสโตเฟอร์และเพื่อนๆ ทั้งสนุกสนานและอบอุ่นใจในคราวเดียวกัน จนคนอ่านอย่างเราๆ เห็นภาพหนุ่มน้อยผมบลอนด์ยิ้มร่าขณะที่วิ่งเล่นบริเวณชายป่าในวันที่อากาศสดใส
แต่นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความจริงที่หม่นมืดกว่านั้น
เดิมทีพ่อของคริสโตเฟอร์ โรบิน เอ.เอ.ไมลน์ เป็นนักเขียนอยู่แล้ว แต่ต้องเข้าร่วมรบกับกองทัพอังกฤษเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น เขารับใช้ชาติอยู่ราว 4-5 ปีก่อนถูกปลดประจำการ ซึ่งในภาพยนตร์ Goodbye Christopher Robin (2017) ที่เพิ่งเข้าโรงในสหราชอาณาจักรไม่นานมานี้ เล่าว่าเพราะวันเวลาเลวร้ายในสงคราม ไมลน์จึงต้องเผชิญกับ Post Traumatic Stress Disorder (ความผิดปกติอันเกิดจากความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ) จนเป็นเหตุให้เขาเลือกสันโดษตัวเองจากภรรยาและลูกน้อย
แต่ในอัตชีวประวัติที่คริสโตเฟอร์ โรบินเขียนเมื่ออยู่ในวัยกลางคนแล้ว พ่อในความทรงจำของเขาแค่ไม่ชอบเด็กเท่านั้นเอง “บางคนเข้ากับเด็กได้ดี บางคนเข้ากับเด็กไม่ได้เลย มันเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีหรือไม่มี พ่อของผมไม่มี” แม้ทั้งคู่จะใช้เวลาร่วมกันเพื่อเล่นครอสเวิร์ดบ้างก็ตาม
แม่ของคริสโตเฟอร์ โรบิน Dorothy “Daphne” de Sélincourt เป็นสาวสังคมชั้นสูงที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับลูกมากนัก เธอจ้างพี่เลี้ยงมาทำทุกอย่างแทนเธอ เว้นเพียงการแต่งตัวของเด็กชาย ซึ่งจะพูดว่าอย่างน้อยๆ เธอก็ดีที่ใส่ใจลูกสักเรื่องหนึ่งก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะดาฟเน่อยากได้ลูกสาวเหลือเกิน เธอจึงแต่งตัวให้คริสโตเฟอร์ โรบินในเสื้อผ้าสุดหวานแหววคล้ายเป็นผู้หญิง จนสร้างความแปลกแยกให้เด็กชายผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
เมื่อทั้งพ่อและแม่ไม่ค่อยสนใจ เด็กตัวน้อยจึงมีเพียงพี่เลี้ยงและตุ๊กตาเป็นเพื่อน เขาจินตนาการว่าพวกมันมีชีวิต ขยับตัวได้ พูดได้ และทุกคนก็เล่นด้วยกันในป่า Ash Wood
เอ.เอ.ไมลน์สังเกตเห็นเรื่องราวในจินตนาการของลูก แล้วหยิบยกมาเขียนเป็นหนังสือซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตก นับแต่นั้นชื่อเสียงและความสนใจของมวลชนก็ตามติดคริสโตเฟอร์ โรบินราวกับเงา หลายครั้งเขาปรากฏตัวในสื่อร่วมกับพ่อของเขา (บางครั้งคนเดียวด้วยซ้ำไป หลายคนเชื่อว่าเด็กชายดังกว่าเอ.เอ.ไมลน์เสียอีก) เขียนจดหมายตอบแฟนๆ นับร้อย และออกงานอีเวนต์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Winnie-the-Pooh ตั้งแต่การโชว์ตัวเฉยๆ ไปจนถึงการขึ้นไปอ่านบางส่วนของหนังสือให้ผู้ชมจำนวนมากฟัง และการเดินนำในขบวนพาเหรดธีม Winnie-the-Pooh
ไมลน์และภรรยาไม่ได้ปกป้องลูกชายจากแสงสปอตไลต์เท่าไรนัก และเอาเข้าจริงคริสโตเฟอร์ โรบินในวัยเด็กก็ออกจะชื่นชอบที่ได้รับความสนใจและเสียงชื่นชมจากคนมหาศาล แต่เส้นเรื่องมาพลิกตอนที่เด็กชายเข้าโรงเรียนประจำ แล้วถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแกและล้อเลียนอย่างหนัก เขาจึงเริ่มรู้สึกเกลียดเรื่องราวใน Winnie-the-Pooh และกล่าวโทษผู้เป็นพ่อที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
ฟาสต์ฟอเวิดไปหลังจากที่คริสโตเฟอร์ โรบินร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขากลับมาเรียนต่อจนจบชั้นปริญญาตรี แล้วเริ่มต้นหางานทำ ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าพบว่าชื่อเสียงในวัยเด็กรั้งตนเองไว้ข้างหลัง ไม่ค่อยมีที่ไหนรับเขาเข้าทำงาน หากรับเขาก็ทำงานได้ไม่นาน เพราะรู้สึกอึดอัดใจ เหมือนว่าไม่ใช่ที่ทางของตัวเอง ไม่ใช่ที่ๆ สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ
คริสโตเฟอร์เคยเขียนไว้ว่า “ในโมงยามที่เลวร้ายที่สุด ตอนที่ผมเดินย่ำไปทั่วลอนดอนเพื่อหานายจ้างที่ต้องการความสามารถของผม ผมกระจ่างแก่ใจว่าพ่อขึ้นมายืนบนจุดนี้ได้ด้วยการเหยียบไหล่อันแบเบาะของผม พ่อขโมยชื่อของผมไป แล้วไม่เหลืออะไรให้ผมเลยนอกจากชื่อเสียงไร้ประโยชน์ที่ได้มาเพียงเพราะผมเป็นลูกของพ่อ”
เอ.เอ.ไมลน์เองก็รับรู้ความเกลียดชังและโกรธขึ้งของลูกชาย แต่มันก็สายเกินแก้เสียแล้ว อันที่จริงในปี 1929 อันเป็นช่วงที่หนังสือชุด Winnie-the-Pooh รวมทั้งสองพ่อลูกโด่งดังถึงขีดสุด ไมลน์ตัดสินใจเลิกเขียนวรรณกรรมเยาวชนโดยสิ้นเชิง เหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาเองก็เอียนกับมันเต็มทนแล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาทั้งรู้สึกทึ่งและรังเกียจชื่อเสียงของลูก
ไมลน์บันทึกความคิดช่วงนั้นเอาไว้ “ผมคิดว่าคริสโตเฟอร์ โรบินต้องอยู่กับชื่อเสียงมานานเกินพอแล้ว ผมไม่อยากให้ C.R. Milne ต้องภาวนาให้ตัวเองเกิดมาชื่อ Charles Robert”
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองไมลน์จะคุกรุ่น แต่ทั้งพ่อและลูกต่างเห็นตรงกันเรื่องชื่อ คริสโตเฟอร์ โรบินใน Winnie-the-Pooh เป็นคนละคนกับคริสโตเฟอร์ โรบินในชีวิตจริง โดยผู้เป็นลูกบันทึกไว้ว่า สาธารณะชนที่คิดว่ารู้จักเขาไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ เพราะตัวละครนั้นไม่มีอะไรเหมือนเขาเลยนอกจากชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อแม่ยังไม่เรียกเขาเช่นนั้นด้วยซ้ำไป สำหรับทั้งคู่เขาคือ Billy Moon ตามชื่อเล่นต่างหาก
ความสัมพันธ์แสนคลอนแคลนของพ่อแม่ลูกมาถึงจุดขาดสะบั้นเมื่อคริสโตเฟอร์ โรบินตัดสินใจแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องฝั่งแม่นามว่า Lesley de Sélincourt โดยดาฟเน่เดือดดาลกว่าใครเพราะเธอไม่ถูกกับพี่ชาย (พ่อของของเลสลี่) เลยสักนิด
แต่การตัดขาดครั้งนี้ส่งผลดีกับผู้เป็นลูกเป็นอย่างมาก เพราะเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับภรรยา ทั้งคู่ย้ายไปอยู่เมือง Dartmouth แล้วเปิดร้านหนังสือขนาดย่อมร่วมกัน โดยเขาทำงานที่ร้านแห่งนี้จวบจนเกษียณอายุ ดูเหมือนว่าคริสโตเฟอร์ (ผู้คนที่เขาพบเจอในชีวิตช่วงนี้ต่างเรียกเขาว่า ‘คริสโตเฟอร์’ เฉยๆ แบบไม่มีโรบิน) จะพบเจอที่ทางของตัวเองในที่สุด ณ สถานที่ที่ห่างไกลจากป่าที่เด็กชายผมบลอนด์และเพื่อนสัตว์ในจินตนาการพากันวิ่งเล่น
แต่อาจจะไม่ห่างจากหนังสือ Winnie-the-Pooh เสียทีเดียว เพราะเราเดาว่าในมุมใดมุมหนึ่งของร้าน อาจมีวรรณกรรมเยาวชนยอดนิยมวางอยู่ก็เป็นได้
อ้างอิง