คุยกันอยู่ดีๆ ก็ต้องมีขัดคอ คุยกันจอยๆ ก็ต้องโผล่มาขัดขาให้คนอื่นเสียหน้าเล่น บรรยากาศในวงสนทนาจากเฮฮาก็ต้องกร่อยกันไป เพราะใครคนนั้นโผล่มาทีไร มีเรื่องให้หงุดหงิดในใจอยู่เสมอ จะเบรกก็ไม่ได้ จะสลายตัวแยกวงก็ประเจิดประเจ้อเกินไป ถ้าต้องเจอคนแบบนี้ทุกวัน เราจะรับมือยังไงกับคนที่ชอบทำลายความสุขคนอื่นดีนะ
ในทุกกลุ่มเพื่อน วงสนทนา แต่ละคนมักจะมีคาแรคเตอร์ประจำตัวต่างกันไป คนเปิดประเด็น คนเก็บความลับเก่ง คนเก็บความลับไม่อยู่ คนส่งมุก คนมีสาระ คนตลกหน้าตาย มาประกอบกันจนเป็นวงสนทนาอันลื่นไหลที่นั่งคุยเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ แต่ช้าก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นทุกครั้งมันจะสนุกอะไร ฟ้าเลยส่งตัวละครลับมาขัดขาคนพวกนี้หน่อย โดยตัวละครนั้นมีชื่อว่า ‘Party Pooper’
Party Pooper ถ้าอ้างอิงความหมายตาม Cambridge Dictionary จะมีความหมายว่า คนที่ทำลายความเพลิดเพลินของผู้อื่น และมีคำที่ความหมายใกล้เคียงกันอย่าง Killjoy และ Wet Blanket ด้วย
โดย Party Pooper จะแบ่งเป็นสองแบบหลักๆ แบบแรกคือ คนชอบขัด เห็นใครมีความสุขแล้วมันขัดใจ ก็ต้องขอเข้าไปขัดหน่อย พูดๆ อยู่ก็ขัดคอบ้าง หักหน้าบ้าง หรือชอบพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ที่ตรงนั้นเสียบรรยากาศ เช่น “ไม่จริงนะ ผมเคยไปมาแล้ว ไม่เห็นเป็นอย่างที่พูดเลย” “ใครอะ ใครถาม?” “จริงหรอ ถามมาแล้วหรอ รู้จริงใช่ไหม?” อีกฝ่ายหน้าเจื่อนเป็นไก่ต้มก็ยังไม่รู้ตัว ยังคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดทำให้เสียบรรยากาศ
แบบที่สองคือ คนที่ชอบทำตัวไม่เอ็นจอยกับงานแบบไม่มีเหตุผล ขอดอกจันตัวใหญ่ๆ ไว้ตรงนี้ก่อน เข้าใจได้ว่าบางคนอาจไม่ชอบร่วมกิจกรรม ไม่ชอบเข้าสังคม เลยอาจจะเลือกไม่เข้าร่วมหรือแสดงความไม่เอ็นจอยออกไปบ้าง สิ่งนี้เข้าใจได้ แต่ Party Pooper ที่เรากำลังหมายถึงนั้น จะเป็นคนที่ตั้งใจทำให้ตรงนั้นไม่สนุก ด้วยการไปนั่งหน้าบูดในวง เอาแต่บอกว่าตัวเองโอเค ไม่เป็นอะไร
หากคนที่รู้จัก Read The Room เป็นคนที่อยู่ในวงไหน ใครก็อยากคุยด้วย เพราะเป็นคนคอยอุ้มชูให้ทุกคนสนุกกับทุกบทสนทนา Party Pooper ก็จะเป็นฝั่งตรงข้าม คอยทำลายทุกความสุขที่เกิดขึ้น จนวงสนทนาแทบจะแยกตัวทุกครั้งที่คนนั้นเข้ามา เพราะไม่รู้เลยว่า วันนี้หวยจะออกที่ใคร ใครกันนะจะโชคร้าย โดนขาประจำคนนั้นขัดคอเข้าให้
ซึ่งเราไม่รู้และไม่อาจเดาเลยว่า Party Pooper นั้น รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นไหม? ที่ทำไปเขาตั้งใจหรือเปล่า? หากเขาเป็นเพียงคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน คนที่อาจไม่ได้เจอกันอีก เราก็อาจจะพอมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้ แต่ถ้าเขาคนนั้นเป็นคนรู้จัก เป็นคนที่ต้องเจอกันไปอีกนาน เราคงไม่อาจปล่อยให้เขาเป็นแบบนี้ไปตลอดได้ อย่างน้อย ก็เพื่อตัวเราเองที่ไม่ต้องมาอารมณ์บ่จอยกับตัวต้นเรื่องนี้ทุกครั้งที่เห็นเขาเดินเข้ามาในวง อย่างมากก็หวังว่าเขาจะรู้ตัวและเลิกทำแบบนี้เพื่อเห็นแก่บรรยากาศส่วนรวมดูบ้าง
แล้วจะรับมือยังไงกับคนชอบทำลายความสุขคนอื่นได้บ้าง?
ทวนสิ่งที่เขาพูดอีกครั้ง
เปิดประเด็นมาก็พูดจาไม่น่าฟังซะแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า บางครั้งคนแบบนี้คิดว่าคำพูดของตัวเองนั้นตลก เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ไม่มีใครถือสาอะไร ถ้าเราเห็นแล้วว่าในวงเริ่มไม่โอเค เราอาจจะต้องสะกิดให้เขารู้ตัว ด้วยคำพูดของเขาเอง ลองทวนสิ่งที่เขาพูดกลับไปตรงๆ “คิดว่าที่พูดไปไม่จริงหรอ? ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” “อ๋อ ใครถามน่ะหรอ ไม่มีหรอก อยากเล่าเอง” “ปกติเป็นคนชอบถามซ้ำๆ แบบนี้หรอ เห็นถามแบบนี้หลายครั้งแล้ว”
วิธีนี้จะบอกว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่งก็ได้ เพราะถ้าหากเราตอบกลับไปด้วยความโมโห มันจะกลายเป็น เราไปหาเรื่องเขาที่เล่นมุกแค่เล็กน้อยก็ได้ ทีนี้กลายเป็นกลับตาลปัตรไปหมด เราเลยต้องเอาสิ่งที่เขาพูดนั่นแหละ ย้อนกลับไปทิ่มแทงเขาเอง ให้เขารู้ว่าพอโดนคำพูดในแบบที่ตัวเองพูดอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วมันเจื่อนขนาดไหน
หลังไมค์ด้วยความเป็นห่วง
เห็นนั่งหน้าหงิกอยู่นาน ถามแล้วก็ไม่ได้คำตอบแต่อย่างใด อาจเพราะต่อหน้าคนอื่นอาจจะยังไม่กล้าพูดอะไร ลองถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงแบบส่วนตัว ว่าเขาโอเคหรือเปล่า บอกให้เขารู้ตัวว่าเขากำลังเป็นแบบไหน ดูกังวล ดูเครียด ดูอยากลุกไปจากตรงนี้ มีจุดไหนที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี
อย่างแรก เพื่อให้เราเข้าใจเขาจริงๆ ว่า มีความไม่สะดวกใจอะไรเกิดขึ้นกับเขา เราจะได้พาเขากลับเข้าไปในวงสนทนาอีกครั้งอย่างสบายใจ อีกอย่างก็เพื่อสะกิดเตือนให้เขารู้ตัวว่า ตอนนี้เขากำลังแสดงออกแบบไหน แล้วคนอื่นรู้สึกยังไงแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
รำคาญยังไงก็ต้องปล่อยไว้แค่ตรงนั้น
หากตัวต้นเรื่องรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดไปไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรนัก เราเองก็อาจจะต้องทำแบบนั้นได้บ้าง สำหรับบางครั้งที่มันไม่ได้ส่งผลเสียอะไรมากมาย แค่สร้างความรำคาญใจเล็กน้อย เราก็ต้องเดินหน้าต่อด้วยการเปลี่ยนเรื่อง ตีมึนไม่ตอบโต้ไป เพื่อรักษาบรรยากาศส่วนรวม ไม่ก่อชนวนชวนทะเลาะ หรือเก็บเอามาหงุดหงิดซ้ำๆ ในภายหลัง เอาไว้เป็นเรื่องที่เหลืออดแล้วจริงๆ ค่อยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดก็ยังไม่สาย
เราก็ไม่อาจควบคุมหรือชี้บอกให้ใครทำหรือไม่ทำอะไรได้ 100% เราบอกเล่า สะกิดเตือนเท่าที่ทำได้เท่านั้น ถ้าเขาคนนั้น เป็นคนที่ไม่สามารถเข้ากันกับวงสนทนา หรือเอาแต่สร้างบรรยากาศกร่อยๆ สุดท้ายแล้ววงโคจรของเรากับเขาก็จะค่อยๆ ห่างกันไปเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร
อ้างอิงจาก