“100 วันในตำแหน่ง และอเมริกากำลังกลับมาเป็นปกติ”
นี่คือข้อความของโจ ไบเดน ในวันครบรอบ 100 วันแรกการรับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยกลายเป็นเหมือนประเพณีของวอชิงตัน ที่ตัวประธานาธิบดี มักจะถูกประเมินผลงาน ผ่านการทำงาน 100 วันแรก
ประเพณี 100 วันแรกนั้น มีขึ้นตั้งแต่ยุคของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ (ปี 1933) ซึ่งในตอนนั้นโรสเวลต์ได้ก็ได้สร้างผลงานไว้มากมายอย่าง สร้างระบบธนาคารที่เคยเสื่อมโทรมในเวลาอันรวดเร็ว ช่วยยุติภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ รวมถึงยังวางรากฐานส่วนใหญ่ในประเทศไว้
ซึ่งปี 2021 ปีแรกแห่งการรับตำแหน่งของไบเดน ก็ดูจะเริ่มต้นด้วยปัญหาต่างๆ มากมายที่ถูกทิ้งไว้เป็นมรดกในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.คนก่อน ไม่ว่าจะเป็น COVID-19 ที่มียอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตพุ่งแรง เศรษฐกิจ การว่างงานที่ตกต่ำ รวมถึงปัญหาเชื้อชาติต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าตอนนี้ ไบเดนกำลังพาสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในร่องในรอยมาขึ้นเรื่อยๆ และดูจะได้รับการยอมรับมากกว่า เมื่อเทียบกับ 100 วันแรกของทรัมป์ด้วย
Back on track – สัญญาของไบเดนให้ประเทศกลับเป็นปกติ
สิ่งแรกที่อาจจะเรียกได้ว่า ไบเดนทำตามสัญญา และขอเวลาไม่นานจริงๆ อย่างที่พูด คือการสามารถทำตามเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ตาม และเกินกว่าที่ตั้งไว้ด้วย โดยในตอนแรกที่รับตำแหน่ง ไบเดนนั้นประกาศว่าจะฉีดวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส ใน 100 วันแรก แต่เมื่อผ่านไป การบริหารกระจายวัคซีนของสหรัฐฯ ทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ไบเดนก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ เป็น 200 ล้านโดส ซึ่งเขาก็สามารถทำสำเร็จได้ก่อนเป้าหมายถึง 8 วันเลยทีเดียว
นอกจากเรื่องวัคซีนแล้ว COVID-19 ยังเป็นเรื่องที่ไบเดนเร่งจัดการโดยด่วนหลังเข้ารับตำแหน่ง วันแรกเขาก็ได้เซ็นคำสั่งพิเศษ และบันทึกข้อตกลง ถึง 13 ฉบับที่เกี่ยวกับโรคระบาดนี้ เช่น คำสั่งให้สวมใส่หน้ากากอนามัยในสนามบิน และระหว่างการใช้ขนส่งสาธารณะ, จัดตั้งคณะกรรมการการทดสอบการแพร่ระบาดเพื่อขยายความสามารถในการตรวจโรค สร้างหน่วยคณะทำงานด้านความเสมอภาคในการจัดการ COVID-19 เพื่อให้มีการฟื้นตัวจากโรคอย่างเท่าเทียมกัน เป็นต้น
ซึ่งจากการทำงานของไบเดน พบว่าเมื่อเทียบก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่ง กับในช่วง 100 วันนี้ สถานการณ์ COVID-19 ของสหรัฐฯ ดีขึ้นถึง 73% รวมถึงคำสั่งพิเศษของไบเดน ยังมีแคมเปญ ‘100 Days Masking Challenge’ ขอให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากเป็นเวลา 100 วัน และมีระยะห่างทางสังคมในอาคารต่างๆ ของรัฐ ซึ่งก่อนจะครบ 100 วันนี้ ไบเดนก็ออกมาประกาศว่า คนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว สามารถถอดหน้ากากในที่สาธารณะได้แล้ว
ทั้งเมื่อสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น สิ่งอื่นๆ ก็เริ่มกลับมาเป็นปกติตาม โดยจากที่สหรัฐฯ มีอัตราการตกงานที่สูงในปีที่ผ่านมา นับจากวันรับตำแหน่งของไบเดน มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์คนตกงานในสหรัฐฯ ก็ยังถือว่าสูงกว่าช่วยก่อนเกิดการระบาด และยังมีกว่า 10 ล้านคนที่ไม่มีงานด้วย ทั้งยังมีบางคำสัญญาอย่าง การจะเปิดโรงเรียนมากกว่าครึ่งให้ได้ใน 100 วันแรก ที่ก็พบว่าในบางรัฐยังคงเป็นเรื่องยาก และไม่ทั่วถึงในทุกรัฐด้วย
โดยสำนักข่าว AP ของสหรัฐฯ พบว่าจากคำสัญญาของไบเดนที่จะทำใน 100 วันแรก ทั้งหมด 61 อย่างนั้น เขาสามารถทำได้สำเร็จจริงๆ 26 เรื่อง ทำได้บางส่วน 32 เรื่อง และยังไม่เริ่มทำเลย 3 เรื่อง
ลงนามกฎหมาย คำสั่งพิเศษ และยกเลิกคำสั่งของทรัมป์
นอกจากการทำให้สถานการณ์โดยรวมกลับมาเป็นปกติแล้ว ยังพบว่า ใน 100 วันแรกของไบเดน ของได้ลงนามในกฎหมายใหม่ 11 ฉบับ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าทรัมป์ ที่ลงนามถึง 28 ฉบับ และโอบามาที่ 14 ฉบับ แต่ความน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา โดยกฎหมายหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ กฎหมายเยียวยา COVID-19 และกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลล่าร์ ซึ่งถือเป็นชัยชนะแรกในการออกกฎหมายของไบเดน
โดยกฎหมายฉบับนี้ จะจัดสรรงบประมาณไปใช้ฟื้นฟูในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอบเงินช่วยเหลือแก่ประชาชน ธุรกิจคนตกงาน และรัฐบาลท้องถิ่น ไปถึงเพื่อการจัดการปัญหา COVID-19 โดยตรง อย่างการพัฒนาศูนย์ตรวจ COVID-19 และ พัฒนาโครงการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ
ไบเดนยังลงนามคำสั่งพิเศษกว่า 40 ฉบับ รวมถึงคำสั่งที่เกี่ยวกับ COVID-19 ที่เล่าในข้างต้น ไปถึงประเด็นอื่นๆ อย่างแรงงาน ที่ได้มีการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ลูกจ้างของรัฐบาลราว 40% เป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ชั่วโมง (471 บาท/ชั่วโมง) ซึ่งจะเริ่มต้นปีหน้า หรือประเด็นเรื่องเพศ ที่ได้จัดตั้งสำนักสภานโยบายด้านเพศ เพื่อเสนอแผนความเท่าเทียมทางเพศ หรือคำสั่งป้องกันการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงานเนื่องจากรสนิยม หรืออัตลักษณ์ทางเพศด้วย
ไม่เพียงแค่ปัญหาเรื่อง COVID-19 จากสิ่งที่ทรัมป์หลงเหลือไว้ ไบเดนยังคงยกเลิกคำสั่งที่เคยเป็นปัญหา ดราม่า และประเด็นระหว่างประเทศมากมายในยุคของทรัมป์ โดยหลายคำสั่งถูกยกเลิกตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานเลยด้วย ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกคำสั่งแบน 7 ประเทศมุสลิม, ยกเลิกคำสั่งสร้างกำแพงกั้นระหว่างเม็กซิโก, กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีส แถมล่าสุดยังประกาศจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 50% ในปี 2030, ประกาศหยุดการออกจากองค์กรอนามัยโลก (WHO) ที่ปีก่อนทรัมป์เคยประกาศจะยุติการให้เงินช่วยเหลือ และลาออก เป็นต้น
แม้ว่าไบเดน ดูจะทำตามสัญญาได้หลายอย่าง และฟื้นสถานการณ์ COVID-19 ให้ดีขึ้น อัตราการยอมรับของเขา จาก The American President Project อยู่ที่ 57% ขณะที่ของ NPR/PBS NewsHour/Marist survey อยู่ที่ 53% ซึ่งแม้จะเปรียบกับทรัมป์ในช่วงเดียวกันจะถือว่าสูงกว่า แต่ก็มีการมองว่าอัตรานี้ ถือว่าเกินครึ่งมาไม่มาก
รวมถึงยังมีบางคำสัญญา ที่เขายังไม่สามารถทำสำเร็จได้เลยซักข้อ คือเรื่องของการควบคุมปืน ซึ่งถูกมองว่า ไม่ทำตามสัญญาว่าจะรายงานคณะกรรมการเกี่ยวกับการปฏิรูปการกำกับดูแลปืนของกระทรวงยุติธรรม หรือความล้มเหลวภายในโปรแกรมตรวจสอบภูมิหลัง ทั้งยังถอยห่างจากคำสัญญาที่จะดูแลจัดการ เรื่องความรุนแรงในการใช้อาวุธของตำรวจ หรือตรวจสอบตำรวจที่ละเมิดสิทธิพลเมือง
แต่นี่ก็เป็นเพียง 100 วันแรกของไบเดน เขายังมีเวลาในตำแหน่งอีก 1,362 วันในตำแหน่ง เพื่อจะพิสูจน์การเป็นผู้นำ ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งอย่างน้อยเราก็รู้ว่า หากเขาทำผลงานได้ไม่ดี ก็จะถูกประชาชนตัดสินในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งสหรัฐฯ ก็มีกลไกการเลือกตั้ง ที่ไม่มีเสียงอื่นมาร่วมโหวตนายกฯ ทำให้หากเขาผิดสัญญา อย่างมากเขาก็จะอยู่ในฐานะผู้นำเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น ทั้งในช่วงการเลือกตั้งกลางเทอม ยังมีกลไกที่ผู้แทนเข้าไปคานอำนาจผู้นำได้ด้วย
ซึ่งตลอดสมัยของไบเดน จะเจอกับความท้าทายใหม่ๆ อะไร และจะสามารถ ‘ฟื้นฟูจิตวิญญาณของอเมริกา’ (Restore The Soul of America) อย่างที่หาเสียงได้หรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิงจาก