คิดอะไรไม่ออก ลองถาม AI ดูสิ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ที่มี Generative AI ก็ทำให้ใครหลายคนง่วนอยู่กับการถามตอบทุกอย่างกับ AIทั้งเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ลากยาวไปจนถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วย AI หลายคนหยิบเอาเจ้าปัญญาประดิษฐ์นี้มาช่วยทำงานมากขึ้น หวังว่าจะช่วยให้ภาระงานเราลดลง แล้วมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น
ตัดกลับมาที่ภาพความจริงแม้จะมีผู้ช่วยทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอย่าง AI แต่งานเรากลับไม่เคยน้อยลงเลย ชั่วโมงทำงานยังเท่าเดิม ภาระงานไม่ต่างจากที่ผ่านมา แถมจากงานเล็กๆ ก็เพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราจมอยู่กับไอเดียมากมาย แต่งานกลับไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
แล้วตกลง AI มาช่วยหรือมาเพิ่มงานให้เรากันแน่ เราเลยอยากชวนมาสำรวจดูว่า AI ที่ควรจะช่วยงานให้เสร็จไวขึ้น กลายเป็นตัวการทำให้เราหลุดโฟกัสจากสิ่งที่ควรทำได้ยังไงบ้าง แล้วเราจะมีวิธีจัดการยังไงให้ใช้ AI ได้โดยที่ยังรักษาสมาธิและเป้าหมายของเราไว้ได้อยู่
งานก็ทำให้ ไขว้เขวได้ไง
ใครๆ ก็บอกว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานเราในไม่ช้า เพราะปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ช่วยเราจัดการงานซ้ำซากจำเจให้หายไป จนทำให้เรามีเวลาไปคิดเรื่องยากๆ หรืองานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ในความเป็นจริง การพึ่งพาเครื่องมือเหล่านี้มากเกินไป บางครั้งก็อาจเพิ่มภาระงาน แถมยังรบกวนสมาธิ จนไม่สามารถจดจ่อกับงานที่สำคัญจริงๆ ก็ได้
ถ้าใครเคยลองใช้อาจรู้สึกได้เหมือนกันว่าผู้ช่วยเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยน้อยลง เพราะหนึ่งในจุดแข็งของ AI คือการให้คำตอบที่เหมาะสมกับแต่ละคน เรามักจะได้ไอเดียหรือข้อความที่ตรงใจเราทุกครั้ง แม้บางครั้งอาจจะเป็นข้อมูลที่ผิดก็ตาม และเมื่อระบบให้คำแนะนำให้เรามากเกินพอดี ก็ทำให้เราติดอยู่กับวังวนของข้อมูลเหล่านี้ไม่รู้จบ
ไม่ใช่แค่นั้น แต่สิ่งที่ทำให้ถูกดึงเวลาทำงาน อาจเป็นเพราะจะตื่นตาตื่นใจกับคำตอบของ AI จนละเลยงานจริงที่ต้องทำไป หรือมันอาจเสนอไอเดียมากมายเกินไปจนเลือกไม่ถูก พาลให้ไม่อยากเริ่มงาน ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากเลือกทางที่ไม่ถูกต้อง แถมเรายังเสียเวลาทำงานมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งคำสั่ง หรือต้องคอยรีเช็คข้อมูลอยู่ตลอด เพราะไม่รู้ว่าเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน จนกลายเป็นการทำงานซ้ำซ้อน เพื่ออุดรอยรั่วของเทคโนโลยีเหล่านี้อีกที ทำให้ด้านหนึ่ง AI ก็ขัดขวางการทำงานเราได้เหมือนกัน
ความรู้สึกเหนื่อยล้านี้ก็สอดคล้องกับการศึกษาของแดเนียล เลวิติน (Daniel J. Levitin) นักประสาทวิทยาที่วิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการทำงาน บอกว่าโลกดิจิทัลในปัจจุบันมีผลให้สมองเราอยู่ในภาวะเสียสมาธิได้ตลอดเวลา เมื่อเราได้รับข้อมูลล้นเกิน จะทำให้เกิดปัญหาในการจัดลำดับความสำคัญ ไม่สามารถตัดสินใจได้ จนเกิดความเครียดตามมา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อมูลมากมายๆ มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าให้เราเลือกหยิบไปใช้ได้ทันที แต่สมองเรากลับมีเวลาจดจ่อจริงๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น จากผลการศึกษาของ แอนเดอร์ อีริคสัน (Anders Ericsson) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน พบว่าสมองมนุษย์ส่วนใหญ่สามารถสมาธิทำงานเชิงลึกได้เพียง 4-5 ชั่วโมงต่อวัน หลังจากนั้นเราจะคิดงานซับซ้อนได้น้อยลงอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าสมาธิกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ในยุคนี้ เพราะเทคโนโลยีพร้อมจะดึงความสนใจเราไปได้ตลอดเวลา จนไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้ง่ายๆ แม้ว่าจะมีเครื่องมืออย่าง AI เข้ามาช่วยทำงานก็ตาม
ผลจากการถูกดึงสมาธิไปจากงานที่ต้องทำจริงๆ ได้สร้างความตึงเครียดให้กับคนทำงาน จากข้อมูลของไมโครซอฟต์ พบว่า 48% ของพนักงาน และ 52% ของผู้นำองค์กร บอกว่างานของตัวเองวุ่นวายและไม่รู้สึกได้งานเป็นชิ้นเป็นอัน นั่นเพราะ ถึง AI จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แต่งานจาก AI ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่จริงๆ เพราะเป็นการสร้างจากฐานข้อมูลเดิมๆ และยิ่งพึ่งพาเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ไอเดียจากมนุษย์ค่อยๆ หายไป จนไม่รู้สึกภูมิใจกับผลงานหรือรู้สึกว่าตัวเองได้ลงแรงไปกับงานนั้นจริงๆ และรู้สึกหมดไฟในที่สุด
แล้วเราจะรับมือการทำงานในยุค AI ได้ยังไง?
การใช้ AI อาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่างที่บอกว่าการหยิบเอาเทคโนโลยีมาใช้อาจไม่ได้ช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นเสมอไป หากเรายังไม่เข้าใจเป้าหมายของงานนั้นจริงๆ ยิ่งในยุคที่เราสามารถเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ หลากหลายวิธี วิธีที่ทำให้เราไม่หลงทางไปกับวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวเอง จึงอาจเป็นวิธีการทำงานแบบ Deep Work หรือการทำงานในภาวะที่จดจ่อโดยไม่มีสิ่งรบกวน เพื่อให้เรามีเวลาทุ่มเทไปกับงานที่สำคัญจริงๆ
คาร์ล นิวพอร์ต (Cal Newport) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และผู้เขียนหนังสือ Deep Workได้ให้คำแนะนำไว้ดังนี้
ตรวจสอบพฤติกรรมการทำงาน
ขั้นแรกให้เราลองสังเกตว่าแต่ละวันเราใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง แล้วบันทึกลงตารางเวลาอย่างละเอียด เช่น ชั่วโมงนั้นทำอะไรบ้าง ได้กี่งาน ถูกรบกวนบ่อยแค่ไหน งานไหนที่จดจ่อได้ยากเป็นพิเศษ แล้วเป็นเพราะอะไร การสังเกตตัวเองจะทำให้เรารู้ว่าเวลาไหนที่เหมาะกับการทำงานของเรามากที่สุด เช่น บางคนอาจจะถนัดทำงานตอนเช้ามืดหรือตอนดึกมากกว่า เราจะได้เลือกเวลาทำงานที่เหมาะกับตัวเองได้
จัดลำดับความสำคัญของงาน
บางครั้งเราอาจไม่แน่ใจว่างานที่มีมากมายในมือควรจัดการงานไหนก่อน ผู้เชี่ยวชาญก็ได้แนะนำการจัดลำดับความสำคัญด้วยเทคนิค เช่น Eisenhower Matrix จะช่วยได้ โดยแบ่งงานเป็น 4 ช่อง คือสำคัญและเร่งด่วน เช่น เขียนต้นฉบับก่อนถึงเส้นตาย, สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน เช่น เรียนคอร์สออนไลน์, เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ เช่น ตอบอีเมลที่สามารถรอได้, ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน เช่น จัดฟอร์แมตเนื้อหา ซึ่งงานง่ายๆ ไม่ซับซ้อนนี่แหละที่เราสามารถปล่อยให้ AI เข้ามาจัดการได้ เพื่อให้เรามีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สำคัญและเร่งด่วนกว่า
สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับ Deep Work
สิ่งที่ทำให้เราสมาธิหลุดได้ง่าย ส่วนใหญ่มักมาจากสิ่งรบกวนจากสภาพแวดล้อม เช่น แจ้งเตือน หรือการขัดจังหวะจากเหตุการณ์อื่นๆ ในห้อง ดังนั้นเพื่อให้เราได้จดจ่อกับงานได้นานขึ้น ลองตั้งเวลาการหาข้อมูล หรือกำหนดเวลาใช้ AI เป็นตัวช่วย เพื่อไม่ให้เราเสียเวลาไปกับข้อมูลที่ท่วมท้นเกินไป อย่าลืมเปิดโหมดห้ามรบกวนในมือถือ ปิดแอปที่ไม่เกี่ยวข้อง ใช้หูฟังตัดเสียง หรือทำงานอยู่ในห้องเงียบๆ เท่านี้ก็ช่วยให้เราจดจ่อกับงานได้มากขึ้น
อย่าลืมพักเป็นระยะ
การทำ Deep Work ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นวิธีที่ทำให้เราใช้ขีดจำกัดของตัวเองสูงสุด หลายคนจึงทำได้เต็มที่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หากเราฝืนจนเกินตัวก็อาจส่งผลไปถึงงานอื่นๆ ได้ จากงานที่ทำไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จหากตั้งใจ ก็อาจลากยาวไปหลายวัน ดังนั้นถ้ารู้สึกไม่ไหว อย่าลืมปล่อยให้ตัวเองได้พัก ไม่ตอบอีเมลตอนกลางคืน หรือหยิบมือถือมาดูในเวลาพัก เพราะอาจทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าแบบไม่รู้จบ
เพราะอย่าลืมว่าต่อให้เทคโนโลยีจะช่วยให้เราทำงานได้ดีแค่ไหน แต่สุดท้ายคนที่ต้องควบคุมการใช้เครื่องมือนั้นก็ยังต้องเป็นเราอยู่ดี การใช้อย่างเข้าใจและพึ่งพาอย่างพอดีก็อาจเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้มันกลับมาทำร้ายเราทีหลังนะ
อ้างอิงจาก