หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รัฐบาลได้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม เพื่อกำหนดแนวทางต่างๆ สำหรับช่วงไว้อาลัย
นับแต่นั้น การสื่อสารจากภาครัฐไม่ได้มาจากเพียงฝ่ายนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ขยายไปถึงกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งล้วนมีอำนาจสั่งการในระดับปฏิบัติ ผลคือ แม้สาระหลักของการแถลงจะ ‘เหมือนกัน’ คือให้ประชาชนร่วมไว้อาลัยด้วยความเหมาะสม แต่ ‘ระดับน้ำเสียง’ และ ‘ถ้อยคำ’ กลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จนประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้อง ‘ตีความเอง’
นายกรัฐมนตรีใช้ถ้อยคำในเชิงเปิดพื้นที่ให้เอกชนและประชาชนใช้ดุลยพินิจ โดยย้ำว่า “รัฐบาลไม่ได้สั่งห้ามจัดกิจกรรม” ส่วนรองโฆษกรัฐบาลใช้ถ้อยคำที่เข้มกว่า เช่น “ขอความร่วมมือให้งดหรือลดกิจกรรมเพื่อความบันเทิงเป็นเวลา 30 วัน” ด้านเลขาธิการนายกรัฐมนตรีออกมายืนยันในทางเดียวกันว่าไม่มี ‘คำสั่งห้าม’ ใดๆ จาก ครม.
อย่างไรก็ดี กรณีของกระทรวงศึกษาธิการ ก็เป็นตัวอย่างชัดของความสับสนเชิงการสื่อสารหลังมติ ครม.ออกมา กระทรวงศึกษาฯ ได้มีหนังสือถึงสถานศึกษาทุกแห่ง กำหนดให้ ‘งดจัดงานที่มีบรรยากาศรื่นเริงทุกประเภท’ เป็นเวลา 1 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับการไว้ทุกข์ของภาครัฐ
แถ้อยคำในหนังสือดังกล่าวถูกสื่อมวลชนและโรงเรียนหลายแห่งตีความว่า ‘ห้ามจัดกิจกรรมทั้งหมด’ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน งานวัฒนธรรม หรือกิจกรรมตามหลักสูตร ส่งผลให้สถานศึกษาหลายแห่งประกาศ ‘งดกิจกรรม’ ทุกประเภททันที จนเกิดเสียงวิจารณ์ในสังคมว่ารัฐบาลและกระทรวงต่างๆ ไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาชี้แจงอีกครั้งว่า “ไม่ได้สั่งให้โรงเรียนงดกิจกรรมทั้งหมด เพียงขอให้ปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ กิจกรรมที่เป็นหลักสูตร งานศาสนา และประเพณีสามารถดำเนินต่อได้”
เหตุการณ์นี้จึงไม่เพียงสะท้อนปัญหาการสื่อสารที่ไม่เป็นเอกภาพ แต่ยังชี้ให้เห็นว่า ในระบบราชการไทย คำว่า ‘ขอความร่วมมือ’ หรือ ‘เพื่อความเหมาะสม’ สามารถถูกตีความได้หลายชั้น เมื่อไม่มีแนวทางกลางที่ชัดเจน หน่วยงานต่างๆ จึงเลือกแนวทางปลอดภัยไว้ก่อน คือ งดกิจกรรมทั้งหมดเพื่อไม่ให้ถูกตำหนิในภายหลัง

(Photo by Chanakarn Laosarakham / AFP)
‘ระบบราชการ’ วัฒนธรรมแห่งความเงียบ

บทความวิเคราะห์ของ The MATTER เคยชี้ว่า ในหลายหน่วยงานของรัฐ ‘กฎระเบียบแข็งตึง ดิ้นไม่ได้’ จนกลายเป็นกับดักทางวัฒนธรรมที่ขัดขวางการทำงานเชิงรุก ข้าราชการจำนวนมากไม่กล้าเสนอแนวทางใหม่ เพราะเกรงจะ ‘ทำผิดระเบียบ’ หรือถูกลงโทษทางวินัย ผลคือ หน่วยงานต่างๆ เลือกทางปลอดภัยที่สุดด้วยการ ‘ทำตามหนังสือสั่ง’ หรือ play safe แม้บางครั้งแนวทางนั้นไม่ตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
รศ.ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ จากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร อธิบายว่า วัฒนธรรมราชการไทยเติบโตจากโครงสร้างอำนาจแบบลำดับชั้น (hierarchical bureaucracy) ที่ยึดโยงกับแนวคิด ‘บนสั่ง-ล่างทำ’ ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และยังคงฝังแน่นในระบบบริหารปัจจุบัน
ในโครงสร้างเช่นนี้ ‘อำนาจการตัดสินใจ’ มักกระจุกอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาระดับบน ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติถูกคาดหวังให้ ‘ทำตาม’ มากกว่า ‘ตั้งคำถาม’ ผลที่ตามมาคือ ข้าราชการจำนวนมากเรียนรู้ว่าการนิ่งเฉยคือหนทางที่ปลอดภัยที่สุด เพราะการเสนอความเห็นหรือการตัดสินใจเองอาจนำไปสู่การถูกตำหนิหรือถูกตีความว่า ‘ฝ่าฝืนคำสั่ง’
รศ.ดร.นฤพนธ์ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘วัฒนธรรมแห่งความเงียบ’ (Culture of Silence) ซึ่งเกิดจากการที่ระบบให้คุณค่ากับ ‘การเชื่อฟัง’ มากกว่าความคิดเชิงวิพากษ์ ความเงียบจึงกลายเป็นเกราะป้องกันตนเองในสังคมราชการไทย การไม่พูด ไม่ตัดสินใจ และไม่แสดงความคิดเห็นที่ต่างจากผู้บังคับบัญชา กลายเป็นสัญญาณของ ‘ความปลอดภัย’ มากกว่าการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์
เสียงจากภาคเอกชนและภาคประชาชน

ไม่เพียงหน่วยงานราชการที่ต้องตีความ ‘คำสั่งที่ไม่ชัดเจน’ ด้วยตนเอง ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปก็ได้รับผลกระทบโดยตรง จากความคลุมเครือของการสื่อสารเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการอีเวนต์ ร้านอาหาร สถานบันเทิง และแรงงานอิสระในอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งต้องวางแผนล่วงหน้าต่อการเลื่อนกิจกรรม
หลังจากรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ออกมาขอความร่วมมือให้งดหรือลดกิจกรรม หลายพื้นที่ทั่วประเทศ เริ่มประกาศยกเลิกงานเทศกาลปลายปีทันที ทั้งงานดนตรี งานปีใหม่ ฯลฯ แม้รัฐบาลจะยังไม่ได้สั่งห้ามอย่างเป็นทางการก็ตาม
ผู้ประกอบการจำนวนมากสะท้อนว่าการ ‘ไม่แน่ใจว่าทำได้หรือไม่’ สร้างผลกระทบมากกว่าการมีคำสั่งชัดเจน เพราะทำให้ไม่สามารถวางแผนทางธุรกิจได้ บางรายต้องยกเลิกสัญญาจ้างชั่วคราว สูญเสียรายได้หลักในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ยกตัวอย่างเช่น พิธีกรและผู้จัดงานชื่อดังได้โพสต์ข้อความถึงรัฐบาลว่า “ในภาวะเศรษฐกิจระดับหอบหืด…2-3 เดือนที่เหลืออยู่ตรงหน้าของปีนี้ คือ ลมหายใจเกือบเฮือกสุดท้ายที่ทำให้หลายคนและธุรกิจยังมีหวัง”
ทั้งนี้ อรรถกร ศิริลัทธยากร ผู้บริหารด้านการท่องเที่ยว ออกมายืนยันว่า “งานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่อยู่ระหว่างดำเนินการสามารถจัดต่อได้ แต่ควรปรับเนื้อหาและรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์”
ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและปากท้อง
ช่วงปลายปีถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของอุตสาหกรรมอีเวนต์ การท่องเที่ยว และบริการ การตีความคำว่า ‘ขอความร่วมมือ’ อย่างเข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากชะลอหรืองดกิจกรรม ส่งผลกระทบต่อแรงงานและธุรกิจขนาดเล็กที่พึ่งพารายได้ระยะสั้น
แม้รัฐบาลจะยืนยันว่างานส่งเสริมการท่องเที่ยวยังจัดได้แต่ต้องเหมาะสม แต่ในทางปฏิบัติ ความไม่แน่ใจในแนวทางชัดเจนทำให้หลายกิจกรรมถูกเลื่อนหรือยกเลิกไปแล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนว่า ความคลุมเครือของการสื่อสารจากรัฐสามารถกระทบชีวิตประชาชนได้จริง โดยเฉพาะในระบบที่ทุกคนรอคำสั่งมากกว่ากล้าที่จะตัดสินใจได้เอง
รายงานจาก ฐานเศรษฐกิจ ระบุว่า ภาคธุรกิจอีเวนต์ไทยกำลังเผชิญวิกฤตสาหัสที่สุดในรอบ 10 ปี ปริมาณงานลดลงทั้งจากภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการจำนวนมากขาดสภาพคล่องและไม่สามารถเก็บเงินจากลูกค้าได้ ขณะที่ธนาคารก็ชะลอการปล่อยสินเชื่อ ทำให้บริษัทออร์แกไนเซอร์และซัพพลายเชนหลายรายต้องลดขนาดงาน ลดพนักงาน หรือระงับโครงการที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี

อุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ ประธานสมาคมอีเวนต์ไทย (Event Management Association of Thailand) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 10 ปี โดยแม้บางบริษัทจะพยายามปรับรูปแบบงานให้ยืดหยุ่นขึ้น เช่น เปลี่ยนจากงานขนาดใหญ่เป็นกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม แต่ความไม่แน่นอนจากคำสั่งของภาครัฐทำให้ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการหลายรายจึงต้องรอให้นโยบายชัดเจนก่อนค่อยขยับ
สภาพเช่นนี้ส่งผลกระทบถึงแรงงานจำนวนมาก ทั้งคนในอุตสาหกรรมบริการ นักแสดง ศิลปิน และธุรกิจขนาดเล็กที่รับช่วงต่อจากงานอีเวนต์ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และบริษัทขนส่งรายย่อย หลายคนสูญเสียรายได้หลักในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
แม้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะยืนยันว่า “งานส่งเสริมการท่องเที่ยวยังสามารถจัดได้ แต่ควรปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับสถานการณ์” เช่น ลดงานแสง สี เสียง หรืองดการจุดพลุ แต่ในทางปฏิบัติความไม่แน่ใจในแนวทางที่ชัดเจน ทำให้หลายกิจกรรมถูกเลื่อน หรือยกเลิกไปแล้ว
ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าความคลุมเครือของการสื่อสารจากรัฐ ไม่เพียงสร้างความสับสนเชิงนโยบาย แต่สามารถส่งผลต่อรายได้ของแรงงาน และผู้ประกอบการในระดับพื้นที่ได้อย่างจริงจัง
แนวทางและข้อเสนอเชิงนโยบาย
รายงานข่าวของ ไทยรัฐ และ Thai PBS ตั้งข้อสังเกตไปในทิศทางเดียวกันว่า แม้รัฐบาลจะได้ขอความร่วมมือให้ปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมให้เหมาะสม โดยไม่ได้มีคำสั่งห้ามอย่างเป็นทางการทั้งหมด แต่ยังขาดเอกสารหรือแนวทางที่ชัดเจนเป็นทางการในการปฏิบัติ
รัฐบาลจึงควรสื่อสารให้ชัดเจนและมีเอกภาพ ว่ากิจกรรมใดสามารถจัดได้ตามปกติ กิจกรรมใดควรปรับรูปแบบให้เหมาะสม และกิจกรรมใดควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้ภาคเอกชน หน่วยงานท้องถิ่น และผู้ประกอบการสามารถวางแผนและเตรียมการล่วงหน้าได้อย่างเหมาะสม
สิ่งที่ประเทศไทยต้องการในเวลานี้ ไม่ใช่ ‘คำสั่งที่เข้มงวดขึ้น’ แต่คือ ‘แนวทางที่ชัดเจนขึ้น’
อ้างอิงจาก
อลงกต สารกาล. (2562). บทวิเคราะห์การบริหารงานภาครัฐไทย: จากอดีตถึงปัจจุบัน. วารสารสถาบันพระปกเกล้า (KPI Journal), 3(3), สถาบันพระปกเกล้า.