เท้า รักแร้ ลูกไม้ ฉี่ ยูนิฟอร์ม
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ชุดคำแบบสุ่มที่พิมพ์ขึ้นมาตามใจชอบ แต่เป็นสิ่งเร้าอารมณ์ทางเพศสำหรับบางคน ที่แม้เห็นเพียงเสี้ยวก็รู้สึกตัวเบาหวิว จนต้องพยายามจะทำตัวปกติขึ้นมา ทำไมกันนะ? เพราะมันเกิดความใคร่เกินกว่าจะปกปิด แต่ก็อายเกินกว่าจะบอกใครไงล่ะ ก็ในเมื่อสิ่งเหล่านี้อาจไม่น่าอภิรมย์สำหรับคนอื่นนี่นา ใครจะกล้าเล่ากัน
เราอาจคุ้นเคยกันดีว่า ส่วนเว้า ส่วนโค้ง รูปร่างเฉพาะตัวของเครื่องเพศ กลีบแน่นแนบชิด แก่นกลางกายแข็งแรง เป็นสิ่งกระตุ้นความวาบหวามได้ดี จะเพียงภายนอกที่ปกคลุมด้วยเสื้อผ้า หรือเห็นเต็มตาถึงเนื้อหนังด้านใน ล้วนเป็นสิ่งแสนเซ็กซี่ที่มนุษย์เราเห็นพ้องต้องกัน แต่ความเซ็กซี่นั้นกลับไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่แค่เนื้อหนังของคนเราน่ะสิ
แม้จะแหวกหัวใจใครออกมาดูความจริงไม่ได้ แต่ถ้าหากให้ลองเขียนความเสวลับๆ ในใจลงกล่องแพนโดรา เจ้ากล่องนั้นคงได้รับรู้ว่า มนุษย์เราสามารถเกิดอารมณ์เสวซ่านกับสิ่งที่เกินคาดคิด
ทำความเข้าใจในเฟติช
เมื่อเรามีใจ ความใคร่ต่อสิ่งใดสักอย่าง โดยไม่สนว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศหรือเปล่า (อย่างหน้าอก อวัยวะเพศ) สิ่งนี้เรียกว่า ‘เฟติช’ (Fetish) เป็นความปรารถนาทางเพศที่มีต่อวัตถุ อวัยวะ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งอาจเป็นของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น รองเท้าส้นสูง ชุดเครื่องแบบ แว่นตา หรืออวัยวะที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดเสว อย่างเท้า รักแร้ ใบหู หรือส่วนประกอบอื่นๆ ในร่างกาย เช่น รอยสัก เหงื่อ ฉี่
เพียงแค่เห็นอะไรเหล่านี้ผ่านตาก็ชวนให้เกิดดอกไม้ไฟเล็กๆ ขึ้นมา ทั้งความหนักอึ้งและเบาหวิวในท้องน้อย ทำไมกันนะ สิ่งละอันพันละน้อยที่มองเผินๆ ก็ไม่มีความเซ็กซี่ในตัวแต่อย่างใด (ถ้าเราไม่ใส่ไอเดียเฟติชให้มัน) กลับสร้างความเสวซ่านในใจได้ไม่ต่างกับจุดเสวบนร่างกายเลย?
หากลองค้นลงไปในใจถึงที่มาของเฟติชว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นตอนไหน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพศ หรือผู้ที่เริ่มใช้คำนี้เป็นคนแรกอย่างอัลเฟร็ด บิเนต์ (Alfred Binet) นักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1887 ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ฟันธงได้แน่ชัดว่าคนเราเกิดเฟติชได้อย่างไร แต่เมื่อลองค้นความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายแหล่งแล้ว ส่วนใหญ่เชื่อว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ในวัยเด็ก (ส่วนใหญ่เป็นประสบการในแง่ลบ) ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงว่ามีความรู้สึกต่อสิ่งนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม แม้อาจจะยังไม่ชัดเจนในตอนแรก แต่เราจะรู้แน่เมื่อสักวันว่ามันเข้ามามีอิทธิพล จนกลายเป็นสิ่งเร้าทางเพศของเราโดยไม่ตั้งใจ
ใคร่เกินจะปิด อายเกินจะบอก
เมื่อเรามีรสนิยมที่ไม่ได้อยู่บนเส้นมาตรฐาน คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดเผยออกไปได้ ยิ่งเป็นสิ่งเร้าที่ไม่น่าพึงใจสำหรับผู้อื่น ยิ่งกลายเป็นเรื่องต้องปิดบัง
เราจะกล้าบอกคู่รักได้อย่างไรว่าทุกครั้งที่ร่วมรักกัน เราอยากโลมเลียเท้าเรียวนั้น ตั้งแต่ฝ่าเท้าที่เหยียบพื้น ไล่มาจนถึงปลายนิ้ว หากเอ่ยไปก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่า อีกฝ่ายจะตอบกลับมาแบบไหน อาจเห็นว่าเป็นความซุกซนด้วยบรรยากาศพาไป หรือมองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่คิดจะทำ และมองกลับมาด้วยสายตาสงสัยระคนดูแคลนหรือเปล่า
เป็นเรื่องเข้าใจดีว่า เรื่องเหล่านี้สร้างความลำบากใจให้ใครหลายคนมานักต่อนัก เมื่อเราเฝ้าฝันถึงแต่เซ็กซ์แสนพิเศษ จินตนาการเท่านั้นที่จะเติมเต็มความวาบหวามในใจได้ จนเมื่อความอึดอัดก่อตัวขึ้น หลายคนอาจกลับมาถามถึงรสนิยมที่ไม่ควรเอ่ยนี้ ว่ามันเป็นความผิดปกติทางใจหรือเปล่านะ หรือสิ่งที่เราหลงใหลอยู่นี้คือความเจ็บป่วยทางใจไม่ใช่รสนิยม?
แต่สบายใจในเรื่องนี้ได้เลย เพราะเจสสิก้า ลีห์ โอไรลีย์ (Jessica Leigh O’Reilly) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและให้คำปรึกษาด้านเซ็กซ์ กล่าวว่า เฟติชเป็นเหมือนเฉดหนึ่งของรสนิยมบนเตียง ไม่ต่างอะไรกับความหลากในรสชาติอาหาร ซึ่งสอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญในแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่ระบุว่า สิ่งนี้ไม่อาจนับเป็นความเจ็บป่วยทางใจได้ แม้มันอาจจะมีที่มาจากประสบการณ์เลวร้ายในอดีตสำหรับบางกรณีก็ตาม
แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้เหมือนกันหมด แต่ก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งที่ผิดแผกไปเช่นกัน รสนิยมนี้ยังคงมีพื้นที่อยู่บนเฉดของเซ็กซ์ได้ไม่ต่างกับรสนิยมอื่นๆ
เราสามารถให้จินตนาการเติมเต็มความต้องการได้อย่างเคย รวมความกล้าเอ่ยปากขอถึงความปรารถนาในสักครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเปิดกว้างและยินยอมพร้อมใจ เฟติชที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้อาจกลายเป็นประตูบานใหม่ไปสู่เซ็กซ์อีกขั้นก็ได้ ซึ่งจะไม่เป็นปัญหาเลย หากเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้าหากเฟติชนี้เริ่มกัดกินชีวิตประจำวัน เกิดความต้องการที่มากล้นจนไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างเคย หรือเกิดความรู้สึกต้องการจะละเมิดผู้อื่นในชีวิตจริง (ไม่ใช่แค่แฟนตาซีในใจ) นี่อาจเป็นสัญญาณถึงความผิดปกติที่ควรพบผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปรึกษาและรับคำแนะนำ
จับมือสู่ประตูบานใหม่
หากเราเองมีเฟติชส่วนตัว ไม่ว่าระดับความเขินอายที่เอ่ยออกไป จะเป็นเพียงสิ่งเริ่มต้นอย่าง ชุดลูกไม้ ชุดเครื่องแบบ หรือฮาร์ดคอร์เต็มข้อ อย่างเท้า ฉี่ ความยากของเรื่องนี้อยู่ที่ก้าวแรกเสมอ เมื่อเราเจอคนที่เราอยากจะพาเขาไปลิ้มลองรสชาตินี้ด้วยกัน ดังนั้น ก่อนจะให้อีกฝ่ายยอมรับได้ เราเองต้องมองเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ไม่ต้องรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องน่าอาย ต้องปกปิด เพราะมันเหมือนรสชาติในอาหารที่ต่างคนต่างมีรสเป็นของตัวเอง
ต่อมาเป็นเรื่องของความยินยอมพร้อมใจ เป็นดั่งหัวใจหลักของการมีเซ็กซ์ อีกฝ่ายควรได้รู้ว่าหากเปิดประตูเฟติชไปจะต้องเจอกับอะไรบ้าง กิจกรรมไหนที่เราอยากเริ่มอยากลอง หากผ่านด่านนี้ไปได้จะมีด่านที่ยากขึ้นอีกไหม เราต้องให้อีกฝ่ายได้รับรู้ข้อมูลที่เขาควรรู้มากที่สุดสำหรับประกอบการตัดสินใจ
ค่อยๆ ไล่ระดับจากสิ่งเข้าใจง่าย นึกถึงตอนเราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มักต้องใช้เวลาไต่ระดับขึ้นไปเสมอ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาสู่โลกรสนิยมของเราแล้ว เราเองก็อย่าลืมที่จะตอบสนองรสนิยมของอีกฝ่ายในแบบเดียวกับที่เขาเต็มใจเข้าสู่โลกของเราด้วยเช่นกัน และเราเองก็อาจต้องเผื่อใจไว้สำหรับการถูกปฏิเสธเช่นกัน และทำใจเหมือนเดิมว่า นี่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเช่นกันที่เขาจะไม่อยากทำ
จักรวาลความเสวมันช่างกว้างใหญ่ เมื่อเซ็กซ์คือจุดเชื่อมความปรารถนาเข้าไว้ด้วยกัน เราอาจใช้โอกาสนี้สำรวจความชอบ ความหลงใหลของอีกฝ่าย ชิมรสรักต่างๆ ที่เราไม่เคยได้ลอง เปิดประตูไปทักทายโลกที่เราไม่เคยสัมผัส เราอาจจะได้เจอรสโปรดรสใหม่ให้กับตัวเองก็ได้
อ้างอิงจาก