หลังจากเก็บเงินมานาน พอมาเที่ยวทั้งทีก็อยากไปหลายๆ ที่ให้คุ้มกับการมาถึงสักหน่อย แลนด์มาร์กไหนเขาบอกว่าห้ามพลาด ก็อยากเก็บให้ครบ แต่หันมาอีกทีเพื่อนผู้ร่วมทริปก็โบกมือบ๊ายบายตั้งแต่จุดแรก แถมส่งสายตาขอเดินเล่นชิลๆ แถวที่พักดีกว่า ไอ้เราก็คิดว่าทริปนี้จะมีเพื่อนไปไหนมาไหนด้วยกันให้อุ่นใจ ดันกลายเป็นว่าต้องเที่ยวคนเดียวเหงาๆ แทน
เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าแต่ละคนก็มีความชอบเป็นของตัวเอง เรื่องแบบนี้ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ถึงเรากับเพื่อนจะมีเรื่องที่ชอบไม่เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ปกติก็ไปแฮงก์เอาท์ด้วยกันบ่อยๆ แถมยังคอยปรึกษาเรื่องหนักใจในชีวิตเป็นประจำ แต่พอต้องไปเที่ยวด้วยกันหลายๆ วันกลับมีเรื่องให้ขัดใจกันตลอดทริป จนทำให้การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่สนุกเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก
หลังกลับจากทริปวันหยุดยาว ทำไมเราถึงไม่รู้สึกว่าเราเข้ากันกับเพื่อนได้เหมือนที่ผ่านมา แทนที่เราจะสนิทกันมากขึ้น สาเหตุอะไรทำให้การไปเที่ยวของเรากับเพื่อนต้องผิดใจกันมากกว่าเดิม แล้วถ้าอยากให้ความสัมพันธ์นี้ยังคงอยู่จะมีวิธีไหนบ้าง ที่ทำให้เราและเพื่อนยังสนิทใจเหมือนก่อน?
ทำไมการเดินทางจึงส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเรา
แม้ว่าก่อนหน้านี้นิสัยที่แตกต่างกันของเรากับเพื่อนจะไม่เคยเป็นปัญหา แถมความต่างนี้ยังช่วยซัปพอร์ตเราด้วย เช่นเพื่อนที่เป็นคนใจเย็นจะช่วยให้เราไม่ใจร้อนจนเกินไป หรือเพื่อนที่คอยบอกให้เราเอ็นจอยกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เพราะเรามักเป็นคนมุ่งไปที่เป้าหมายอย่างเดียว ทว่าพอเป็นเรื่องของการเดินทางที่ต้องวางแผนหลายๆ วัน บางครั้งกลับไม่ได้มีแค่เรื่องน่าสนุกหรือน่าตื่นเต้นอย่างเดียว แต่กลับมีมุมน่าปวดหัวแฝงมาด้วย
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ไม่ว่าเราจะเป็นไปเที่ยวที่ไหน จะเดินทางยังไง เวลาไหนดี งบเท่าไหร่ที่เราและเพื่อนจะพอใจ สิ่งเหล่านี้ต้องใช้การคิดให้รอบด้าน จึงไม่แปลกเลยที่เรากับเพื่อนอาจมีเรื่องให้ไม่ลงรอยกัน แม้ว่าจะเคยเข้ากันได้ดีแค่ไหนก็ตาม
บิลลี ดันเลวี (Billie Dunlevy) นักบำบัดจากบริษัทให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต Counselling Directory อธิบายว่า หลายครั้งที่เรากับเพื่อนต้องมีปัญหากันในระหว่างทริป เป็นเพราะการผสมรวมกันของความไม่แน่นอน ทั้งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน
บิลลีอธิบายต่อว่า แม้ว่าเราจะวางแผนมาดีแค่ไหน แต่เหตุไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะการเดินทางในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เราอาจทำกระเป๋าเงินหาย ตกรถ หรือหลงทาง ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ทำให้เราเกิดความเครียดได้ เพราะตามปกติแล้วเราก็มักใช้เวลาส่วนใหญ่กับเพื่อนในที่ที่เราคุ้นเคยหรือสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงเรียน หรือที่ทำงาน พอถึงเวลาก็แยกย้าย และไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเกือบ 24 ชั่วโมงเหมือนช่วงที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ก็อาจทำให้เราได้เห็นบางมุมที่ไม่เคยรู้กันมาก่อน นิสัยที่ไม่เคยเห็นตอนเจอความกดดัน รวมไปถึงเรื่องเล็กๆ อย่างคนหนึ่งชอบนอนเปิดไฟ หรืออีกคนชอบนอนปิดไฟ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้
ความเครียดและความวิตกกังวลเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดทริป แม้ว่าบางคนอาจต้องการเดินทาง เพื่อพักผ่อนจากการทำงานหนักก็ตาม โดยงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Tourism Review ปี 2012 ศึกษาเกี่ยวกับความเครียดจากการท่องเที่ยว พบว่า ช่วงที่ผู้เข้าร่วมทดลองเครียดที่สุด คือช่วงเวลาของการวางแผนการเดินทาง และระดับความเครียดจะเพิ่มขึ้นเมื่อเดินทางกับผู้อื่น โดยเฉพาะคู่รักหรือครอบครัว
นอกจากนี้ ความคาดหวังที่ไม่ตรงกันยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เรามีปัญหากับเพื่อนร่วมทริปได้ เช่น เราเป็นสายเดินธรรมชาติ อยากไปที่เงียบสงบ ขณะที่เพื่อนของเราอาจชอบการเดินเล่นในเมือง ชอบการได้เห็นความคึกคักของผู้คน ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ไม่อินกับสไตล์การเที่ยวของอีกฝ่าย ก็อาจรู้สึกว่าทริปนี้ไม่สนุกอย่างที่คิด ยิ่งพอเป็นเรื่องท่องเที่ยวที่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องแล้ว ไม่ว่าใครก็คงอยากใช้เวลานี้อย่างคุ้มค่า ในเมื่อเสียเงินมาแล้วนี่นา ยังไงก็อยากไปที่ที่ตัวเองชอบ หรือได้กินอะไรที่ตัวเองอยากลอง แต่ด้วยงบหรือระยะเวลาที่มีจำกัด สุดท้ายก็อาจกลายเป็นว่าต้องมีใครบางคนยอมเสียสละ จนอาจเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองในใจขึ้นมา หรือบางครั้งก็รุนแรงถึงขั้นจบความสัมพันธ์หลังจากทริปท่องเที่ยว หรือไม่สนิทใจที่จะไปไหนมาไหนกับเพื่อนซี้ของเราอีกแล้ว
เลี่ยงได้ไหมถ้าไม่อยากให้ทริปนี้ต้องผิดใจกัน
แม้หลายครั้งทริปที่เกิดขึ้นอาจไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่จะให้เราเลิกเดินทางไปเลยก็คงเป็นเรื่องยาก หรือจะให้ตัดใจแล้วออกเดินทางคนเดียว เราก็อาจยังไม่มั่นใจขนาดนั้น บางครั้งการเดินทางกับเพื่อนก็เลยยังเป็นสิ่งที่ช่วยชุบชูใจในวันที่เหนื่อยล้า และช่วยบูสต์ๆ เอนเนอจี้ให้เรามีแรงกลับไปทำงานอีกครั้ง
แต่ช้าก่อน อันที่จริงการไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ได้มีแค่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนะ เพราะข้อดีของการไปเที่ยวกับเพื่อนเองก็มีอีกมาก เรื่องนี้วิกกี้ ชาร์ลส์ (Vicky Charles) นักจิตวิทยาคลินิก อธิบายว่า การใช้เวลาร่วมกับเพื่อนๆ ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ได้อยู่ในกิจวัตรประจำวันอย่างการออกไปเที่ยว เพราะสถานการณ์ต่างๆ สามารถช่วยให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับเพื่อนมากขึ้น เช่น เราอาจรู้สึกผ่อนคลายที่จะพูดคุยอย่างเปิดใจ ได้เห็นว่าเราและเพื่อนพร้อมจะยอมเจอกันคนละครึ่งทาง พวกเราช่วยซัปพอร์ตในช่วงคับขัน หรือได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะช่วยให้เราและเพื่อนมีความเชื่อใจกันมากขึ้น เพราะเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แข็งแรง
รู้แบบนี้แล้ว ถ้าอยากให้ทริปของเรากับเพื่อนสามารถกระชับมิตรกันได้จริงๆ ไม่กร่อยหรือมีความรู้สึกไม่ดีติดค้างอยู่ในใจ ก็อาจลองทำตามมาริอานา บอคาโรวา (Mariana Bockarova) อาจารย์ด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ที่ได้แนะนำวิธีรับมือเมื่อต้องไปเที่ยวกับเพื่อนไว้ ดังนี้
- ประเมินว่าเพื่อนของเราเหมาะจะเป็นคู่หูเดินทางหรือเปล่า – ถ้าเราเป็นคนสบายๆ แต่เพื่อนเป็นสายวางแผนเป๊ะๆ หรือถ้าเราเป็นคนตื่นเช้า แต่เพื่อนชอบเที่ยวกลางคืน ก็อาจต้องพิจารณาว่าไปเที่ยวด้วยกันจะราบรื่นหรือเปล่า อาจลองดูจากนิสัยที่เพื่อนใช้รับมือกับปัญหาเป็นประจำ แล้วลองประเมินดูว่า ถ้าต้องไปเที่ยวด้วยกันเราจะเตรียมรับมือได้มั้ย แต่ถ้ารู้สึกว่าเพื่อนคนนี้อาจทำให้การเดินทางของเราไม่สนุกอย่างที่คิด ก็อาจรอโอกาสที่เหมาะมากกว่านี้ก็ได้
- กำหนดขอบเขตก่อนเดินทาง – ไม่ว่าใครต่างก็มีขีดจำกัดต่างกัน เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่พอใจทีหลังได้ ถ้าเรามีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย หรือมีจุดหมายปลายทางที่ขาดไม่ได้ อย่างพิพิธภัณฑ์ชื่อดังที่ไม่อยากพลาด ก็ควรแจ้งให้เพื่อนรู้ล่วงหน้า แล้วพูดคุยให้เข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายก่อนเริ่มเดินทาง
- ถอยห่างหากสถานการณ์ที่เริ่มตึงเครียด – “ทำไมไม่ตื่นให้เช้ากว่านี้ล่ะ” หรือ “ไปที่นั่นทำไม ไม่เห็นน่าสนใจเลย” ถ้าระหว่างทริปเริ่มมีปากมีเสียงกัน ทริปนี้อาจกำลังจะหมดสนุกอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แม้ปกติเราและเพื่อนจะชอบเถียงให้ได้คำตอบสุดท้ายมากแค่ไหน แต่ในระหว่างเดินทาง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ให้เราเว้นระยะไว้ชั่วคราวก่อน เช่น ขอเวลา 20 นาที แล้วออกไปเดินเล่นให้ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ เพื่อลดความตึงเครียดลงก่อนพูดคุยกันอีกครั้ง
- รับมือกับความขัดแย้งอย่างเหมาะสม – เวลาเกิดความเห็นไม่ตรงกันโดยเฉพาะกับเพื่อน เราอาจรู้สึกอยากเอาชนะ จนพูดหรือทำอะไรที่อาจเสียใจทีหลังได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองใช้วิธีรับมือกับความไม่พอใจ ด้วย ‘EVLN Model’ ประกอบด้วย Exit หรือการเลี่ยงปัญหา, Voice การพูดคุยอย่างสร้างสรรค์, Loyalty การอดทนเพื่อหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเอง และ Neglect การเพิกเฉย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การพูดคุยอย่างสร้างสรรค์คือวิธีที่ดีที่สุด โดยเราควรพูดคุยอย่างมีเหตุผล และไม่ใช้คำพูดรุนแรงกับอีกฝ่าย
- หาทางประนีประนอม – ถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันอาจต้องหาวิธีที่ทุกฝ่ายพอใจ ไม่เลือกสิ่งที่เราต้องการอย่างเดียว หรือตามใจอีกฝ่ายจนเราไม่ได้ทำสิ่งที่ชอบ เช่น ถ้าเราอยากช้อปปิ้ง แต่เพื่อนอยากไปทำกิจกรรมผจญภัย ก็ควรเลือกจุดหมายปลายทางที่ให้ทั้งคู่ได้ทำสิ่งต้องการ อย่างเมืองที่มีครบทั้ง 2 อย่าง เพราะการรับฟังความต้องการของอีกฝ่าย จะทำให้ทริปนี้กลายเป็นความทรงจำที่ดีกับเราด้วย
- แบ่งเวลาสำหรับกิจกรรมเดี่ยว – ไม่เป็นไรเลยหากเรากับเพื่อนจะแยกกันในทริปนี้ การจัดตารางให้มีเวลาส่วนตัวสัก 1-2 ชั่วโมง จะทำให้เราและอีกฝ่ายได้ใช้เวลาแบบที่ตัวเองชอบ เช่น ช่วงที่เราอยากใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์ เพื่อนที่ไม่อินก็อาจออกไปเดินเล่นในที่ที่เขาสนใจได้
สุดท้ายนี้ แม้การเดินทางอาจทำให้พบว่าเรากับเพื่อนมีสไตล์การท่องเที่ยวไม่เหมือนกันเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามิตรภาพระหว่างเรากับเพื่อนจะต้องจบลงนี่นา เพราะเพื่อนคนนี้ก็มีด้านอื่นๆ ในชีวิตที่คอยช่วยซัปพอร์ตเรามาตลอด ซึ่งก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย
อ้างอิงจาก