คุณคิดว่าหนังที่ห่วยที่สุดที่เคยดูคือเรื่องไหน? …ไม่แน่ว่า The Room อาจจะล้มแชมป์ในใจคุณแบบขาดลอย
มันคือหนังอิสระเรื่องหนึ่งที่ออกฉายในอเมริกาตั้งแต่ปี 2003 มีรอบฉายช่วงดึกเดือนละครั้งอย่างต่อเนื่องอยู่หลายปี มีกลุ่มแฟนเหนียวหนึบระดับที่ลงทุนแต่งตัวเป็นตัวละครไปดูในโรง ท่องบทตามได้ทั้งเรื่อง และชอบเขวี้ยงปาข้าวของใส่จออย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับเดียวกับ The Rocky Horror Picture Show หนังเพี้ยนสุดคลาสสิกจากปี 1975 ที่ยากจะหาใครเทียบ
แต่เรื่องนี้ไปสุดยิ่งกว่า โฆษณาของ The Room ไปโผล่บนบิลบอร์ดย่านฮอลลีวู้ดอยู่ถึง 5 ปี มีคนหยิบเรื่องราวของผู้กำกับไปเขียนหนังสือชื่อ The Disaster Artist ทำเป็นสารคดีเรื่อง Room Full of Spoons เติบโตจนมีทัวร์เดินสายฉายหนังในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งอังกฤษ เยอรมัน เดนมาร์ก ออสเตรเลีย อินเดีย และอื่นๆ จนถึงทุกวันนี้ และล่าสุด James Franco เพิ่งจะทำหนังจากเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องที่ว่า หลังจากผ่านมา 14 ปี และให้ตายเถอะ! ตอนนี้มันกลับมาฮิตเป็นบ้าอีกครั้ง!
ถึงแม้โปรไฟล์ที่ว่ามาจะฟังดูหรูแค่ไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องราวของหนังฮอลลีวู้ดบ็อกซ์ออฟฟิศ หนังอาร์ตอันงดงาม หรือหนังดีเด่อะไรทั้งสิ้น
กลับกัน นี่คือหนังคัลต์ของ Tommy Wiseau ที่เขากำกับ เขียนบท โปรดิวซ์ แสดงเอง ออกทุน และได้รับการสรรเสริญ (หรือด่ายับ) ว่าเป็นหนังโคตรห่วยแตกที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา!
ว่ากันง่ายๆ The Room ก็คือหนังรักสามเส้าระหว่างจอห์นนี่—นายธนาคารผู้ประสบความสำเร็จและเป็นที่รักของทุกคน ลิซ่า—คู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ และมาร์ค—เพื่อนรักของจอห์นนี่ผู้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับลิซ่าโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ (แต่ลิซ่าตั้งใจมากกกกล่ะ)
เรื่องราวดำเนินไปอย่างพิลึกพิลั่นสมกับที่มีคนเปรียบเอาไว้ว่าเหมือนเอาเอเลี่ยนที่ไม่รู้จักโลกมนุษย์มากำกับ ระดับที่ Tom Bissell หนึ่งในผู้เขียน The Disaster Artist บอกว่า “มันไม่บ่อยนักหรอกที่หนังเรื่องหนึ่งจะตัดสินใจสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่โคตรผิดไปหมดแบบนี้!”
ถ้าให้ร่ายเรียง ความพิลึกกึกกืออาจเริ่มจากตัวละครต่างๆ ที่แข็งเป็นหิน และมีการสับสวิทช์อารมณ์แบบสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นซีนบนดาดฟ้าที่จอห์นนี่กำลังโวยวายคนเดียวอย่างใหญ่โต แต่เมื่อเหลือบไปเห็นว่ามาร์คนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กลับทักแบบชิลๆ ว่า “โอ้ ฮาย มาร์ค” แน่นอนว่านี่กลายเป็นมีมของหนังไปเลย (สมควร) หรือลิซ่าที่ตอนแรกก็รักจอห์นนี่อยู่ดีๆ ในซีนต่อมาก็ดันไปบอกแม่ว่าอยากหย่าซะอย่างงั้น ทั้งไดอะล็อกมากมายก็ชวนงงแสนงง อย่างตอนที่จอห์นนี่ตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “แกทรยศฉัน แกมันคนไม่ดี แกมันแค่ไอ้ไก่ตัวหนึ่ง กุ๊กๆๆๆๆ” พร้อมทำท่าไก่กระพือปีกพั่บๆ ประกอบไปด้วย (กุมขมับ)
ไหนจะความบ้าๆ บอๆ ของพี่ทอมมี่ ที่ชอบหยอดเรื่องราวซึ่งเหมือนจะนำไปสู่อะไรในภายหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ อย่างซีนที่ลูกบุญธรรมของจอห์นนี่โดนมาเฟียยาเสพติดตามมาทวงหนี้ถึงอพาร์ตเมนต์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย – มาเฟียโดนจับ – และทุกอย่างก็กลับสู่ปกติเหมือนไม่เคยมีเหตุนั้นเกิดขึ้น หรือแม่ของลิซ่าที่อยู่ดีๆ ก็บอกว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย! ซึ่งคุณพี่ทอมมี่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเขาไปอ่านเจอมาในอินเทอร์เน็ตว่าคนเป็นมะเร็งไม่ชอบให้ใครตอกย้ำเรื่องโรค ก็เลยไม่มีตัวละครไหนยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นครั้งที่สองนั่นเอง (เอ้า!)
ความงงยังบังเกิดอีกหลายครั้ง เช่น เมื่อนักแสดงหลักคนหนึ่งต้องออกจากการถ่ายทำกลางคัน แต่แทนที่จะสะทกสะท้าน ทอมมี่กลับใช้นักแสดงอีกคนมาแทนในซีนหลังๆ กลายเป็นว่าคนดูต้องมางงว่าพี่นักแสดงที่โผล่มาดื้อๆ นี่เป็นใคร! แล้วทำไมพี่ถึงรู้เรื่องรักสามเส้าทะลุปรุโปร่งดีขนาดนี้! ฮื้อ
เพราะความห่วยจนขำนี่เองที่ทำให้ The Room กลายเป็นที่รักของแฟนๆ หนังคัลต์แบบที่พวกเขาลงทุนแต่งตัวเป็นตัวละคร (โดยเฉพาะจอห์นนี่ ที่ไม่ได้มีอะไรต่างจากทอมมี่) ไปดูหนังในโรง พกช้อนพลาสติกไปเขวี้ยงจอในฉากที่เห็นกรอบรูปใส่รูปช้อน ส่งเสียงหัวเราะ ท่องบท และเฮลั่นจนคนที่ไปดูหนังในโรงครั้งแรกอาจดูไม่รู้เรื่อง เพราะเสียงคนดูดังกลบเสียงในจอไปหมดแล้ว
ความที่แฟนๆ เหล่านี้เป็นวัยรุ่นซะมาก ทอมมี่เลยถึงกลับเคลมว่าหนังของเขาลดอัตราการเกิดอาชญากรรมในอเมริกา เพราะแทนที่วัยรุ่นจะ “เดินเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนตอนกลางคืน หยิบก้อนหินขึ้นมา และบังเอิญเอาไปกระแทกใครสักคน” (ตามคำของเขาน่ะนะ) พวกเขาก็ไปนั่งเป็นเด็กดีอยู่ในโรงหนัง เอนจอยไปกับเรื่องราว และเขวี้ยงปาช้อนพลาสติกแทนก้อนหินที่แสนอันตราย เอากับเขาสิ
เบื้องหลังของ The Room ที่ทำเอาเราหวีดร้องอยู่หลายครั้งคือทอมมี่ วิโซว (หรือไวโซว) ชายปริศนาที่แม้จะไม่เป็นเลิศเรื่องทำหนังแต่กลับปกปิดเรื่องราวของตัวเองได้ดีเหลือเกิน ตลอด 14 ปีหลังหนังออกฉาย เราไม่เคยได้ฟังจากปากเขาสักครั้งว่าเขาเกิดที่ไหน อายุเท่าไหร่ หรือมีชื่อจริงว่าอะไร ทั้งหมดที่เขาเล่ามักเป็นเรื่องทำนองว่า “ผมโตในยุโรป เคยไปอยู่ปารีสเมื่อนานมากๆ แล้ว แต่ตอนนี้ผมเป็นพลเมืองอเมริกันและผมก็ภูมิใจมากๆ ด้วย” เขาว่า
อย่างไรก็ตาม เพราะ The Room กลายเป็นหนังคัลต์ที่มีแฟนๆ เหนียวแน่นหนึบทำให้ทอมมี่หลบไม่พ้นการโดนขุดคุ้ย ในสารคดีเรื่อง Room Full of Spoons ผู้กำกับ Rick Harper เปิดเผยว่าเขาเกิดในโปแลนด์ ส่วนหนังสือ The Disaster Artist ก็บอกว่าเขาเกิดก่อนปี 1968 แน่ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดนักหรอกจนกว่าจะได้ยินจากปากของทอมมี่เอง
ปริศนายังไม่จบ เมื่อคนเริ่มสงสัยกันว่าทอมมี่เอาทุนสร้างถึง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากไหน (มากกว่า Lost in Translation ที่ออกฉายในปีเดียวกันเสียอีก) จนเกิดเป็นทฤษฎีวิธีหาเงินของทอมมี่ ทั้งเพื่อนสนิทอย่าง Greg Sestero (เพื่อนสนิทผู้เล่นเป็นมาร์ค) ซึ่งเคลมไว้ในหนังสือ The Disaster Artist ของเขาว่า ทอมมี่ทำงานหลายอย่างตั้งแต่ย้ายมาซานฟรานซิสโก ทั้งขายของเล่นให้นักท่องเที่ยวแถวท่าเรือชาวประมง เป็นพนักงานเก็บโต๊ะในร้านอาหารและคนงานในโรงพยาบาล และขายกางเกงยีนส์กับเสื้อหนังนำเข้าจากเกาหลี จนมีเงินซื้อตึกได้ทั้งในซานฟรานซิสโกและแอลเอ ซึ่งถ้าว่ากันตามนี้ ทอมมี่ก็นับว่ารวยมากทีเดียว
ถึงอย่างนั้น เกร็กเองก็ยังบอกว่าทอมมี่ไม่น่าจะรวยจากงานเหล่านี้ ถึงขนาดที่มีเงินมาทำหนัง จ่ายค่าบิลบอร์ด และค่าเอาหนังเข้าโรงได้ทุกเดือนหรอก ส่วนทีมงานหลายคนในกองถ่าย The Room ก็เคยซุบซิบกันว่าหรือหนังเรื่องนี้จะเป็นวิธีฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรม แต่สุดท้าย—ก็เหมือนกับเรื่องราวอื่นๆ ของทอมมี่นั่นแหละ คือยังไม่มีใครสามารถเข้าไปล่วงรู้ได้จริงๆ สักที
ไม่เพียงแค่ทอมมี่เท่านั้นที่ตกอยู่ในสปอตไลต์ แต่นายเกร็ก เพื่อนของเขาเองก็เช่นกัน โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากนักวิจารณ์คนหนึ่งเขียนถึง The Room มันก็โด่งดังเป็นพลุแตกและคนก็แห่กันมาถามเขาว่าทำไมเขาถึงยอมเล่นหนังห่วยๆ เรื่องนี้ เขาจึงเขียนหนังสือ The Disaster Artist ขึ้นมาเพื่อเล่าทั้งความเป็นมาของหนัง การตัดสินใจเล่นของตัวเอง ไปจนถึงบรรยากาศตอนถ่ายทำซึ่งบ้าคลั่งกว่าตัวหนังเองเสียอีก
เพราะ The Disaster Artist นี้เองที่ทำให้ James Franco ติดอกติดใจเรื่องราวของทอมมี่และเกร็กทั้งที่ไม่เคยดู The Room มาก่อนด้วยซ้ำ และเพียงได้ดู The Room ที่โรงหนังในแวนคูเวอร์เพียงครั้งเดียว เขาก็ติดใจจนคิดจะทำหนังเรื่อง The Disaster Artist เพื่อเล่าเรื่องราวของผู้กำกับสุดเพี้ยนและทริบิวต์ให้ The Room ที่กลายเป็นตำนานหนังคัลต์ไปพร้อมๆ กัน
หากจะถามว่าทำไมหนังห่วยๆ เรื่องหนึ่งถึงกลายเป็นตำนานได้ขนาดนี้ คำตอบส่วนหนึ่งอาจอยู่ในงานวิจัยที่บอกว่า เพราะหนังเหล่านี้คือภาพของการคัดง้างกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์กระแสหลัก ไม่ต่างอะไรจากหนังอาว็องการ์ดที่คนยกย่องว่ามีคุณค่า แถมสถิติจากเว็บไซต์ Amazon.com ยังบอกว่าคนที่ซื้อหนังกากๆ อย่าง The Room ก็คือคนกลุ่มเดียวกับที่ซื้อหนังอาร์ตดีๆ เรื่องอื่นๆ นั่นแล
ในส่วนที่เรียบง่ายกว่างานวิจัยเราอาจพูดได้ว่า แม้หนังของทอมมี่จะห่วยแสนห่วย แต่แพชชั่นในการทำหนังของเขาก็ฉายชัดออกมาบนจอ ดูได้จากโปรดักชั่นที่ตั้งใจถ่าย เงินทุนที่เป็นของตัวเอง แถมยังเอาหนังเข้าฉายทุกเดือนด้วยความตั้งใจว่าคนอเมริกัน 80% ต้องได้ดูหนังเรื่องนี้ให้ได้! ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แค่พลเมืองอเมริกันแต่คนในประเทศที่ห่างไกลจากอเมริกาเหลือเกินอย่างพวกเราก็ยังได้ดู The Room กันไปบ้างแล้วด้วยซ้ำ
หรือกับตัวทอมมี่เอง เหตุที่ใครหลายคนรักเขาอาจเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในหนังของตัวเองแบบสุดใจ และตั้งใจทำหนังจริงๆ และแม้ใครต่อใครจะหัวเราะหนังของเขาเป็นบ้าเป็นหลัง ทอมมี่ก็ไม่โกรธแถมยังชอบพูดบ่อยๆ ว่า “คุณจะหัวเราะก็ได้ คุณจะร้องไห้ก็ได้ คุณจะปลดปล่อยความเป็นตัวเองก็ได้ แต่อย่าทำร้ายกันและกัน งานเอนเตอเทนเมนต์มันมีไว้ให้คุณหัวเราะอยู่แล้ว ถ้าผมทำให้คุณหัวเราะสำเร็จ ในฐานะของผู้กำกับและนักแสดงก็ถือว่าผมทำงานของผมสำเร็จแล้ว”
แต่กับเหตุผลที่ดีที่สุดที่ทำให้ The Room กลายเป็นหนังโปรดของใครหลายคนต้องยกให้คำพูดของ Tom Bissell ผู้ร่วมเขียน The Disaster Artist ที่อธิบายทุกอย่างไว้หมดแล้ว
“สำหรับผม The Room ทำลายกำแพงระหว่างความดีงามและความเลวร้าย ถามว่าผมคิดว่ามันเป็นหนังที่ดีมั้ย? ก็ไม่ มันมีพลังขับเคลื่อนผมแบบที่งานศิลปะส่วนใหญ่ทำได้มั้ย? แน่นอนว่าไม่ แต่ผมไม่สามารถบอกว่ามันแย่ได้เพราะมันเป็นหนังที่ดูเพลินมาก มันสนุกสุดๆ และทำให้ผมมีความสุขอย่างยิ่ง ของที่เลวร้ายมากๆ จะทำให้เกิดอะไรแบบนั้นกับผมได้ยังไงกัน?”
อ้างอิง