ตอนนี้เชื่อว่าหลายคนน่าจะกำลังติดตามข่าวที่เกาหลีเหนือตั้งท่าจะยิงขีปนาวุธจนชาวบ้านทั้งฝั่งอเมริกาหรือเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นต่างก็หัวร้อนไปตามๆ กัน เห็นข่าวนี้แล้วก็นึกไปถึงเรื่องราวเมื่อปี 1984 ที่มีผู้หญิงเท่ๆ คนหนึ่ง ใช้ข้อความบนเสื้อยืดเรียกร้องให้ผู้นำประเทศเลิกล้มแผนยิงมิสไซล์ได้สำเร็จ
และก่อนจะเล่าไปถึงจุดนั้น ขอย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิดของเสื้อยืดประดับข้อความหรือ slogan tee สักหน่อย เพราะเราเองก็เคยสงสัยว่าคนเราเอาข้อความมาแปะบนเสื้อครั้งแรกกันตอนไหน
ก่อนจะกลายเป็นแฟชั่นสามัญอย่างทุกวันนี้ เมื่อสักปี 1950 เป็นต้นมา เสื้อยืดพิมพ์ข้อความถูกใช้ในการโปรโมตแคมเปญหาเสียงของผู้สมัครประธานาธิบดีอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นสิ่งนี้จึงไม่ได้เป็นแฟชั่น แต่ให้ฟีลเหมือนเสื้อโปโลลายพรรคการเมืองบ้านเราเสียมากกว่า (อิ้วว์)
ปีสองปีต่อมา คนถึงเริ่มพิมพ์ลายลงบนเสื้อยืดเพื่อทำขาย โดยเจ้าแรกที่ทำคือ Walt Disney เอาไว้ขายเด็กๆ ที่เป็นแฟนการ์ตูน และยังไม่ได้เป็นเทรนด์ที่กระชากใจแฟชั่นนิสต้ายุคนั้นสักเท่าไหร่
จนกระทั่งช่วงปี 1960s เสื้อยืดพิมพ์สโลแกนได้บูมในฐานะไอเทมแฟชั่นเต็มตัวเมื่อ เจ้าป้าแห่งความพังก์อย่าง Vivienne Westwood กับ Malcolm McLaren แฟนหนุ่มของเธอ ได้ใช้เสื้อยืดเป็นพื้นที่ประกาศจุดยืนทางความขบถๆ ของตัวเอง

adenwilliams.files
เช่น เสื้อยืดที่พิมพ์คำว่า SEX, Revolution หรือลายเครื่องหมายสวัสดิกะของนาซีและคำว่า Destroy ใส่เสื้อยืดสโลแกนเหล่านี้เดินไปทางไหนก็เหมือนไปตะโกนใส่หน้าคนฟัง คอลเลคชั่นที่ว่านี้ทำให้เสื้อยืดพิมพ์ข้อความเป็นไอเทมสุดคูลในกลุ่มพังก์กับร็อกแอนด์โรล แล้วก็ค่อยๆ แผ่วแรงลงไปตามสไตล์วงเวียนแฟชั่น
จนกระทั่งในปี 1984 เสื้อยืดสโลแกนก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่อีกครั้ง เมื่อแฟชั่นดีไซเนอร์นามว่า Katharine Hamnett สกรีนข้อความ “58% Don’t Want Pershing” แล้วมุ่งหน้าไปร่วมงานลอนดอนแฟชั่นวีค ด้วยความตั้งใจว่าจะต้องได้ร่วมเฟรมถ่ายภาพร่วมกับ Margaret Thatcher นายกฯ หญิงของอังกฤษสมัยนั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพราะอยากร่วมเฟรมกับนายกฯ คนดัง แต่ตอนนั้น Thatcher กำลังจะทำพันธะสัญญายินยอมให้อังกฤษเป็นฐานที่มั่นในการยิงมิสไซล์ของอเมริกา (Pershing) อยู่รอมร่อ และถึงผลโหวตจะออกมาว่าชาวอังกฤษ 58% ไม่ต้องการกิจกรรม Pershing แต่นายกฯ หญิงก็ยังคงแข็งข้อ
จนกระทั่งภาพในแฟชั่นวีคถูกเผยแพร่ไปตามสื่อ ก็ได้สร้างความฮือฮาในวงกว้าง และส่งผลให้ Thatcher ยอมยกเลิกที่จะทำสัญญานั้นในที่สุด บราโว่
หลังจากเหตุการณ์นั้น มันก็กลายเป็นเรื่องเท่ๆ ที่ใครก็ตามจะทำเสื้อยืดพิมพ์ลายเอง และเป็นพันธกิจหนึ่งของวัยรุ่นหัวก้าวหน้าที่อยากส่งต่อความคิดของตัวเองผ่านเสื้อยืด เหล่าผู้ทรงอิทธิพลทางแฟชั่นก็เอาด้วยเหมือนกัน เช่นวง Wham! ที่สวมเสื้อยืดสโลแกนขึ้นเล่นคอนเสิร์ต บนเสื้อมีข้อความว่า Choose Life ที่เป็นการรณรงค์ต่อต้านการยิงระเบิดนิวเคลียร์ด้วยอีกแรง

content2.beyondretro.com
อย่างที่บอกว่าข้อความบนเสื้อก็คล้ายกับการไปตะโกนใส่หน้า แม้บางครั้งผู้คนจะไม่ยอมรับฟังบางเสียงที่ถูกพูดออกมา แต่พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธการมองเห็นข้อความบนเสื้อยืดที่คนสวมใส่ตามท้องถนนได้เลย ถึงจะพยายามก็ยากอยู่ดี
แต่ท้ายที่สุด Hamnett เองได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “เสื้อยืดที่ประสบความสำเร็จจะต้องทำให้คนเห็นแล้วคิดตาม ที่สำคัญกว่านั้นคุณเองต้องลงมือทำด้วย แต่ที่เจ็บปวดก็คือข้อความที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่ปี 80s ทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ทั้งเรื่องนิวเคลียร์ ความยากจน หรือสิทธิสตรีก็ตาม”
ทั้งน่าเศร้า และชวนให้ตั้งคำถามว่า สำหรับการต่อสู้เรื่องใดก็ตาม การใส่เสื้อผ้าประกาศจุดยืน มันเพียงพอแล้วหรือยัง แล้วเราควรทำอะไรกันต่อไป—มองไปที่ข่าวมิสไซล์ของเกาหลีเหนือแล้วปาดน้ำตา