ตัวเต็ง หรือ ตัวรอง ทีมไหนที่เราจะเลือกเชียร์
ทุกครั้งที่มีการแข่งขัน ย่อมต้องมีทั้งฝ่ายที่ได้เปรียบและฝ่ายที่เสียเปรียบ ทีมหนึ่งอาจเหนือกว่าทั้งด้านพละกำลังและกลยุทธ์ ขณะที่อีกฝ่ายดูด้อยกว่าแทบทุกทาง แต่ทุกครั้งเมื่อเห็นทีมที่เป็นรองกำลังต่อสู้อย่างเต็มที่ เรากลับอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเชียร์ เอาใจช่วยให้พวกเขาพลิกเกมคว้าชัยให้ได้
ทั้งๆ ที่การอยู่ข้างทีมที่ (มีโอกาส) ชนะ จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจมากกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ร่วมฉลองความสำเร็จไปกับพวกเขา แต่หลายครั้งกลับไม่เป็นอย่างนั้น เราเลือกปักธงเชียร์ทีมที่มีโอกาสชนะเพียงริบหรี่ เพราะอยากเอาใจช่วย แม้ผลลัพธ์อาจลงเอยด้วยผิดหวังก็ตาม
แล้วทำไมเราถึงชอบเอาใจช่วยฝั่งที่เป็นมวยรองกันนะ วันนี้เราชวนไปรู้จักปรากฏการณ์ Underdog Effect ให้มากขึ้นกัน

เมื่อความเป็นรองทำให้คนเห็นอกเห็นใจ
เมื่อเป็นเรื่องของการแข่งขัน คงไม่มีใครปรารถนาจะเป็นผู้แพ้ เพราะรางวัลอันยิ่งใหญ่มักตกเป็นของผู้ชนะเสียมากกว่า แต่ถึงมนุษย์จะกระหายชัยชนะแค่ไหน อีกด้านหนึ่งเราก็อาจมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจฝ่ายที่เสียเปรียบได้ด้วยเช่นกัน อย่างเรื่องราวที่เรามักเคยเห็นกันบ่อยๆ เช่น นักกีฬาที่เป็นรอง ทีมฟุตบอลที่ไม่ได้มีชื่อเสียง หรือคนตัวเล็กที่ต่อสู้กับระบบใหญ่ แต่ละเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่ทำให้เรารู้สึกอยากเอาใจช่วยทุกครั้ง
ความรู้สึกอยากเอาใจช่วยมวยรองไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีการศึกษาที่อธิบายความรู้สึกดังกล่าวเมื่อปี 2007 โดยโจเซฟ แวนเดลโล (Joseph Vandello) และทีมวิจัย จากมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา เคยศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ Underdog Effect เพื่อพิสูจน์ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจริง
ในงานนี้ ทีมวิจัยสอบถามความเห็นจากนักศึกษาชาวอเมริกันต่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2004 ว่าอยากให้ทีมไหนชนะมากที่สุด ปรากฏว่าราว 75% พวกเขาอยากให้ทีมที่ได้เคยรับเหรียญรางวัลน้อยกว่าชนะมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการทดลองอีก 3 ครั้งเพื่อลดอคติ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยส่วนใหญ่ยังคงเลือกทีมที่เสียเปรียบมากกว่า
จากการทดลองนี้ทีมวิจัยก็ได้สรุปไว้ว่าคนส่วนใหญ่มักเห็นใจและชื่นชอบมวยรองมากกว่า เพราะความเสียเปรียบช่วยดึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ออกมาได้ดีขึ้น คนเรามักเห็นความพยายามของทีมรอง ขณะเดียวกันทีมที่เสียเปรียบยังมักถูกมองว่าอ่อนแอหรือไม่ได้รับความยุติธรรม การเชียร์ทีมรองจึงเปรียบเสมือนว่าเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทวงความยุติธรรมให้กลับคืนมาด้วย

แม้จะฟังดูดี อันที่จริงแนวคิดเรื่องความยุติธรรมและความเท่าเทียมไม่ได้ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด หากแต่เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ภายหลัง ฟรองซัวร์ เกสเก (François Quesque) นักวิจัยจากศูนย์วิจัยประสาทวิทยาลียงในประเทศฝรั่งเศส อธิบายว่าปกติเด็กเล็กมักอยู่ข้างคนแข็งแกร่งมากกว่า เพื่อปกป้องตัวเอง แต่เมื่อโตขึ้น เราจะค่อยๆ เรียนรู้ถึงความไม่ยุติธรรม และเห็นอกเห็นใจคนไร้อำนาจมากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับคนที่มวยรองได้มากกว่าทีมที่แข็งแกร่งนั่นเอง
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวรอง ไม่ได้เป็นเพราะความอยุติธรรมเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องราวของผู้แพ้ที่สามารถล้มยักษ์ได้ยังเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ซึ่งเราสามารถพบเห็นได้ในเกือบทุกสังคมและยุคสมัย โรเบิร์ต ลันท์ (Robert Lount) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต ชี้ว่าเรื่องราวเหล่านี้มักเป็นเครื่องเตือนใจว่าหากเราพยายามทุกอย่างก็เป็นไปได้ และใครๆ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ แม้โลกจะไม่เข้าข้างก็ตาม
ในสังคมอเมริกา การเชียร์ทีมรอง ยังตรงกับค่านิยมแบบอเมริกันดรีมด้วย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความพยายามไต่เต้าขึ้นไปสู่ความสำเร็จทั้งในทางเศรษฐกิจหรือสถานะทางสังคม หรือแม้แต่สังคมไทย ที่มักพบเห็นเรื่องความไม่ยุติธรรมในสังคมอยู่บ่อยๆ การได้เห็นคนที่ด้อยกว่าสามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งได้ ก็ส่วนช่วยจุดประกายความหวังและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา
แล้วเรื่องราวของเหล่ามวยรอง และไก่รองบ่อน สามารถเอาชนะตัวเต็งได้ จึงเกิดขึ้นในสังคมเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจเราไม่น้อย

เมื่อเรื่องเล่าไม่ได้มีด้านเดียวเสมอไป
แม้เรื่องราวของมวยรองจะช่วยให้สร้างกำลังใจให้ใครหลายคน แถมยังเป็นหลักฐานหนึ่งที่สะท้อนความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ Underdog Effect ก็ไม่ได้มีแค่ด้านดีเพียงอย่างเดียว แต่ก็ยังมีข้อควรระวังที่เราควรต้องรู้ไว้ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในวังวนของเรื่องเล่าเหล่านี้
การใช้ Underdog Effect เพื่อสร้างเรื่องเล่าให้ตัวเอง ด้านหนึ่งอาจนำไปสู่การบิดเบือนเรื่องราวได้ มีการศึกษาเมื่อปี 2020 เกี่ยวกับผลกระทบเมื่อแบรนด์ใช้กลยุทธ์แบบเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พบว่าแบรนด์ที่ตั้งใจวางตำแหน่งของตัวเองในฐานะฝ่ายเสียเปรียบเพื่อสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง แม้จะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้บริโภค แต่แบรนด์เหล่านี้มักตกถูกจับตามองและถูกตัดสินรุนแรงกว่าแบรนด์ทั่วไปเมื่อทำผิด เนื่องจากลูกค้าอาจรู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังถูกหักหลังจากแบรนด์เหล่านี้
สอดคล้องกับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา เมื่อปี 2007 พบว่าคนมักคาดหวังกับมวยรองมากเกินความเป็นจริง เมื่อเราสนับสนุนฝ่ายเสียเปรียบมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากให้พวกเขาสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น จนทำให้เราหลงลืมสถานการณ์จริงไป เช่น จุดแข็งของคู่แข่ง หรือจุดอ่อนของทีมตัวเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด และอาจนำความพ่ายแพ้มาในที่สุด
ท้ายที่สุด ความคาดหวังที่มีต่อทีมที่เสียเปรียบอาจเป็นดาบสองคม แม้ด้านหนึ่งเสียงเชียร์จากผู้คนจะช่วยให้พวกเขามีแรงฮึดสู้ แต่บางครั้งก็อาจทำให้พวกเขารู้สึกกดดันจากความคาดหวังของกองเชียร์ได้เช่นกัน เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทีมรองมีโอกาสที่จะพบกับความล้มเหลวได้มากกว่า หากสุดท้ายทีมเหล่านี้ไม่สามารถจัดการกับความคาดหวังที่มากเกินไปได้ ความล้มเหลวก็อาจเกิดเป็นบาดแผลในใจ จนไม่สามารถพัฒนาตัวเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานนะมวยรองได้อีกต่อไป
แม้ Underdog Effect จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ก็จริง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าการแข่งขันมีแพ้ชนะได้เสมอ แม้สุดท้ายเราอาจจะผิดหวังจากการเชียร์ทีมเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยความพ่ายแพ้นี้จะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้และเติบโตต่อไปนะ
อ้างอิงจาก