พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาในหลายจังหวัดภาคกลางยังเผชิญสถานการณ์น้ำท่วมต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่จมน้ำมานานกว่า 4 เดือน หรือนับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 2,900 ลบ.ม./วินาที ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 พฤศจิกายน เป็นต้นไป
ตลอดไม่กี่วันที่ผ่านมา น้ำได้เอ่อเข้าท่วมหลายพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ทั้งในนนทบุรี ปทุมธานี และบางส่วนของกรุงเทพฯ จากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น เทศบาลเมืองปทุมธานี ชุมชนรอบท่าน้ำนนท์ เกาะเกร็ด รวมถึงพื้นที่ในอำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอบางกรวย และบางช่วงของเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าว The MATTER ลงพื้นที่ชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า ซอยนนทบุรี 11 เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางน้ำท่วมขังต่อเนื่องเกือบ 2 เดือนเต็ม ระดับน้ำในหลายจุดยังสูงถึงหัวเข่า บางช่วงลึกจนเกือบถึงเอว ทำให้ผู้คนในพื้นที่ต้องปรับตัวอยู่กับน้ำที่เอ่อท่วมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

ชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025
เสียงจากชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในน้ำกว่า 2 เดือน
ชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าสุเหร่าบ้านตลาดขวัญ ตั้งอยู่หลังโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า บริเวณซอยนนทบุรี 11 ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตเมืองนนทบุรี พื้นที่ตรงนี้ติดแม่น้ำโดยตรง ทำให้เมื่อระดับน้ำเจ้าพระยาสูงขึ้น น้ำจะเอ่อเข้าท่วมชุมชนได้ง่ายและรวดเร็ว
ปีนี้น้ำท่วมหนักเพราะเกิดน้ำทะเลหนุนจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง และมีการเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนตอนบน น้ำจึงไม่ลดลงหลายสัปดาห์ กลายเป็นน้ำท่วมที่ยืดเยื้อนานผิดปกติ ทั้งหมดนี้ทำให้สุเหร่าพระนั่งเกล้ากลายเป็นหนึ่งในชุมชนที่ ‘รับผลกระทบโดยตรงที่สุด’ เมื่อแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากฝนตกหนักหรือการระบายน้ำจากเขื่อน
เสียงสะท้อนจากชุมชนชัดเจนเป็นหนึ่งเดียว คือ ปีนี้ไม่มีความช่วยเหลือจากภาครัฐเข้ามาเลย ทั้งที่ความเดือดร้อนมีมากกว่าเดิมหลายเท่า “เริ่มท่วมตั้งแต่กันยาแล้ว และมันก็อยู่แบบนี้มาตลอด” โดยไม่มีสัญญาณว่า น้ำจะลดลงในเร็วๆ นี้

จุ่ม สัมฤทธิ์ล้วน อายุ 64 ปี ลุยน้ำออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เธอบอกกับเราด้วยน้ำเสียงทั้งท้อและน้อยใจว่า “เมื่อก่อนน้ำยังไม่ทันถึงเดือน เขาก็มาช่วยแล้ว แต่ปีนี้จะ 2 เดือนแล้ว ยังไม่มีใครช่วยเลย” เธอเล่าว่าทุกปีอย่างน้อยก็จะมีเทศบาลเข้ามาแจกของ แต่ปีนี้กลับเงียบสนิท ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแล ทำให้ทั้งชุมชนต้องพึ่งเพียงข้าวกล่องจากอาสาสมัครและเอกชน ซึ่งตลอด 2 เดือนที่น้ำท่วม มีมาเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
ปัญหาที่หนักไม่แพ้กันคืออันตรายจากสัตว์มีพิษที่หนีน้ำเข้าบ้าน จุ่มเล่าว่า “ลุยน้ำจนเท้าเจ็บ แถมบางทีก็มีงูขึ้นบ้าน” น้ำที่ขังนานทำให้สัตว์เลื้อยคลานหาแหล่งแห้งๆ เพื่อหลบภัย หลายบ้านต้องระวังเป็นพิเศษ ปิดประตูหน้าต่างทุกคืนเพราะกังวลว่างูจะเลื้อยเข้ามาถึงในที่นอนของครอบครัว

แผลน้ำกัดเท้ากลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในชุมชน เราเดินสำรวจเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ก็พบว่าทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ล้วนมีรอยแผลจากการลุยน้ำขังเป็นเวลานาน ฟ้า หนึ่งในชาวบ้านชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า ชูขาให้ดูพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “น้ำกัดเท้า เจ็บจนเดินไม่ไหว”
ร้านค้าขนาดเล็กในชุมชนก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ฟ้า ซึ่งขายของชำในซอย เล่าว่าทุกวันต้องลุยน้ำลึกเพื่อไปส่งของให้ลูกค้า และหลายครั้งก็ล้มจนขาเป็นแผล เธอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าวสาร อาหารแห้ง มันจำเป็นมากจริงๆ ปีนี้ไม่มีใครมาดูเลยค่ะ”
อีกปัญหาหนึ่งที่หลายบ้านพูดเหมือนกันคือ การแจกของจากภายนอกบางครั้งไม่ได้เข้ามาถึงคนเดือดร้อนจริง ฟ้าเล่าว่า “เมื่อวานมีของมาแจก แต่คนข้างนอก เขาไม่ท่วม เขารับกันหมด คนในนี้ไม่รู้ข่าวเลย”

หนึ่งในเสียงที่สะเทือนใจที่สุด คือเรื่องของ วิลาวัลย์ ผู้ป่วยโรคไตที่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อฟอกไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง แต่เส้นทางจากบ้านออกไปสู่ถนนใหญ่กลับเต็มไปด้วยน้ำลึก บางช่วงพอจะแห้งให้เดินได้ แต่หลายครั้งเธอต้องลุยน้ำตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงปากซอย
เธอเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “เราไปหาหมอทุกวัน ต้องเดินลุยออกไปเองเพราะไม่มีเงิน ถ้ามีเรือคงช่วยได้เยอะ”
คำพูดของวิลาวัลย์สะท้อนภาพความยากลำบากได้อย่างชัดเจน ค่าเรือเที่ยวละ 20-30 บาทอาจไม่มากในช่วงสถานการณ์ปกติ แต่สำหรับหลายบ้านในช่วงที่รายได้แทบหายไปหมด เงินจำนวนนี้กลายเป็นภาระที่ต้องคิดหนัก ทำให้ผู้ป่วยบางคนจำใจต้องเลือกการลุยน้ำ แทนการจ่ายเงินเพื่อเดินทางไปรักษาตัวเอง

สุวัฒน์ ชายวัยกว่า 50 ปีที่อยู่ในชุมชนนี้มาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่าแม้น้ำจะท่วมทุกปี แต่ปีนี้กลับยาวนานและซ้ำซากกว่าปกติ “มันชิน แต่ก็เบื่อ” เขาบอกว่าเดินทางออกนอกชุมชนไม่ลำบากมาก แต่สิ่งที่ยากคือการดูแลบ้าน เพราะทุกครั้งที่น้ำขึ้นต้องรีบยกข้าวของขึ้นสูง ไม่อย่างนั้นจะเสียหายทั้งหมด

นอกจากนี้ รายได้ของคนในชุมชนได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จิ่ม สัมฤทธิ์ล้วน ขายของชำ และ การิม ผู้อยู่ที่ชุมชนนี้มาตั้งแต่เกิดราว 40 กว่าปี ทำงานรับจ้าง ทั้งคู่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลายคนขายของตามหน้าบ้าน แต่เมื่อน้ำขังเป็นเดือน รายได้ของทุกบ้านแทบเป็นศูนย์ “ลูกค้าเข้ามาไม่ได้เลย ต้องลุยน้ำไปส่งเอง รายได้ก็หาย” บางบ้านต้องหยุดขายของ บางบ้านต้องนำเรือมาใช้เดินทางในซอย เพราะพื้นดินไม่มีให้เดินอีกแล้ว

สิ่งที่ทุกคนในชุมชนต้องการมากที่สุดคือ ถุงยังชีพ, ข้าวสาร, อาหารแห้ง, น้ำดื่ม, รองเท้าบูทยาง, ยารักษาแผลน้ำกัดเท้า, เรือสำหรับรับ-ส่งผู้ป่วย และการลงพื้นที่ของรัฐอย่างจริงจัง ชาวบ้านหลายคนสรุปตรงกันว่า “อยากให้รัฐเข้ามาดูบ้าง”
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ไม่ใช่แค่น้ำท่วม แต่เป็นวิกฤตศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา คนในชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้าต้องช่วยเหลือกันเอง ลูกหลานช่วยพ่อแม่ เพื่อนบ้านช่วยเพื่อนบ้าน ช่วยขนของ ช่วยดูแลคนป่วย สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชน แต่ความเดือดร้อนที่ยืดเยื้อนี้ไม่ควรถูกปล่อยให้พวกเขาต้องเผชิญตามลำพัง
“เราไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่อยากให้เขามองเห็นเรา” เสียงจากคนในชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า
รัฐบาลเตรียมมาตรการรับมือ คาดน้ำลดปลายพฤศจิกายนถึงต้นมกราคม 2569

ชุมชนสุเหร่าพระนั่งเกล้า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2025
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมที่วัดบันไดช้าง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีชาวบ้านพายเรือออกมารอรับถุงยังชีพหลังบ้านจมน้ำ นายกฯ กล่าวขอโทษประชาชนว่า “ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล กราบขออภัยที่ทำให้ลำบาก จะแก้ไขไม่ให้เดือดร้อนแบบนี้อีก”
เขาย้ำว่าจะสั่งรัฐมนตรีหาทางช่วยเหลือระยะสั้นและระยะยาว และจะ “จ่ายเป็นเดือนๆ” ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกน้ำท่วมเกิน 3-4 เดือน นายกฯ ยังระบุว่า จากภาพมุมสูงพบว่าฝั่งตะวันออกยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้ จึงสั่งเร่งระบายน้ำจากฝั่งตะวันตกออกไป พร้อมเร่งผลักดันโครงการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาในระยะยาว
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ ประเมินว่า สถานการณ์น้ำในหลายจังหวัดอาจกลับสู่ปกติได้ในช่วงราววันที่ 20 พฤศจิกายน แต่สำหรับพื้นที่หน้าเขื่อนและท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เช่น พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และจังหวัดใกล้เคียง คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วงต้นเดือน มกราคม 2569
อ้างอิงจาก