ในโลกที่หนังสือมีหนังสือหลายหมวดหมู่ ทั้งให้ความรู้ ให้ความบันเทิง เป็นงานอดิเรก เป็นสื่อการเรียนรู้ กระจายอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ตัวอักษรทำตามหน้าที่ของมันอย่างขันแข็ง ส่งความหมายผ่านการกวาดสายตาผ่านแต่ละบรรทัด
เราอาจคุ้นเคยกับการเดินไปยืนเลือกหนังสือบนชั้น ไล่เรียงนิ้วไปตามสันหนังสือ ก็สามารถเลือกเล่มที่ถูกใจมาอ่านได้ แต่สำหรับผู้พิการทางสายตา ที่มีการรับรู้โลกที่ต่างออกไป ทำให้การอ่านหนังสือแต่ละครั้ง เพิ่มขั้นตอนมากขึ้นไปด้วย
หนังสือเหมือนกัน แต่การเข้าถึงยังไม่เท่ากัน แม้ในตอนนี้จะมีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกให้การเข้าถึงหนังสือของผู้พิการทางสายตาเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ก็อาจจะยังง่ายไม่พอ ให้หนังสือกลายเป็นเรื่องของทุกคนได้โดยแท้จริง
The MATTER ชวนมาสำรวจโลกการอ่านของคนตาบอด ผ่านการพูดคุยกับ เบส—นรวัฒน์ ตะเวที ผู้พิการทางสายตา

แม้จะบกพร่องทางการมองเห็น แต่ก็ใช่ว่าหนังสือจะถูกตัดขาดไปจากโลกของคนพิการทางสายตา เขายังใช้ชีวิตเช่นเดียวกับคนทั่วไป หากเราใช้การมองเห็นทำความเข้าใจสิ่งรอบตัวอย่างไร พวกเขาก็ต้องทำแบบนั้นเช่นกัน แต่เป็นวิธีที่ต่างออกไป
หากเราแหงนมองป้ายสถานีรถไฟฟ้า คนตาบอดก็ต้องฟังเสียงประกาศชื่อสถานี หากเราเลือกกินอะไรสักอย่าง ต้องหันฉลากโภชนาการ คนตาบอดก็ต้องการรับรู้โภชนาการนี้ด้วยเช่นกัน หากเราอ่านหนังสือเพื่อแสวงหาความรู้ หรืออยากมีไว้เป็นงานอดิเรก คนตาบอดก็อยากใช้หนังสือในแบบนั้นด้วยเช่นกัน
แต่ด้วยเงื่อนไขของร่างกายทำให้วิธีเข้าถึงหนังสือต่างออกไป เบสเล่าว่า เขาพิการทางสายตาตอนอยู่ในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนนั้นอาจยังไม่มีเทคโนโลยีครอบคลุมมากนัก อักษรเบลที่คนทั่วไปรู้จักว่ามีไว้สำหรับคนตาบอด กลับไม่ได้เข้าถึงง่ายอย่างที่คิด เบสเล่าว่า
“แต่ผมเป็นผู้พิการทางสายตาทีหลัง อักษรเบลผมอาจจะไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้น แล้วก็ตัวเครื่องปรินต์เบลมีค่อนข้างจำกัด และราคาก็สูง ปัจจุบันนี้ก็ยังสูงอยู่ มันมีเครื่องแปลงตัวอักษรธรรมดาเป็นอักษรเบลแบบเรียลไทม์แต่ราคายังสูงมากๆ อาจเหมาะกับคนที่ใช้งานจริงๆ มากกว่า”
ด้วยข้อจำกัดของอักษรเบล เบสใช้วิธีให้คนรอบข้างอ่านให้ฟังจะง่ายกว่าและเร็วกว่า จนถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย จึงเริ่มมีแก็ดเจ็ตต่างๆ มากขึ้น แต่พอเป็นสถานการณ์จริงในห้องเรียน สื่อการเรียนการสอนเป็นสิ่งพิมพ์เสียส่วนใหญ่ หรือในตอนที่อาจารย์แจ้งว่าใช้หนังสือเล่มไหนในการเรียนวิชานั้นๆ นักศึกษาก็จะไปจับจองหนังสือที่ห้องสมุด ปัญหาของผู้พิการคือ จองไม่ทัน หรือต่อให้จองได้ ก็อ่านไม่ได้อยู่ดี จึงต้องหาวิธีอื่นในการเข้าถึงแหล่งความรู้นั้นแทน

เบสเล่าถึงวิธีเบสิกที่สุด คือ เอาหนังสือไปให้สมาคมคนตาบอด แล้วทางสมาคมจะส่งกลับมาเป็นไฟล์เสียง แต่เขาเองไม่ได้ใช้วิธีนี้แล้ว เพราะค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร บวกกับความสะดวกของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหนไกลก็สามารถอ่านหนังสือได้จากที่บ้าน
“ตัวผมเองใช้วิธี 2 แบบ มันจะมีกลุ่มเฟซบุ๊กที่เราถ่ายรูปให้อาสาสมัคร แล้วเขาพิมพ์กลับมาให้เราได้ อันนี้ก็จะเร็วขึ้นหน่อย แต่ก่อนมันไม่มีแปลงไฟล์ แปลงรูปภาพเป็นตัวหนังสือ แล้วก็อาศัยเรียนจากยูทูบ มันอาจไม่ได้ลึกเท่ากับหนังสือ แต่มันก็สามารถเอาไปใช้ต่อได้”
ปัจจุบันมีทั้งหนังสือเสียง แอปพลิเคชั่นอำนวยความสะดวกมากขึ้น ทั้งแอปที่มีคนอ่านให้และแอปที่อ่านข้อความ
แต่การอ่านไฟล์ข้อความ หากเป็นไฟล์สกุล PDF จะค่อนข้างตะกุกตะกัก การออกเสียงจะแปร่งเสียหน่อย ให้ลองนึกถึงเสียง Siri หรือ Google Map อ่านข้อความดู หากจะให้อ่านได้อย่างคล่องแคล่วก็ต้องเป็นไฟล์ word หรือ doc นั่นหมายความว่าต่อให้สามารถเข้าถึงหนังสือเล่มนั้นในรูปแบบอื่นๆ ได้ แต่ผู้พิการทางสายตาก็ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านอรรถรส ความสุนทรีย์ ในการอ่านนี้ด้วย การเข้าถึงหนังสือจึงไม่ใช่แค่มีเนื้อหา แต่รวมถึงความสะดวก และอิสระในการเลือก
ไล่เรียงไปถึงช่วงมหกรรมสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ใกล้จะถึงนี้ เราเอ่ยถามเบสถึงคำถามง่ายๆ แต่น่าจะเป็นใจความหลักที่สุดของเรื่องนี้ สำนักพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ จะช่วยให้ผู้พิการทางสายตาเข้าถึงหนังสือได้อย่างไรบ้าง เบสเสนอไอเดียที่น่าสนใจไว้ว่า
“ถ้าเราตีพิมพ์ออกมาเล่มหนึ่ง ถ้าอยากให้ครอบคลุมถึงผู้พิการทางสายตา อาจจะลองหาทางออกดูว่า หากทำเป็นไฟล์เสียง เป็นอีบุ๊ก จะจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ยังไงได้บ้าง ผมเข้าใจว่ามันมีโอกาสรั่วไหลสูง สามารถทำเป็นแอปลงทะเบียนเฉพาะบุคคลได้ไหม ห้ามดาวน์โหลด ห้ามแคปหน้าจอ อย่างแอปธนาคาร หรือแอปสตรีมมิ่ง มันอาจเฟรนด์ลี่มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายด้วย แล้วก็ให้ลงทะเบียนเฉพาะผู้พิการทางสายตาเท่านั้นนะ ถ้าจะอ้างอิงก็อ้างอิงจากบัตรคนพิการก็ได้ 1 คน 1 สิทธิ์”
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการทางสายตา ได้เข้าถึงหนังสือพร้อมกันกับทุกคน ถือว่าได้อุดหนุนสำนักพิมพ์โดยตรง โดยไม่ต้องกังวลในข้อจำกัดเรื่องลิขสิทธิ์ เมื่อต้องนำไปให้ผู้อื่นอ่านเป็นไฟล์เสียงให้ฟัง หรือพยายามแปลงไฟล์เป็นสกุลต่างๆ เพื่อให้แอปฯ อ่านให้แทน

พื้นที่สาธารณะอย่างห้องสมุด เราอาจเข้าใจว่าคือพื้นที่สำหรับทุกคนอย่างแท้จริง หนังสือที่เรียงอยู่ตรงหน้านั้นถึงจะอยู่ใกล้มือ แต่กลับไกลจากการอ่านออกเสียง การเข้าไปใช้บริการห้องสมุดของคนตาบอด ส่วนหนึ่งเข้าไปใช้บริการอ่านให้โดยอาสาสมัคร แต่ก็ต้องเดินทางไปด้วยตนเองก่อนถึงจะได้รู้ว่ามีต้องรอคิวอ่านนานแค่ไหน ใช้เวลาเท่าไหร่
“ถ้าเราต้องการหนังสือสักเล่มหนึ่ง แล้วห้องสมุดสามารถบอกได้เลยว่าคิวของคุณ มันต้องรอนานแค่ไหน มันก็เป็นประโยชน์กับผู้ใช้ อย่างเราจะจองคิวให้เขาอ่านให้ฟังเนี่ย ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ กี่วัน มันจะได้ประเมินเวลากันได้ แต่ถ้าต้องการอีบุ๊กเลย กี่วันทำการ”
นั่นเลยทำให้ห้องสมุดสาธารณะอาจยังไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้พิการทางสายตา หากพัฒนาในระบบจองคิวนี้ได้ อาจช่วยให้การออกจากบ้าน เดินทางมายังห้องสมุดครั้งหนึ่ง คุ้มค่าที่จะออกมา
“ถ้าเป็นห้องสมุดสาธารณะ อย่างหอสมุดแห่งชาติ ห้องสมุดมหาลัย ผมเคยไปนะ เราไม่ได้ไปในฐานะของคนยืมหนังสือ เราไปใช้โต๊ะ ใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าไปยืมเป็นเล่ม กว่าจะได้อ่านก็นานครับ ส่วนมากผมจะเข้าไปดูสารบัญของหนังสือเล่มนั้น แล้วไปหาเนื้อหาจากช่องทางอื่นเอา หาทีละบทความเอา”

เวลาเราพูดว่าอ่านหนังสือ ตามความเข้าใจทั่วไปของเราคือการอ่านด้วยตัวเอง เลือกหนังสือ เปิดเล่ม พลิกหน้ากระดาษ แต่สำหรับผู้พิการทางสายตา การอ่านอาจเป็นการฟัง หรือสำหรับเบส ผู้พิการทางสายตาประเภทเลือนราง เขายังสามารถอ่านด้วยตัวเองได้ แต่เป็นการซูมอ่านใกล้ๆ เลยอาจจะใช้เวลามากเสียหน่อยในการอ่านแต่ละครั้ง
เราเลยถามถึงความแตกต่างระหว่าง การอ่านด้วยตัวเองกับการฟังคนอื่นอ่านให้ คำตอบไม่ซับซ้อน เราต่างชอบอะไรที่ได้ทำมีประสบการณ์ด้วยตัวเองทั้งนั้น นอกจากเรื่องของอรรถรสแล้ว ยังเป็นเรื่องของความสะดวกใจบางอย่างด้วย เบสเลยเล่าถึงเหตุการณ์ตัวอย่างให้ฟัง
“อย่างตอนผมไปสอบราชการ มันมี 2 แบบ คืออ่านให้ฟัง กับเป็นไฟล์เสียง ผมเลือกอ่านเองเป็นไฟล์เสียง ถ้าให้เขาอ่านให้ มันสามารถยกมือให้เขาทวนได้ก็จริง แต่พอหลายๆ คน หลายๆ ครั้ง แล้วเรายังลังเล มันไม่สามารถข้ามได้ ถ้าเลือกอ่านเอง ผมจะอ่านข้อนี้ห้ารอบก็ได้ ผมเอะใจตรงไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ก็ได้”
“เวลาให้คนอื่นอ่านให้ฟัง ผมเข้าใจมนุษย์ก็เหนื่อยล้า บางครั้งอาจจะ เห้อ ทำไมยังจำไม่ได้ ทำไมนานจัง คนไหนใจดีหน่อยก็ดีไป แต่เราเกรงใจก็อยากอ่านเองมากกว่า”
เราจึงเข้าใจมากขึ้นว่า ต่อให้มีอาสาสมัครมากแค่ไหน มีเทคโนโลยีที่สะดวกแค่ไหน เราต่างอยากใช้ชีวิตด้วยตัวเองให้มากที่สุด ถ้าทุกคนเข้าถึงทุกอย่างได้เท่ากัน ทั้งความรู้ ความชอบ เรื่องสาระ เรื่องสัพเหระต่างๆ สังคมนั้นจะหน้าตาเป็นแบบไหน เบสให้ความเห็นว่า
“มันคือสังคมที่ให้ทุกคนคุยกันในทุกหัวข้อได้อย่างไม่เคอะเขิน อย่างคนตาบอดคุยเรื่องแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ท่องเที่ยว อะไรก็ตามแต่เกี่ยวกับการมองเห็น ”
สังคมที่ทุกคนได้ใช้ชีวิตเท่ากัน อาจไม่ใช่สังคมที่มีคนมาช่วยเหลือมากขึ้น แต่คือสังคมที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ได้ในสิ่งที่ควรได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากใคร