ดูโฉมหน้า ‘ครม.อนุทิน’ พบมีทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่ บางคนอยู่มาตั้งแต่สมัย ‘รัฐบาลประยุทธ์ 2’ บางคนกลับมามีตำแหน่งอีกครั้งหลัง ‘รัฐบาลทักษิณ’ ซึ่งอาจถอดความสัมพันธ์การเมืองบ้านใหญ่จาก ‘กลุ่มเนวิน-กลุ่มธรรมนัส’ พร้อมชวนจับตาการทำงาน ‘กลุ่มรัฐมนตรีคนนอก’
หากมองภาพการเมืองไทยยุคใหม่คงไม่พ้นการปักหมุดไปที่ ‘รัฐบาลประยุทธ์ 2’ คือ รัฐบาลนำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับเลือกเป็นนายกฯ ในการเลือกตั้ง 2562 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังเกิดเหตุ ‘รัฐประหาร 2557’ พร้อมกติกาการเลือกนายกฯ สุดประหลาดจาก ‘รัฐธรรมนูญ 2560’
ถัดมาที่รัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้ง 2566 พร้อมนายกฯ ที่ได้ดำรงตำแหน่งเพียงคนละปีเท่านั้น คือ รัฐบาลของอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร ก่อนจะถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญ
ถึงกระนั้น อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกฯ ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อดูรายชื่อแล้วก็ไม่แปลกใจนัก เพราะเป็นไปตามโผที่เห็นตามหน้าสื่อก่อนหน้านี้
โดยมีตั้งแต่ ‘คนหน้าเก่า’ ที่ต่างเคยมีผลงานการเมืองให้เห็นบ้างแล้ว และ ‘คนหน้าใหม่’ ที่อาจเคยมีบทบาททางการเมืองมาบ้างแต่ไม่เคยนั่งเก้าอี้อย่างจริงจัง แต่กลุ่มที่สร้างความตื่นตาให้ประชาชนมากที่สุด คือ ‘รัฐมนตรีคนนอก’ ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยถูกมองว่าเป็นการดึงตัวเข้ามาเพื่อมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
แล้วรัฐมนตรี ‘หน้าเก่า-หน้าใหม่-คนนอก’ เหล่านี้เป็นใคร? เคยทำอะไรมาบ้าง? The MATTER ได้รวบรวมมาให้ทุกคนได้อ่านแล้วในบทความนี้
รัฐมนตรีใหม่ ‘หน้าเก่า’ พบบางคนอยู่มาตั้งแต่สมัย ‘ประยุทธ์’
หากพิจารณาผลงานที่ผ่านมาของรัฐมนตรีชุดนี้ พบว่า เกือบครึ่งเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีมาก่อน คือ 16 คน โดยส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก เพราะรัฐมนตรีเหล่านั้นสังกัด ‘พรรคภูมิใจไทย’ ซึ่งเป็นพรรคร่วมของรัฐบาลที่ผ่านมา

4 รัฐมนตรี 4 รัฐบาล
มีรัฐมนตรีถึง 4 คน ที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีครบ 4 รัฐบาล ‘ประยุทธ์ 2-เศรษฐา-แพทองธาร-อนุทิน’ บางคนเคยเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน ดังนี้
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เขาเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากคดียุบพรรคไทยรักไทยในปี 2550 จนกลายเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในเวลาต่อมา
ถึงกระนั้น อนุทินเคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง ในสมัยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้แก่ รมช.สาธารณสุข (ในรัฐบาลทักษิณ 1-2) และรมช.พาณิชย์ (ทักษิณ 1) ก่อนเขาจะย้ายออกมากับกลุ่มเพื่อนเนวินและเป็นพรรคภูมิใจไทยในเวลาต่อมา
ปี 2562 พรรคภูมิใจไทยได้ร่วมรัฐบาลประยุทธ์ ทำให้อนุทินได้ครองตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข พร้อมการผลักดันนโยบาย ‘กัญชาเสรี’ และการจัดการโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งถูกวิพากษ์จากประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก
อนุทินย้ายมาเป็น รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร แม้จะมีการยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่แพทองธารปรับ ครม. พอดี แต่สุดท้ายอนุทินก็กลับมานั่งเก้าอี้มหาดไทยอีกครั้งในสมัยที่เขาเป็นนายกฯ
นอกจากนั้น ยังมี ทรงศักดิ์ ทองศรี หนึ่งในสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเคยเป็น รมช.คมนาคม ในรัฐบาลสมัคร และถูกศาลสั่งตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากการยุบพรรคพลังประชาชนในปี 2551 ถึงกระนั้น ทรงศักดิ์ก็ถูกแต่งตั้งเป็น รมช.มหาดไทย ตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์เรื่อยมาตลอด 4 รัฐบาล โดยไม่ย้ายไปกระทรวงอื่นใดเลย
พิพัฒน์ รัชกิจประการ สังกัดพรรคภูมิใจไทยผู้มีความสนิทสนมกับตระกูล ‘ชิดชอบ’ และเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันเครือ PT ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์เขาได้นั่งเก้าอี้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ก่อนมาเป็น รมว.แรงงาน ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และในสมัยนี้เขาได้ย้ายมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม
ขยับมาที่รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ สุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งเดิมเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รมว.แรงงานในปี 2563 ภายใต้สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นเหตุให้เขาถูก สส.พรรคประชาชน ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เมื่อ 13 มิถุนายน 2568 กรณีปล่อยให้เกิดการซื้อตึก Skyy9 ด้วยเงินกองทุนประกันสังคม ราคาแพงเกินจริงถึง 2 เท่า
ปี 2565 สุชาติยื่นหนังสือลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ และเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับการแต่งตั้งเป็น รมช.พาณิชย์ ในรัฐบาลเศรษฐาและแพทองธาร ก่อนได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในสมัยอนุทิน
รัฐมนตรีใหม่หน้าคุ้น รับตำแหน่งติดต่อจากรัฐบาลเพื่อไทย
หลายคนอาจรู้สึกว่ารัฐมนตรีชุดนี้ไม่ต่างจากรัฐมนตีชุดที่ผ่านมามากนัก เพราะเรายังเห็นคนเดิมที่เป็นรัฐมนตรีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร-อนุทิน เพียงแค่มีการโยกย้ายกระทรวงไปมา โดยรัฐมนตรีกลุ่มนี้มีถึง 8 คน ดังนี้
ศุภมาส อิศรภักดี จากพรรคภูมิใจไทย โดยเธอเคยเป็นโฆษกพรรคและอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย ศุภมาสได้รับแต่งตั้งเป็น รมว.การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร ปัจจุบันเธอเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นภินทร ศรีสรรพางค์ จากพรรคภูมิใจไทย อดีตเคยเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยสมัยยิ่งลักษณ์ หลังการเลือกตั้ง 2566 นภินทรได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ ของรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร ปัจจุบันเขาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเช่นกัน
สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล จากพรรคภูมิใจไทย อดีตสส. พรรคเพื่อไทย ก่อนจะย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้ง 2562 และได้ร่วมเป็นรัฐมนตรีในสมัยเลือกตั้ง 2566 คือ รมช.ศึกษาธิการ ของรัฐบาลเศรษฐา-แพทองธาร ปัจจุบันเขาได้ขยับเป็น รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
อรรถกร ศิริลัทธยากร จากพรรคกล้าธรรม เขาเคยลงเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยในสมัยยิ่งลักษณ์ ก่อนย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้ง 2562 พร้อมทำหน้าที่โฆษกพรรค และย้ายมาเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลเศรษฐา ขยับเป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลแพทองธาร และปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่ง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็นรัฐมนตรีคนนอกที่เคยรับตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนแล้ว โดยเขาเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นเดียวกับ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง และเคยเป็นหัวหน้าส่วนอำนวยการ สำนักงานเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และเสนาธิการทหารบก ก่อนเป็นรองผู้บัญชาการทหารบกในปี 2561
ในสมัยอดีตนายกฯ ประยุทธ์ ปี 2563 ณัฐพลดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เมื่อมาถึงช่วงรัฐบาลเศรษฐา ณัฐพลถูกแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยประคับประคองงานของ สุทิน คลังแสง ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขณะนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็น รมช.กลาโหม ในรัฐบาลแพทองธาร ก่อนจะมาเป็น รมว.กลาโหม ในปัจจุบัน
อัครา พรหมเผ่า พรรคกล้าธรรม เป็นน้องชายของธรรมนัส อดีตนายก อบจ. พะเยา ในปี 2563 เขามีบทบาทอย่างมากในการวางยุทธศาสตร์ภาคเหนือของพรรคพลังประชารัฐ และเป็นที่ปรึกษาให้กับธรรมนัส ขณะดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ ถึงกระนั้น ช่วงรัฐบาลแพทองธาร เขาถูกแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ เช่นกัน ก่อนจะย้ายมาเป็น รมว.การพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ ในสมัยรัฐบาลอนุทิน
ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ พรรคภูมิใจไทย เป็นลูกสาวของ ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี เธอเคยถูกแต่งตั้งเป็น รมช.มหาดไทย ในรัฐบาลแพทองธาร และเป็น รมว.วัฒนธรรม ในรัฐบาลปัจจุบัน
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ปัจจุบันสังกัดพรรคกล้าธรรม เธอมีความถนัดด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และมีบทบาทด้านนโยบายเศรษฐกิจโดยเฉพาะ ในสมัยที่อยู่พรรคพลังประชารัฐ
นฤมลถูกแต่งตั้งเป็น รมช.แรงงาน ในรัฐบาลประยุทธ์ และเป็นที่ปรึกษานายกฯ เศรษฐา เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย โดยรับผิดชอบการเจรจาขายสินค้าเกษตรประเภทยางพารา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของธรรมนัส จากนั้น เธอได้เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ ก่อนย้ายเป็น รมว.ศึกษาธิการ ในรัฐบาลแพทองธาร และนั่งกระทรวงศึกษาธิการต่อในรัฐบาลปัจจุบัน
รัฐมนตรีที่ไม่ได้ไปต่อในรัฐบาลแพทองธาร แต่ได้กลับมาในสมัยอนุทิน
อีกหนึ่งความหน้าคุ้นของรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่ใช่แค่คนที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีติดต่อกันเรื่อยมา แต่ยังมีรัฐมนตรีบางส่วนที่อาจเคยรับตำแหน่งไปแล้วในสมัยรัฐบาลประยุทธ์-เศรษฐาหรือรัฐบาลในอดีต แต่อาจไม่ได้ไปต่อในรัฐบาลแพทองธารที่ผ่านมา และได้กลับมานั่งเก้าอี้อีกครั้งในสมัยอนุทิน ดังนี้
อันดับแรกคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลประยุทธ์ ก่อนได้ขยับเป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลเศรษฐา แต่เนื่องด้วยข้อกังวลด้านจริยธรรมที่ทำให้เศรษฐาถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง จากการทูลเกล้าแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล
ทำให้การจะแต่งตั้งธรรมนัสซึ่งเคยถูกจำคุกจากศาลออสเตรเลีย ในความผิดฐานมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการนำเข้าเฮโรอีนไปออสเตรเลีย ก็อาจทำให้แพทองธารมีความสุ่มเสี่ยงต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ในลักษณะเดียวกัน แล้วทำไมอนุทินถึงยังแต่งตั้งธรรมนัสให้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขา?
หากย้อนไป เมื่อ 5 พฤษภาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญเคยอ่านคำวินิจฉัยกรณีนี้ โดยมีใจความว่า “คำพิพากษาคดีอาญาของศาลออสเตรเลีย จะไม่มีผลผูกพันกับศาลไทย แม้ธรรมนัสจะเคยติดคุกในออสเตรเลียไปแล้ว ก็ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.และรัฐมนตรีในไทย”
นั่นหมายความว่า การที่อนุทินแต่งตั้งให้ธรรมนัสเป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จึงอาจไม่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเยี่ยงเศรษฐา แต่ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป เพราะในบริบทการเมืองไทยย่อมไม่มีอะไรคงอยู่แน่นอนตลอดไป
ตรีนุช เทียนทอง พรรคพลังประชารัฐ เธอเคยอยู่สังกัดพรรคไทยรักไทยและเพื่อไทย ก่อนย้ายมาพรรคพลังประชารัฐ และได้ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ แม้จะไม่ได้ไปต่อในรัฐบาลแพทองธาร-เศรษฐา แต่เธอก็ได้กลับมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอีกครั้งแต่เปลี่ยนเป็นกระทรวงแรงงานในรัฐบาลอนุทิน
ธนกร วังบุญคงชนะ เขาเคยสังกัดพรรคภูมิใจไทยในปี 2554 ก่อนจะย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐในปี 2561 และได้ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลประยุทธ์ ต่อมาปี 2566 เขาได้สมัครเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ไม่ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเพื่อไทย แต่เขาก็ได้กลับมานั่ง รมว.อุตสาหกรรม ในปัจจุบัน
โสภณ ซารัมย์ เครือข่ายนักการเมืองจากบุรีรัมย์ เขาเคยสังกัดพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ก่อนจะย้ายตามกลุ่มเพื่อนเนวินมาอยู่พรรคภูมิใจไทย โดยก่อนหน้านี้เขาเคยดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม ในรัฐบาลสมชาย และ รมว.คมนาคม ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถึงกระนั้น โสภณก็หายหน้าไปจากเก้าอี้รัฐมนตรีอยู่หลายสมัย แต่ตอนนี้เขาได้กลับมาพร้อมตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลอนุทินนี้เอง
รัฐมนตรีใหม่ ‘หน้าใหม่’ ซึ่งอาจเคยมีบทบาททางการเมืองมาบ้างแล้ว
นอกจากรัฐมนตรีหน้าเก่าที่กินสัดส่วน ครม. ไปแล้วเกือบครึ่ง อีกส่วนหนึ่งของรัฐมนตรีชุดนี้ยังมีรัฐมนตรี ‘หน้าใหม่’ จำนวน 12 คน แต่หน้าใหม่ในที่นี้อาจไม่ใช่คนที่ไม่เคยมีบทบาททางการเมืองมาก่อน แต่เป็นคนที่เราต่างคุ้นหน้าค่าตามาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้เข้ามาทำหน้าที่ในนามของคณะรัฐมนตรี

4 คน จากพรรคภูมิใจไทย กับการตั้งเครือข่ายการเมืองรุ่นใหม่
จากข้อมูลรัฐมนตรีหน้าใหม่ของภูมิใจไทยพบว่า 3 ใน 4 คน เป็นลูกหลานตระกูลการเมืองเดิม และมีช่วงอายุไม่มากนักประมาณ 35-45 ปี และมีถึง 2 คน ที่ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐมนตรี ซึ่งอาจสะท้อนถึงการพยายามวางคนรุ่นใหม่จาก ‘สายตรง’ ให้เข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ดังนี้
ภราดร ปริศนานันทกุล อายุ 46 ปี ลูกชายคนโตของ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง จากจังหวัดอ่างทอง เขาเข้าสู่สนามการเมืองตั้งแต่ปี 2550 ก่อนจะเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทยในปี 2561 ซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคและโฆษกพรรค
ความก้าวหน้าทางการเมืองของภราดรสะท้อนผ่านการที่เขาได้รับการสนุบสนุนให้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในสภาผู้แทนราษฎรชุดล่าสุด และปัจจุบัน เขาถูกแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ไชยชนก ชิดชอบ อายุ 35 ปี ลูกชายคนโตของเนวิน ชิดชอบ ผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย จากจังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนเข้าสนามการเมือง ไชยชนกได้เป็นผู้ดูแลธุรกิจด้านกีฬาของครอบครัวในเครือบุรีรัมย์ เช่น สโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต (Chang International Circuit)
ไชยชนกก้าวเข้ามาในสนามการเมืองในปี 2565 โดยเป็นผู้สมัคร สส.บุรีรัมย์ และชนะการเลือกตั้ง 2566 ก่อนก้าวเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยในปี 2567 แม้จะเข้าสู่สนามการเมืองได้ไม่นาน แต่ปัจจุบันไชยชนกกลับได้นั่งตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลอนุทิน คือ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ศศิธร กิตติธรกุล ลูกสาวของ สมศักดิ์ กิตติธรกุล นายก อบจ.กระบี่ 8 สมัยซ้อน และญาติของ กิตติ กิตติธรกุล สส.กระบี่ จากพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน เธอมีผลงานเป็นประธานเขตพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเป็นอดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยปัจจุบันเธอได้รับการแต่งตั้งเป็น รมช.มหาดไทย
มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช อายุ 61 ปี ลูกสาวของ กมล จิระพันธุ์วาณิช เครือข่ายการเมืองบ้านใหญ่จังหวัดลพบุรี เธอก้าวเข้ามาเล่นการเมืองตั้งแต่ปี 2534 โดยระยะแรกเธออยู่ในสนามการเมืองท้องถิ่น ก่อนจะขยับมามีบทบาทในการเมืองระดับประเทศ ในปี 2552 แทนพ่อของเธอที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากการเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทย
ถึงกระนั้น มัลลิกาได้ย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยในปี 2554 และได้รับการเลือกตั้งเรื่อยมา โดยปัจจุบันเธอได้รับตำแหน่ง รมช.คมนาคม
3 คน จากพรรคกล้าธรรม เคยมีบทบาทในสนามการเมืองท้องถิ่นมาก่อน
รัฐมนตรีหน้าใหม่จากพรรคกล้าธรรมมีทั้งหมด 3 คน แต่ละคนล้วนเข้ามาในสนามการเมืองเป็นระยะเวลานาน โดย 2 ใน 3 คน ดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นสังกัดเดียวกับธรรมนัสซึ่งเป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์
นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ อยู่ในเส้นทางการเมืองมากว่า 20 ปี โดยเริ่มจากการติดตาม พลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตสมาชิกวุฒิสภา ก่อนเข้ามาสมัครเป็น สส. ในปี 2562 สังกัดพรรคพลังประชารัฐ แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้งแต่ก็ถูกแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หลังได้รับการเลือกตั้งปี 2566 นเรศย้ายมาสังกัดพรรคกล้าธรรมร่วมกับธรรมนัส และดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค โดยปัจจุบันเขาถูกแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์
อามินทร์ มะยูโซ๊ะ เป็นน้องชายของ สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ จากจังหวัดนราธิวาส เขาเริ่มเส้นทางการเมืองจากการเป็นสมาชิก อบจ.นราธิวาส 2 ปี ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. ในเขตพื้นที่เดิมของพี่ชาย และพี่ชายของเขาขยับไปลงเลือกตั้งในเขตอื่นแทน ปัจจุบัน อามินทร์ถูกแต่งตั้งเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ เช่นกัน
องอาจ วงษ์ประยูร ลูกชายของ บัญญัติ วงษ์ประยูร นักการเมืองจังหวัดสระบุรี เขาเริ่มเส้นทางการเมืองเริ่มจากการเป็นเทศมนตรีในตำบลพระพุทธบาท ก่อนขยับเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสระบุรี ปี 2549 ก่อนเข้ามาสมัครเป็น สส. ตั้งแต่ปี 2550 และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สระบุรี ในปี 2552 ผ่านสังกัดพรรคประชาธิปัตย์
ต่อมาองอาจย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทยในปี 2554 และเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐในปี 2566 ก่อนย้ายมาอยู่พรรคกล้าธรรม และได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.ศึกษาธิการ ในปัจจุบัน
3 คน จากพรรคพลังประชารัฐ
รัฐมนตรีที่ถูกส่งจากพรรคพลังประชารัฐ 2 ใน 3 คน เป็นกลุ่มการเมืองจากจังหวัดเพชรบูรณ์ และครองเก้าอี้ทั้ง รมต. และ รมช. สาธารณสุข ขณะที่อีกหนึ่งคนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและธุรกิจ ซึ่งถูกเสนอชื่อจากกลุ่มการเมืองภาคใต้ให้นั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
สันติ ปิยะทัต ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากการที่ ทวี สุระบาล และ สุธรรม จริตงาม สส.ภาคใต้จากพรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อในโควต้าพรรคพลังประชารัฐให้กับอนุทิน ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย เมื่อ 9 กันยายนที่ผ่านมา
โดยสันติถือเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งในแวดวงกฎหมายและธุรกิจ คือ เป็นอดีตผู้บริหารในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจพลังงาน และนี่ถือเป็นก้าวสำคัญของเขาที่จะเข้ามาอยู่ในเส้นทางการเมืองอย่างเป็นทางการ
พัฒนา พร้อมพัฒน์ อายุ 41 ปี ลูกชายของ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กลุ่มการเมืองจากจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาถูกแต่งตั้งเป็น รมว.สาธารณสุข
ความน่าสนใจคือ พัฒนาเคยซื้ออาคาร I.C.E. Tower เมื่อปี 2560 (SKYY9 Centre ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นตึกทรุดโทรมขนาดใหญ่ และขายต่อในมูลค่า 2,000 ล้านบาทในปี 2562 ซึ่งเขายืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีกองทุนประกันสังคมที่เข้าซื้ออาคารในราคากว่า 7,000 ล้านบาท ในสมัยที่สุชาติเป็นรัฐมนตรีแต่อย่างใด
วรโชติ สุคนธ์ขจร เขาเคยเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและขับเคลื่อนการบริหารท้องถิ่น โดยปัจจุบันเขาถูกแต่งตั้งเป็น รมช.สาธารณสุข
รัฐมนตรีช่วยจาก ‘อดีตเพื่อไทย’ และ ‘รวมไทยสร้างชาติ’
รัฐมนตรีหน้าใหม่กลุ่มสุดท้าย คือ รัฐมนตรีช่วยที่มาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตสังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งล้วนเป็นผู้เคยมีบทบาททางการเมืองมายาวนาน แต่เป็นครั้งแรกที่พวกเขานั่งตำแหน่งรัฐมนตรี
ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีต สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เขาเป็นแกนนำพา สส.พรรคเพื่อไทย รวม 9 คน ประกาศสนับสนุนและร่วมแถลงข่าวร่วมเป็นโหวตอนุทินเป็นนายกฯ ก่อนจะลาออกการเป็น สส. เพื่อรับตำแหน่ง รมช.มหาดไทย
ขณะที่ จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ เขาเข้าสู่สนามการเมืองท้องถิ่นในปี 2544 จังหวัดฉะเชิงเทรา และได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องถึง 4 สมัย ก่อนเข้าสู่การเมืองระดับจังหวัดในปี 2563 ผ่านการชิงเก้าอี้นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ในนามคณะก้าวหน้า แม้จะแพ้การเลือกตั้งดังกล่าว แต่เขาก็สามารถพาทีมสมาชิกสภา อบจ. คณะก้าวหน้าเข้ารับตำแหน่งได้ 10 คน
ในปี 2565 ยศสิงห์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลประยุทธ์ และเข้าสู่สนามการเลือกตั้งระดับชาติในปี 2566 ผ่านการลงสมัคร สส.ฉะเชิงเทรา ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลแพทองธาร ปัจจุบัน เขาถูกแต่งตั้งเป็น รมช.อุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับ ธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม ซึ่งมาจากสังกัดพรรคเดียวกัน
รัฐมนตรีใหม่ ‘คนนอก’
แม้จะเห็นรายชื่อรัฐมนตรีที่มาจากกลุ่มการเมืองเก่าแก่เข้ามานั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งมากมาย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้คงไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลช่วงที่ผ่านมามากนัก
ถึงกระนั้น สิ่งที่ประชาชนได้เห็นจากคณะรัฐมนตรีชุดนี้ คงหนีไม่พ้นรายชื่อรัฐมนตรี ‘คนนอก’ ซึ่งถูกเทียบเชิญโดยอนุทิน เพราะต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพของกระทรวงนั้นๆ เข้ามาทำงาน โดยแต่ละคนมีประวัติการทำงานดังนี้

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2557-2558 รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านกฎหมาย และเคยมีประวัติการทำงานในภาคเอกชน เป็นกรรมการอิสระของบริษัทพลังงานและก่อสร้างหลายแห่ง ควบคู่ไปกับงานวิชาการและการพัฒนานโยบายสาธารณะ ถูกแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ซึ่งมีอายุราชการเหลือถึง 6 ปี ถูกแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ทำงานร่วมกับ วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ถูกแต่งตั้งเป็น รมช.การคลัง
พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีต รมช.กลาโหมของรัฐบาลแพทองธาร ถูกแต่งตั้งเป็น รมว.กลาโหม ทำงานร่วมกับ พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ถูกแต่งตั้งเป็น รมช.กลาโหม
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศและทูตหลายประเทศ ถูกแต่งตั้งเป็น รมว.การต่างประเทศ
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ถูกแต่งตั้งเป็น รมว.พลังงาน
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักงานใหญ่ ไอบีเอ็ม (IBM) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริการ และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดุสิตธานี ถูกแต่งตั้งเป็น รมว.พาณิชย์
พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ถูกแต่งตั้งเป็น รมว.ยุติธรรม
จากข้อมูลข้างต้นพบว่าคณะรัฐมนตรีอนุทินเป็นทีมที่รวมเอากลุ่มขั้วการเมืองเก่าไว้ด้วยกันอย่างเห็นได้ชัด คือ ส่วนใหญ่เป็นขั้วการเมืองที่เติบโตมาพร้อมกับอนุทิน คือ ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ก่อนจะมีการแตกตัวไปเป็นกลุ่มการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคภูมิใจไทย (กลุ่มเนวิน) พรรคกล้าธรรม (กลุ่มธรรมนัส) รวมถึงกลุ่มจากพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ
นอกจากนั้น ยังมีการวางบทบาททางการเมืองของ ‘มือใหม่’ โดยเฉพาะจากพรรคภูมิใจไทย ที่เริ่มเปิดโอกาสให้มีรัฐมนตรีที่ยังไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากนักมานั่งตำแหน่งสำคัญอย่าง ไชยชนก และ ภราดร พร้อมการหยิบเลือกรัฐมนตรีคนนอกซึ่งได้รับความยอมรับจากประชาชนจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ศุภจี สุธรรมพันธุ์, อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ และ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
แต่ด้วยระยะเวลาของคณะรัฐมนตรีที่อาจจะสั้น ตาม MOA ที่ทำร่วมกับพรรคประชาชน จึงอาจมองได้ว่าเป็นการผสมผสานทั้งอำนาจทางการเมืองจาก ‘บ้านใหญ่’ และความสามารถเฉพาะทางของ ‘คนนอก’ เหล่านี้ จะสามารถสร้างผลงานเพื่อดึงฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้หรือไม่?