คนไทยคุ้นเคยกันดีกับคำว่า ‘ภูมิแพ้’ โดยเฉพาะกับภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งมาพร้อมกับ 4 อาการหลัก ได้แก่ คันจมูก จาม น้ำมูกใส และคัดจมูก
หลายครั้งที่คนไข้สับสนระหว่างอาการของภูมิแพ้กับอาการทางระบบหายใจอื่นๆ เช่นอาการคัดจมูกจากการติดเชื้อโรคหวัด โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ฝุ่นละอองสะสมภายในห้อง หรือแม้แต่ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ทำให้ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เกือบครึ่งไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งโรคนี้เป็นโรคใกล้ตัวทุกคน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้
เพราะโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นโรคใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เราจึงชวนคุณมาคุยกับ อ.นพ.บุญสาม รุ่งภูวภัทร ประธานฝ่ายวิชาการสมาคมแพทย์โรคจมูก (ไทย) และรองหัวหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น พร้อมกับการวินิจฉัย รักษา เพื่อให้สามารถดูแลร่างกาย และดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นและมีความสุขในทุกวัน
นิยามของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และสาเหตุ
อ.นพ.บุญสาม : โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เกิดจากคนไปเจอกับสารก่อภูมิแพ้ในทางเดินหายใจ ในปริมาณที่มากพอและช่วงเวลาที่นานพอที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมา หรือกับบางคน การส่งต่อทางพันธุกรรมจากพ่อแม่มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมากขึ้น
ในส่วนกลไกของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เมื่อสิ่งแปลกปลอมหรือสารก่อภูมิแพ้กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันทำงาน ภูมิคุ้มกันจะจำว่าสารเหล่านี้คือสิ่งแปลกปลอม แล้วร่างกายก็จะผลิตเซลล์บางอย่างขึ้นมาเพื่อทำลาย ทำให้เกิดอาการอักเสบหรือบวมในจมูก ทำให้เกิดอาการน้ำมูกใส คันจมูก จาม คัดจมูก เป็น 4 อาการหลักของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บางคนอาจมีอาการคันทางตาร่วมด้วย ซึ่งตรงนี้จะต่างจากคนปกติที่สารเหล่านี้จะสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้เลยโดยไม่เกิดอาการแพ้
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
อ.นพ.บุญสาม : โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะแบ่งออกเป็นกลุ่มที่เป็นน้อย ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนเป็น ก็คือตื่นมาจะมีน้ำมูกใสไหล จาม อยู่สัก 10 นาที ออกจากบ้านก็หายแล้ว ไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
แต่ในส่วนของกลุ่มที่เป็นหนัก จะเป็นกันมานานและรุนแรง อย่างในชาวต่างชาติจะมีช่วงที่เรียกว่า Hay Fever หรืออาการภูมิแพ้จากเกสร หรือละอองดอกไม้ตามฤดูกาล ส่วนในประเทศไทยเราเอง ส่วนใหญ่จะเกิดจากสิ่งที่อยู่ในบ้าน อันดับหนึ่งเลยคือไรฝุ่น เพราะเมืองไทยเป็นประเทศร้อนชื้นที่ไรฝุ่นเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งไรฝุ่นพวกนี้จะอยู่ในที่นอน พรม ผ้าม่าน ตุ๊กตา หรือเฟอร์นิเจอร์ผ้าซึ่งมีคุณสมบัติกักฝุ่น
อาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต บางคนคัดจมูกมากจนนอนไม่ได้ หรือนอนอ้าปากหายใจ จนนอนไม่หลับ ตื่นมาก็ง่วง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันลดลง ถึงขั้นขับรถไม่ไหวแล้วหลับในก็มีตัวอย่างให้เห็น
เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
อ.นพ.บุญสาม : โรคนี้จะเริ่มต้นจากประวัติก่อน อาการทั้ง 4 อย่างที่กล่าวไป ทั้งน้ำมูกใส คันจมูก จาม และคัดจมูก สังเกตตัวเองว่า หากพบตั้งแต่ 2 ใน 4 อย่างขึ้นไป ก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นภูมิแพ้ ร่วมกันกับการตรวจภายในช่องจมูก เพื่อดูลักษณะเยื่อบุโพรงจมูกที่บวม ก็จัดว่าเข้าเกณฑ์ได้
จากนั้นก็ไปสู่การทดสอบทางการแพทย์ 3 อย่าง ตามลำดับ
(1) การทดสอบทางผิวหนัง จะนิยมใช้ทดสอบโรคภูมิแพ้ทางทางเดินหายใจและทางอาหาร ด้วยการนำสารก่อภูมิแพ้มาสะกิดกับผิวหนัง ข้อดีจึงเป็นเรื่องของการทดสอบได้ทั้งกับสารในอากาศที่คิดว่าเป็นสารก่อภูมิแพ้ และทดสอบทางอาหารได้ด้วย อีกทั้งราคาไม่แพง รู้ผลภายใน 15 นาที แต่ก็มีข้อเสียที่คนไข้ที่มาทดสอบอาจต้องหยุดยาแก้แพ้ก่อนอย่างน้อย 7-10 วัน บางคนที่เป็นเยอะมาก หยุดยาไม่ได้เลย ก็จะทำการทดสอบทางนี้ไม่ได้
(2) การทดสอบทางเลือด มีข้อดีตรงที่ให้ความแม่นยำสูง เพราะผลแล็บเป็นมาตรฐานระดับโลก ซึ่งต่างจากทางผิวหนังตรงที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการแปลผล แต่ข้อเสียจะอยู่ที่ราคาสูง และต้องรอผลหลายวัน
(3) การทดสอบใส่สารภูมิแพ้เข้าไปในจมูก แล้ววัดแรงต้านทานภายในจมูก การตรวจแบบนี้จะรู้ผลเร็ว แต่ว่าต้องใช้เครื่องมือ จึงเหมาะเป็นการตรวจในแบบท้ายสุดเพื่อยืนยันโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
แนวทางการรักษา และการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
อ.นพ.บุญสาม : ปัจจุบันด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่พัฒนามากขึ้น เราพบว่ามีการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ให้หายขาดได้ด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัด หรือ Immunotherapy ซึ่งมี 2 วิธี คือการอมใต้ลิ้น และการฉีดยาเข้าใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งหัวใจของการรักษาอยู่ที่ต้องทำให้ครบคอร์สอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หายขาด
แต่อย่างไรก็ตาม ยา ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ร่วมกับการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารที่กระตุ้นอาการแพ้ อย่างถ้าเป็นไรฝุ่น ก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยๆ ใช้เครื่องดูดไรฝุ่นกับเฟอร์นิเจอร์ประเภทผ้าหรือผ้าม่านเป็นประจำ ถึงอาการแพ้จะลดลง แต่การใช้ยาก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ดี
ในส่วนยารักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ตัวแรกที่เรารู้จักกันดีคือ Antihistamine หรือยากินแก้แพ้ เหมาะกับคนไข้ที่อาการไม่รุนแรง หรือภูมิแพ้เป็นครั้งคราว อีกตัวที่เป็นพระเอกจริงๆ สำหรับคนไข้ภูมิแพ้ระดับรุนแรง คือยาพ่นจมูก ที่เรียกว่า สเตียรอยด์พ่นจมูก ซึ่งคนไทยหลายคนอาจจะกลัวคำว่าสเตียรอยด์ แต่เพราะยาก็ยังคงมีความสำคัญอยู่ และอยู่ที่การเลือกใช้ให้เหมาะกับอาการที่เป็นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์
ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก เป็นยาสเตียรอยด์ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดในบรรดาสเตียรอยด์ทั้งหมด ที่มีทั้งแบบกิน ฉีดเข้าเส้น ทาผิวหนัง ชนิดสูด และแบบพ่นจมูก เพราะการใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก ไม่ทำให้เกิดเชื้อราในช่องโพรงจมูก และการใช้สเตียรอยด์พ่นจมูกนานๆ ไม่ทำให้เกิดเยื่อบุจมูกบาง จึงมีความปลอดภัยสูงมาก
ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกบางชนิด ถูกรับรองให้ใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป จะเห็นว่ามันปลอดภัยมากนะครับ และสามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี รับรองด้วยงานวิจัยที่ทดสอบในเด็ก ให้เด็กพ่นทุกวันต่อเนื่อง 2 ปี ก็พบว่าไม่มีผลต่อการเติบโต ไม่มีผลต่อเยื่อบุจมูกบาง เพราะฉะนั้นทำให้เรารู้สึกว่าแพทย์เราก็มั่นใจ แล้วก็ให้ความมั่นใจกับคนไข้ที่ใช้ด้วย ว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย
คนที่เป็นภูมิแพ้ จึงควรรักษาตัวด้วยการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับเป็นการปรับพื้นฐานเยื่อบุจมูกให้เหมือนไม่มีการอักเสบเกิดขึ้นเลย ก็จะสามารถใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมได้แบบคนปกติ
คนไข้ที่จำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก
อ.นพ.บุญสาม : ส่วนใหญ่ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกเราจะแนะนำให้ใช้ในกรณีที่คนไข้เป็นภูมิแพ้ทางจมูก ที่มีอาการระดับค่อนข้างรุนแรงนะครับ คำว่า ‘รุนแรง’ แปลว่าอะไร?
ปกติอาการภูมิแพ้ทางจมูก จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีความรุนแรงน้อย และกลุ่มที่มีความรุนแรงปานกลางถึงมาก โดยดูว่าอาการรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ ถ้าอาการรบกวนการทำงาน การเรียน หรือการนอน เราจะถือว่ามีอาการรุนแรงปานกลางถึงมาก นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่งกลุ่มคนไข้ได้โดยใช้ความถี่ของการเกิดอาการด้วย โดยหากผู้ป่วยมีอาการเกิน 4 วันต่อสัปดาห์ และเป็นต่อเนื่องเกิน 4 สัปดาห์ เราจะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก ไม่ว่าอาการจะมีความรุนแรงน้อยหรือมากก็ตาม
ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก อย่างที่บอกว่าใช้ได้อย่างปลอดภัย แต่ที่สำคัญคือ ห้ามใช้เกินขนาดที่กำหนด บางตัวอาจพ่นได้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อวัน หากใช้เกินขนาดอาจจะมีผลข้างเคียง ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกเขามีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด แต่บางคนไปใช้เกินขนาด อาจทำให้เกิดการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้
นอกจากคนไข้ภูมิแพ้ทางจมูกที่อาการรุนแรงแล้ว ยาสเตียรอยด์แบบพ่นยังสามารถใช้กับคนไข้ที่อาจจะอาการน้อย แต่มีโรคประจำตัวเยอะ เราพบว่าสเตียรอยด์พ่นจมูกไม่จำเป็นต้องลดขนาดในคนไข้ที่ไตวาย หรือเป็นโรคตับแข็งนะครับ ตับพังแล้ว ไตวายแล้ว พ่นจมูกได้เหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกว่ายาพวกนี้มันออกฤทธิ์เฉพาะที่ ออกฤทธิ์ในโพรงจมูกเท่านั้นนะครับ ไม่เข้ากระแสเลือด เพราะฉะนั้นก็จะเป็นข้อดีของยากลุ่มนี้
ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกจะสำคัญเรื่องของท่าทางที่พ่น ถ้าเราพ่นยาผิดวิธีอาจจะทำให้เลือดกำเดาออกได้ หรือผลข้างเคียงจากตัวยาเอง ที่อาจทำให้จมูกแห้ง ทำให้เลือดกำเดาออกได้เช่นเดียวกัน ที่เหลือก็เป็นเคสพิเศษที่จำเพาะกับบุคคลมากๆ อย่างเรื่องความดันตาสูงขึ้น ถ้าเคสคนไข้มีโรคต้อหินและต้องใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก เพื่อความปลอดภัยอาจต้องตรวจวัดความดันตาบ่อยหน่อย แค่นั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ใช้ได้ทั้งหมด
เริ่มแรก ก็ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์แนะนำ หลังจากนั้นพออาการดีขึ้น ก็สามารถลดยาลงได้ โดยแพทย์จะแนะนำให้คนไข้ใช้ยาเมื่อมีอาการนะครับ ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกสามารถซื้อได้ในร้านขายยาที่มีเภสัชกรควบคุมได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ายาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก สามารถขายตามร้านขายยาที่มีเภสัชกรดูแล ก็บ่งบอกแล้วว่ามันมีความปลอดภัยระดับหนึ่งนะครับ
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ กับปัจจัยทางทางเดินหายใจอื่นๆ
อ.นพ.บุญสาม : เริ่มจาก PM2.5 หลายตัวไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้ แต่เป็นสารระคายเคืองจากโลหะหนักหรือการเผาไหม้ พวกนี้ไม่เกี่ยวกับอาการแพ้นะครับ ด้วยโมเลกุลขนาดเล็กมากๆ สามารถหลุดเข้าไปในเยื่อบุโพรงจมูก ปอด หรือเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็ง ในขณะที่สารก่อภูมิแพ้ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง เพราะฉะนั้นกลไกของการเกิดโรคต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่บางครั้ง PM2.5 จะกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายภูมิแพ้ได้ แต่ว่าสารไม่เหมือนกัน
ส่วนอาการของโควิด-19 จะมีไข้ การรับกลิ่นหายไป การรับรสเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคนไข้ภูมิแพ้จะไม่มีอาการเหล่านี้ และภูมิแพ้ส่วนใหญ่จะเป็นมานานแล้ว แต่คนไข้โควิดจะเป็นแบบเฉียบพลันใน 2 สัปดาห์ และมีอาการอยู่ 2 สัปดาห์ ถึงปัจจุบันอาการจะไม่ค่อยตรงไปตรงมา แต่เรายังเอาเรื่องกลิ่น รส มาจับได้อยู่ เพราะคนไข้ภูมิแพ้จะไม่สูญเสียเรื่องการรับรส รับกลิ่นนะครับ