ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในเอกสารสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่
- แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Joint Statement on Framework for United States-Thailand Agreement on Reciprocal Trade)
- บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน” (Memorandum of Understanding between the Government of the United States of America and the Government of the Kingdom of Thailand Concerning Cooperation to Diversify Global Critical Minerals Supply Chains and Promote Investments)

26 ตุลาคม 2025. (Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)
หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างมากคือ ‘บันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่องแรร์เอิร์ธ’ ที่มีการนำประเทศไทยเข้ามาเป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่มีความสำคัญ ระหว่างมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ โดยมีเสียงวิพากษ์ทำนองว่าประเทศไทยอาจถูกดึงเข้าสู่ ‘สมรภูมิแรร์เอิร์ธ’ ในบริบทภูมิรัฐศาสตร์โลกใหม่
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่า MOU นี้เป็นเพียง ‘บันทึกความเข้าใจ’ (ไม่ใช่กฎหมายผูกมัด) เป็นการตกลงเพื่อ ‘ร่วมมือพิจารณา’ เรื่องห่วงโซ่อุปทานและการส่งเสริมลงทุนแร่หายาก ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะต้องผลิตหรือส่งออกทันที
ด้วยเหตุนี้ The MATTER จึงชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับแรร์เอิร์ธ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ที่มา และบทบาทใหม่ในเวทีโลก เพราะประเด็นนี้เข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้นอีก

‘แรร์เอิร์ธ’ ธาตุหายากที่วงการเทคโนโลยีต้องการที่สุด
แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) คือกลุ่มโลหะ 17 ชนิด ที่แม้จะมีจำนวนมากในธรรมชาติ แต่การสกัดแยกให้ได้ระดับความบริสุทธิ์สูง กลับทำได้ยากและต้นทุนสูงมาก เนื่องจากการทำเหมืองจะใช้วิธีการแบบดั้งเดิม ที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มหาศาลและมีการขุดเจาะ เพื่อสกัดหาแร่และแยกแรร์เอิร์ธออกจากแร่ชนิดอื่น นอกจากนี้ กระบวนการตั้งแต่การสร้างเหมือง การค้นหาและการสกัดแร่ต่างๆ ก็ใช้พลังงานน้ำเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น เหมืองแรรเอิร์ธหลายแห่งได้ปล่อยน้ำที่ใช้แล้วลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำเป็นอย่างมาก ทั้งการปนเปื้อนและการกัดเซาะหน้าดิน ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือผู้คนที่ต้องพึ่งพิงธรรมชาติบริเวณนั้น

ซึ่งจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์นั้นย้อนหลังไปได้ถึงทศวรรษ 1780 เมื่อเหมืองในเมืองอิตเตอร์บี (Ytterby) ประเทศสวีเดน ขุดพบหินสีดำที่มีส่วนประกอบของสารที่ต่อมาเป็นหนึ่งในธาตุแรร์เอิร์ธ
หลังจากนั้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวคิดการแยกโลหะเหล่านี้เพื่อการใช้งานเชิงอุตสาหกรรม เช่น โครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) หรือโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ที่นักวิทยาศาสตร์พยายามคิดค้นวิธี เพื่อแยกโลหะที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม และโลหะหายากบางชนิด ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 เทคนิคเหล่านี้ถูกนำมาใช้กับการแยกแรร์เอิร์ธในเชิงพาณิชย์ ด้วยคุณสมบัติพิเศษทั้งด้านแม่เหล็ก ไฟฟ้า และแสง
ทำให้สามารถผลิตโลหะบริสุทธิ์ และปูทางสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ แรร์เอิร์ธกลายเป็น ‘วัตถุดิบสำคัญ’ ในเทคโนโลยีที่เราใช้ทุกวัน ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอุปกรณ์พลังงานสะอาด
ถ้าไม่มีแรร์เอิร์ธ จะเกิดอะไรขึ้น?

เพื่อให้เห็นภาพถึงความสำคัญมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างการใช้งานของแรร์เอิร์ธ และผลกระทบที่จะตามมาหากไม่มีหรือมีไม่พอ
- ถ้าไม่มี Neodymium (Nd) หรือ Dysprosium (Dy) แม่เหล็กแรงสูงสำหรับมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า อาจไม่สามารถผลิตได้ในประสิทธิภาพเดียวกับที่ใช้อยู่ ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนสูงขึ้นหรือประสิทธิภาพลดลง
- ถ้าไม่มี Europium (Eu), Terbium (Tb) หรือ Yttrium (Y) การแสดงผลสีในหน้าจอ LED หรือสมาร์ทโฟนอาจไม่คมชัดอย่างที่เป็น
- ถ้าไม่มี Cerium (Ce) หรือ Lanthanum (La) ตัวเร่งปฏิกิริยาในเครื่องยนต์และโรงกลั่นน้ำมันอาจประสิทธิภาพลดลง หรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
- ถ้าไม่มี Samarium (Sm) แบตเตอรี่ ลำโพง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความแม่นยำสูงอาจลดคุณภาพลง
โดยสรุปคือแรร์เอิร์ธ มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากต่อการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่เราเห็นอยู่ทุกวัน หากขาดแคลนก็อาจจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี
ความท้าทายและประเด็นสิ่งแวดล้อม
การสกัดและแปรรูปแรร์เอิร์ธ ก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจากกระบวนการเหมืองแร่และแยกแร่ที่ใช้สารเคมีเข้มข้น มักสร้างของเสียมีสารอันตราย เช่น กรณีที่จีนมีการประเมินว่าการสกัดแรร์เอิร์ธ 1 ตัน อาจสร้างของเสียถึง 2,000 ตัน
สำหรับประเทศไทย แม้ยังไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธขนาดใหญ่อย่างเป็นทางการ แต่มีกรณีเหมืองแรร์เอิร์ธที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำกกในภาคเหนือ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีมาตรการควบคุม หรือการประเมินสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน
มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ระบุกับ BBC Thai ว่าเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ที่ห่างจากพรมแดนประเทศจีนประมาณ 4 กิโลเมตร มีการปล่อยน้ำจากเหมืองลงสู่คลองน้ำนับ ซึ่งไหลลงไปทางใต้และลงสู่แม่น้ำโหลย (Lwe River) ซึ่งเป็นลำนำสาขาของแม่น้ำโขง ได้ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่เมืองสบโหลย รัฐฉาน ฝั่งตรงข้ามแขวงหลวงน้ำทาของประเทศลาว ห่างจากจุดบรรจบสามเหลี่ยมทองคำซึ่งเป็นพรมแดน 3 ประเทศ ไทย ลาว เมียนมา ประมาณ 125 กิโลเมตร

ซึ่งการปล่อยน้ำจากเหมืองสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนที่อยู่รอบๆ ในช่วงต้นเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือ เอ็มอาร์ซี (Mekong River Commission-MRC) ตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำและใกล้สบกก พบว่ามีค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานถึง 4 ใน 5 จุดที่สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำ ที่ช่วยยืนยันว่าเกิดการปนเปื้อนสารหนูข้ามแดนไปลุ่มน้ำโขงแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หากพูดถึงการรีไซเคิลแรร์เอิร์ธจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่า เช่น แบตเตอรี่ หรือสมาร์ทโฟน ยังอยู่ในช่วงพัฒนาและมีต้นทุนสูง ซึ่งหมายความว่าปริมาณแรร์เอิร์ธที่หมุนเวียนกลับใช้ซ้ำได้ยังน้อยมาก
ดังนั้น ประเทศที่เข้าไปมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ จึงมักถูกตั้งคำถามด้านสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้ MOU ที่ไทยลงนามกับสหรัฐฯ ว่าด้วยแร่เอิร์ธถึงกลายเป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะผลลัพธ์ที่จะตามมา
‘จีน’ ผู้ผลิตหลักของโลก

ประเทศจีนครองสัดส่วนผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธของโลกมากกว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น ขณะที่คู่แข่งอย่างสหรัฐอเมริกา อยู่ราว 12 เปอร์เซ็นต์ ของการผลิตโลก รองลงมาคือออสเตรเลีย ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ และเมียนมา ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์
แม้ประเทศจีนจะไม่ใช่ผู้มีแร่ธรรมชาติมากที่สุด แต่จีนมีโครงสร้างพื้นฐานในด้านการแปรรูป และการลงทุนในเหมืองต่างประเทศมากกว่าประเทศอื่นๆ จนสามารถควบคุมห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำและปลายน้ำ
ทำไม ‘สหรัฐฯ’ และ ‘จีน’ ถึงแย่งชิงแรร์เอิร์ธ?
การแย่งชิงแรร์เอิร์ธไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันทางเศรษฐกิจธรรมดา แต่เป็นการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูง
ในมุมของจีน ถ้าจีนมีอำนาจเหนือห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธ ถือเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ ที่สามารถใช้เป็นเครื่องต่อรองทางการค้าและการเมืองได้ ส่วนในมุมของ สหรัฐฯ แรร์เอิร์ธเป็นสิ่งจำเป็นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เช่น เครื่องบินรบ ขีปนาวุธ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความแม่นยำสูง
ดังนั้น ใครที่สามารถควบคุมแรร์เอิร์ธได้มากที่สุด ก็มีโอกาสควบคุมห่วงโซ่อุปทานของเทคโนโลยีทั้งโลก
อ้างอิงจาก