วันนี้เป็นวันฮาโลวีน นอกจากกิจกรรมประดับประดาฟักทอง หรือแต่งตัวเป็นผีไปปาร์ตี้กันแล้ว ฝรั่งเค้าก็ยังมีการเล่าเรื่องสยองขวัญกันด้วย The MATTER จึงรวบรวมเรื่องผีๆ ถึง 15 เรื่องมาฝากกันค่ะ
สยองไม่สยองก็พูดได้แค่ว่าอ่านหมดนี่แล้ว ไม่กล้าส่องกระจกตอนล้างหน้าอะค่ะ โอย คืนนี้จะนอนยังไงล่ะเนี่ย ขนลุกส์
1. ผีรุ่นพี่
เรื่องโดย : จารุวัฒน์ คงหิ้น
อาชีพ : พนักงานบริษัท
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2550 ขณะที่ผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ ผมและกลุ่มเพื่อนนัดติวหนังสือเตรียมสอบกันหลังตึกคณะตอนประมาณ 2-3 ทุ่ม ซึ่งบริเวณดังกล่าวนั้นมีลักษณะเป็นพื้นต่างระดับที่เชื่อมกับตึก สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร มีขั้นบันไดเล็กๆ 4-5 ขั้นเพื่อเข้าสู่ตึก และมีลานโล่งๆ สี่เหลี่ยมจตุรัส ผมและกลุ่มเพื่อนนั่งติวกันบริเวณขั้นบันได ผมนั่งตรงบันไดชั้นล่างสุดโดยหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม แล้วทวนเนื้อหากันในลักษณะถาม-ตอบ แต่เนื่องจากผมไม่ได้อ่านมา (ตามไม่ทัน) เลยหันหน้าออกไปทางลานเพื่อที่จะอ่านหนังสือเอง
ขณะนั้นเองผมได้เหลือบไปทางซ้าย เห็นขากางเกงสีดำของใครคนหนึ่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนผมที่จอดอยู่ จึงหันขึ้นไปมอง เห็นเป็นผู้ชายผมสั้นเกือบๆ สกินเฮดใส่ชุดนักศึกษาก้มหน้าอยู่โดยนั่งอยู่บนเบาะหลังในลักษณะนั่งหันหลังออก ผมอึ้งไปประมาณ 2-3 วิฯ และรีบหันหน้ากลับเข้าวงติวทันที เพราะแถวนั้นมีแค่กลุ่มเพื่อนผมเท่านั้น คงไม่มีใครกล้านั่งมอเตอร์ไซค์ของคนอื่น ผมนั่งฟังติวไปเรื่อยและไม่กล้าหันหลังกลับ ติวถึงประมาณเกือบเที่ยงคืนเลยจะไปติวกันต่อที่หอเพื่อน ผมจึงกลับหอกับเพื่อนโดยซ้อนมอเตอร์ไซค์คันนั้นแหละครับ พอถึงหอเลยเล่าสิ่งที่เจอให้เพื่อนๆ ฟัง ทีนี้ไม่มีใครกล้ากลับหอตัวเองกันเลยครับ เลยนอนห้องเพื่อนอัดกันไป 5-6 คน แต่ก็นอนไม่หลับกัน เลยมีเพื่อนคนหนึ่งเสนอว่าพรุ่งนี้ให้ไปเล่นผีถ้วยแก้วกัน เพื่อจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
วันรุ่งขึ้นเลยไปเล่นผีเหรียญ (แบบผีถ้วยแก้วแต่ใช้เหรียญ) กันครับ ตอนประมาณสองทุ่ม โดยก่อนเล่นนั้นก็พากันไปไหว้ศาลเจ้าตรงหน้าคณะกันก่อน จากนั้นก็ไปที่บริเวณที่เจอเหตุการณ์กัน ซึ่งระหว่างทางที่กำลังจะไปนั้นมีรุ่นพี่ 3-4 คนที่อยู่แถวนั้นพอดีมาขอดูด้วย เล่นทั้งหมดประมาณ 5 หรือ 6 คนนี่แหละครับ ผมและกลุ่มรุ่นพี่ไม่ได้เล่นด้วย ยืนดูห่างๆ
เมื่อเพื่อนๆ เริ่มเล่น เหรียญมันก็ขยับไปทีละคำๆ แต่มันไม่เป็นภาษาเลยครับ ฐยนพรย อะไรประมาณนี้ ถามว่าชื่ออะไร ผู้ชายหรือผู้หญิง ก็จะเป็นคำมั่วๆ อย่างนั้นตลอด ผ่านไปสักสิบนาทีก็หยุดขยับ เลยทำการเชิญมาใหม่
“ใช่พี่คนที่มาเมื่อวานรึเปล่าคะ” เพื่อนผมคนหนึ่งในวงที่เล่นถาม ทันใดนั้นเหรียญก็ขยับไปที่ ‘ใช่’ จากนั้นก็ตามมาด้วยคำถามจากในวงมากมาย เช่น เสียชีวิตมาแล้วกี่ปี ชื่ออะไร ต้องการให้ช่วยทำบุญไหม เหรียญก็วิ่งไปตามคำถาม จนพี่เขาออกไปครับ
สรุปความได้ว่าพี่เขาชื่ออะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ครับ ตอบเป็นชื่อจริง เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 32 ปี (ถ้านับรุ่นคือประมาณรุ่น 6-7 ครับ เพราะผมเป็นรุ่น 39) ไม่ต้องการอะไร แต่พี่เขาบอกแค่ว่ามีเรื่องอยากบอก (แต่ก็ออกไปก่อนที่จะบอกครับ)
ที่พีคกว่านั้นคือกลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนดูมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า เห็นผู้ชายผมสั้นใส่ชุดนักศึกษายืนก้มหน้าอยู่หลังเพื่อนในวงตอนที่วิญญานแรกตอบไม่เป็นภาษา พวกผมเลยเดากันว่าวิญญาณแรกอาจเป็นผีเจ้าที่โบราณหรือผีที่ศาลที่ไปไหว้กันมา แต่เนื่องจากอาจไม่รู้ตัวอักษรเลยเป็นคำมั่วๆ แบบนั้น ส่วนพี่คนนั้นเขาคงมาไม่ทัน เลยยืนรอให้เรียก
2. Hello from the other side!
เรื่องโดย : อัษฎาวุธ บุญฤทธิ์ศักดิ์
อาชีพ : นักศึกษา
สมัยมัธยมต้น ตอนนั้นเราอยากไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายข้างบ้านคนหนึ่ง ซึ่งก็รู้แหละว่าเพื่อนไม่อยู่ แต่ไม่แน่ใจว่ากลับแล้วหรือยัง เลยหยิบโทรศัพท์โทรไปหา แต่เพื่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ เลยโทรไปเบอร์บ้านปรากฏว่ามีคนรับ ปลายสายเป็นผู้ชาย ถ้าเดาจากเสียงน่าจะเป็นวัยกลางคน เราถามว่าเพื่อนเราอยู่มั้ย เขาตอบกลับมาอย่างเย็นชาว่าไม่อยู่ เราก็เลยถามต่อว่าจะกลับมาตอนไหน เขาบอกไม่รู้ (ยังคงห้วนมาก) เราก็เลยวางสายไป แล้วมาคิดๆ ว่าบ้านเพื่อนมีเพื่อนคนเดียวที่เป็นผู้ชาย แต่ก็คิดว่าคงเป็นญาติมั้ง ไม่กี่นาทีต่อมา คนในบ้านเพื่อนพร้อมเพื่อนเดินผ่านหน้าบ้านมา เราก็เลยถามว่ามีใครอยู่บ้าน ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน แล้วคนที่รับสายคือใครกัน จะว่าโทรผิดก็ไม่ใช่เพราะปกติโทรเบอร์นี้ตลอด และก็เมมเบอร์โทรศัพท์บ้านคนนี้ไว้ไม่เคยไปเปลี่ยนมัน
3. Ghost Rider
เรื่องโดย : เหมยลี่ ลูกตุ๊ ป.พงษ์สว่าง
อาชีพ : พี่เลี้ยงนักมวย
กลางดึกคืนหนึ่งที่ฝนตกค่อนข้างหนักเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ขณะที่กำลังนั่งรถกลับบ้านโดยที่ไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้จักกับคำว่า ‘ขนหัวลุก’ ไม่รู้ด้วยเหตุอะไร จู่ๆ สายตาก็ต้องจับจ้องไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันนึงที่วิ่งอยู่ในเลนอีกฝั่ง ทุกอย่างดูปกติมาก แค่ผู้ชายคนนึงสวมเสื้อแจคเก็ตและหมวกกันน็อคกำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์อยู่บนเลนซ้ายสุดของถนน ขี่มาซักพัก เขาก็กลับรถแบบผ่ากลางถนน กลับจากเลนซ้ายสุด แต่ที่ตลกคือ พอกลับรถมาแล้ว แทนที่เขาจะมาอยู่เลนฝั่งเดียวกันกับเรา เขากลับวิ่งอยู่ในเลนฝั่งเดิม และวิ่งสวนรถคันอื่นๆ พอมาถึงจังหวะที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นมาอยู่ในระนาบข้างๆ รถที่เรากำลังนั่ง โดยที่มีเกาะเล็กๆ สำหรับยูเทิร์นอยู่ตรงกลางมากั้นไว้ ทันใดนั้น มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ล้มลง รถถไลไปโดนเกาะกลางจนเห็นประกายไฟเต็มไปหมด
ที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ผู้ชายคนนั้นกลิ้งข้ามฝั่งมาและกำลังจะเข้ามาใต้ท้องรถที่เรากำลังนั่ง ซึ่งเขาจะต้องถูกรถทับแน่ๆ แค่เห็นภาพนั้น มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปิดตาโดยอัตโนมัติ เสียงกรีดร้องของเราดังสนั่นจนแฟนที่กำลังขับรถตกใจและถามเราว่า เป็นอะไร ร้องทำไม พอรู้สึกว่ารถวิ่งผ่านตรงนั้นมาโดยที่ไม่ได้ทับใคร เราก็เอามือที่ปิดตาออก และหันหลังกลับไปมอง สิ่งที่พบคือถนนที่ว่างเปล่า ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์หรือผู้ชายนอนอยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรผิดไปจากภาพถนนเหมือนในวันที่ผ่านๆ มา แฟนเราก็ไม่เห็นผู้ชายหรือรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นเลย เราได้แต่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น และทำไมเราถึงเห็นเขา อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา คือ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เราเห็นแต่ภาพ ไม่มีเสียงโครมครามแม้แต่นิดเดียว
4. หญิงชายที่ป้ายรถเมล์
เรื่องโดย : จ.ท.หญิง ขนิษฐา จันทร์สง่า
อาชีพ : รับราชการ
ตอนนั้นนั่งรถเมล์ไปกับเพื่อนเส้นรัชดา ผ่านป้ายรถเมล์แถวๆ อโศกก็เห็นชายหญิงคู่นึงที่ป้ายรถเมล์ ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอรถเมล์วิ่งไปเรื่อยๆ อีกสองสามป้าย ก็เห็นชายหญิงคู่เดิมยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ในท่าเดิม เราเลยนิ่งเงียบไป จนไปถึงป้ายที่ต้องลงคือศูนย์สิริกิติ์ พอลงจากรถ เพื่อนที่นั่งไปด้วยกันพูดขึ้นคำแรกเลยว่า “มึงเห็นเหมือนที่กูเห็นมั้ย ที่ป้ายรถเมล์” เราก็ไม่อยากถามต่อว่าเห็นอะไร แต่ในใจคือ เชี่ย… เลยตอบไปคำเดียวเลย “อื้อ” แม้เรื่องผ่านมาหลายปี แต่ยังจำหน้าสองคนนั้นได้ติดตา
5. ผีอำ
เรื่องโดย : เปรมนรินทร์ กาฬหว้า
อาชีพ : พนักงานโรงแรม
ตอนนั้นไปค่ายที่สัตหีบ นอนรวมกันกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อนนอนเหมือนละเมอและมีเสียงเหมือนร้องไห้ออกมา เราเห็นเป็นเงาผู้ชายนั่งอยู่ข้างๆ เพื่อน ก็นึกว่าเขาแค่หยอกกัน แต่เสียงร้องดังจนเราตื่น เลยลุกขึ้นมาด่าเพื่อนว่าพวกมึงจะหยอกกันทำไมดึกๆ ดื่นๆ เพื่อนผู้ชายที่นอนละเมอร้องไห้อยู่ก็เลยตื่นขึ้นมาร้องใหญ่เลย เพื่อนบอกว่ามีคนมานั่งทับหน้าอกมัน… สรุปว่า คนท่ีเราด่าไปเมื่อกี้ไม่ใช่เพื่อนที่มาด้วยกัน และห้องนอนก็ไม่ได้มีหลายคนขนาดที่จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ตอนเช้าเลยถามครูฝึก เขาบอกว่าเคยมีเด็กจมน้ำตาย คนที่มาเข้าค่ายมักจะเจอน้องบ่อยๆ…
6. ผีวงมโหรี
เรื่องโดย : จตุรดา เอื้องอลิน
อาชีพ : Web Columnist / นักเขียนนิยาย
โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเก่านิดๆ ไม่มาก ยังไม่ร้อยปี แต่ถ้านับเวลาตอนนีก็เฉียดๆ แต่บรรดาข้าวของในโรงเรียนถ้าแยกเป็นชิ้นๆ นี่เก่าแก่มาก หลายอย่างสืบทอดมาจากสมัยรัชกาลที่ 4 อย่างเครื่องมโหรีทั้งวง ที่อายุมากกว่าปู่เราอีกมั้ง (ไม่แน่ใจเรื่องอายุ แต่สืบทอดมาจากวัง คณะละครสมัยก่อนแหละ)
เครื่องดนตรีไทยทั้งหมดถูกเก็บอยู่ที่ห้องดนตรีไทย ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ข้างเวทีในหอประชุม…(นึกภาพเวทีหอประชุมที่สร้างมาเพื่อเล่นละครเลยมีห้องแต่งตัวข้างๆ) ซึ่งหอประชุมมี ‘เศียรครู’ ประดับที่ผนังน่าจะเกือบๆ สี่สิบเศียร ซึ่งเป็นครูสายการศึกษานะ ไม่ใช่การละคร บนเวทีมีตู้พระธรรมลายรดน้ำจากยุคใกล้ๆ เครื่องดนตรีอยู่อีกคู่ ถ้าเป็นคนที่มีเซนส์มีอะไรคงบอกว่าเป็นแห่งรวมพลังงานสุดๆ
เย็นวันหนึ่งในช่วงประถมปลาย เราเลิกเรียนไว เลยขึ้นไปยังหอประชุมกับเพื่อนเพื่อรอเรียนดนตรีไทย (เรียนพิเศษหลังเลิกเรียน) เราไปจับประตูห้องแล้วพบว่าอ้าว ห้องล็อค เลยมานั่งรอครูที่บันไดข้างเวทีละคร จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงโหมโรงของโรงเรียนดังขึ้นมา เราก็คิดว่า เอ้า มีคนมาแล้วเหรอ เลยเดินไปดู
เรานอนลงกับพื้น มองลอดใต้ประตูเข้าไป ในห้องไม่มีใคร เพลงโหมโรงของโรงเรียนเป็นเพลงที่ไม่มีการบันทึกเทป เป็นเพลงที่ถูกบรรเลงสดด้วยเครื่องดนตรีวงมโหรีชุดนั้น เท่านั้น เพื่อนเราเริ่มกลัวและร้องไห้ เพราะมั่นใจมากๆ ว่าต้องมีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นกับเราสองคนแล้วแน่นอน เพลงโหมโรงที่ได้ยินแม่งไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่ด้วยความที่เราไม่ใช่คนกลัวเรื่องแบบนี้ (โคตรมีทัศนคติโพสิทีฟกะเรื่องแนวนี้ โลกสวยมาก) เลยบอกเพื่อนไปว่า “ไม่เป็นไรหรอกเธอ พวกครู (ในเครื่องดนตรีไทย) เขามาอยู่เป็นเพื่อนเรา เพราะว่าหอประชุมมันมืดและเปลี่ยวมาก”
หลังจากนั้นราสิบนาทีครูสอนดนตรีไทยก็มา เราจึงเล่าให้ฟัง ครูแค่เพียงยิ้มๆ เปิดห้องเข้าไปและไม่พูดอะไรสักคำเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับเราจนตอนนี้ก็ไม่กลัวอยู่ดีนะ อาจจะเพราะเชื่อว่าเป็นพลังงานหรือจิตที่อัดแน่นมากกว่าอะไรที่น่ากลัวมากๆ ก็ได้ หรือไม่ก็เจออะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จนชิน
7. ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน
เรื่องโดย : สุจีรัตน์ วิลาวรรณ
อาชีพ : casting director
สมัยเรียนที่ทับแก้ว ตอนนั้นเวลาประมาณหกโมงเย็น กำลังจะไปซ้อมละครกลางปีที่โรงละคร A4 แล้วเพื่อนขับรถยนต์ไปกินข้าวกัน ส่วนเรารอที่หอพักหน้ามอ บอกเพื่อนว่าถ้าถึงป้อมยามให้โทรหา จะข้ามถนนติดรถไปโรงละครด้วย ก็ตามนั้น พอถึงเวลานัดเราก็วิ่งไป รถจอดตรงปากทางเข้าใกล้ๆ ป้อม
ฝนตกเริ่มหนัก เราเห็นคนในรถ 4 คน ตอนนั้นคิดว่าดูออกว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งคนที่นั่งตรงหลังคนขับเราคิดว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีที่เราไม่สนิท ผมสั้นประบ่านั่งนิ่งไม่หันมาดูเราอยู่คนเดียว (ในกลุ่มตอนนั้นมีคนเดียวผมสั้น) ที่นี้คนที่อยู่ข้างหลังฝั่งซ้ายคือเพื่อนสนิท (สมมติชื่อ M) นางก็กวักมือแอคทีฟมากให้เราขึ้นรถ เราก็วิ่งไปจะขึ้นทางซ้าย เพราะปกติเราก็จะเลือกนั่งกับเพื่อนอะเนอะ แต่ M กลับชี้ให้เราไปอีกฝั่ง นี่ก็งง แต่เอาวะ ฝนลงแล้ว นั่งรถไปแป๊บเดียว ก็เลยวนอ้อมหลังรถไปทางขวา ซึ่งตลอดเวลาที่เดินอ้อมไปก็มอง ผู้หญิงผมสั้นทางขวาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเขยิบไปตรงกลาง พอถึงก็เปิดประตู…อ้าววววว ว่างเปล่าเฉย เลยถามเพื่อนไปแทบจะทันทีว่า “แล้ว (ชื่อเพื่อนผมสั้น) ไป…ไหน…” รู้ตัวอีกที ขนหลังลุกเลยจ้า โดนเข้าแล้วไง
มองอีกทีเพื่อนในรถ 3 คนหน้าเหวอมาก คงเห็นสีหน้าเราเปลี่ยน นี่ก็กลัวเพื่อนจะกลัว เลยตัดสินใจ เอาวะนั่งก็นั่ง ทับที่ผีก็ทับ ทุกคนทำหน้าเหมือนจะถาม แต่เราบอกขับไปก่อนถึงโรงละครแล้วจะเล่า ทั้งรถเงียบมากกกก พอถึงที่เท่านั้น 4 คนสละรถจ้าาาา วิ่งหน้าตั้ง หนีไปมองไกลๆ แต่ไม่เห็นใครในรถแล้ว ก็เลยเล่าให้เพื่อนๆ ทั้งโรงละครฟัง แล้วก็มาวิเคราะห์สรุปกันเองว่า เธอผมสั้นคนนั้นอาจจะขอติดรถมาด้วย เพราะตอนเพื่อน M กวักมือเรียกนั้นนางพูดว่า “ขึ้นมาๆ ขึ้นมาเลย” ซึ่งเพื่อนหลายคนตรงนั้นเคยได้ยินมาว่าเวลาเรียกใครยามโพล้เพล้ดึกดื่นให้ระบุชื่อ ไม่งั้นอาจมีใครที่ไม่ได้เชิญตามมา ยิ่งตรงนั้นเป็นทางแพร่ง อาจเป็นทางผ่านของสิ่งที่มองไม่เห็น เค้าไม่รู้ พอมีคนเรียกก็เลยมา แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นอะไรในรถอีกนะ คิดว่าเค้าคงไปแล้ว
8. ‘เขา’ มาทุกวันที่มีเลข 9
เรื่องโดย : เลขาสาวนิรนาม
ย้อนกลับไปสมัยมหา’ลัย อาศัยอยู่ที่หอพักสตรีเก่าแก่แห่งหนึ่งในซอกหลืบที่วังหลัง เป็นหอพักที่เวลาพาเพื่อนๆ มา จะทักเหมือนกันหมดว่า 1) หาหอนี้เจอได้ยังไง 2) ทำไมหอน่ากลัวจัง เพราะที่หออุดมไปด้วยสัญลักษณ์ทางความเชื่ออย่างศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่ ศาลฤาษี ต้นไม้ใหญ่ผูกด้วยผ้าสามสี แถมมีบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีต้นไม้รกๆ ขึ้นอยู่รอบบ่อที่ป้าดูแลหอเล่าว่ามีงูเจ้าที่อาศัยอยู่
เข้าเรื่องเลยนะคะ เจอเขาครั้งแรกช่วงเย็นวันที่ 9 มิถุนายน ตอนนั้นเพิ่งกลับจากมหา’ลัย เข้าห้องน้ำโดยเปิดประตูไว้ แล้วใช้ฝักบัวล้างเท้า ขณะก้มล้างเท้าหันหน้ามาทางห้องนอน เห็นเหมือนมีใครสักเดินผ่านห้องไป ตอนนั้นกำลังจะร้องทักว่า ใคร แต่นึกขึ้นได้ว่าเราอยู่คนเดียวไม่มีรูมเมต โจรก็ไม่น่าใช่ เลยไม่ร้องทักแล้วก็ไม่คิดมาก พยายามคิดว่าตาฝาด (จริงๆ ออกจากห้องน้ำปุ๊บโทรเล่าให้แม่ฟังเลย 5555) หลังจากนั้นแม่ก็ให้ ‘ฮู้’ มาแปะที่ห้อง แต่เราไม่แปะ กะลองดูก่อนว่าเขาจะมาอีกมั้ย (จริงๆ กลัวข้างห้องหาว่างมงาย ขวัญอ่อน)
ดึกๆ วันที่ 19 มิถุนายน เขาก็มาจริงๆ น่าจะเขาเดียวกันแหละค่ะ แค่ปรับเปลี่ยนการทักทาย ตอนนั้นเปิดทีวีค้างไว้ไม่ได้ตั้งใจดู แล้วทีวีก็ปิดแบบกดรีโมตปิด ไม่ได้ตั้งเวลาปิดไว้ ไฟก็ไม่ได้ตก รีโมตก็อยู่ข้างทีวีเลย แล้วทีวีก็ไม่เปิดอีก ต้องไปกดเปิดใหม่เอง พอดึกๆ ขึ้นไปอีกก็ได้ยินเสียงดนตรีไทย ไม่ทราบเพลงอะไร มันเพราะเลยไม่กลัว (อยู่มาสี่ปีได้ยินแค่คืนนั้นคืนเดียว) เลยเริ่มลองเดาทางเขาว่าจะมาทุกวันที่มีเลข 9 รึเปล่า วันที่ 29 เลยไม่นอนที่หอ กลับบ้านพอดี (ไม่ได้หนีนะคะ กลับบ้านพอดีจริงจริ๊งงง)
แล้วคืนที่พีคสุดก็มาถึง ประมาณตีหนึ่งวันที่ 9 กรฎาคม กำลังจะนอนพอหลับตาปุ๊บ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับที่หน้าอก ขยับตัวไม่ได้ ดิ้นไม่ได้เลย จะร้องก็ร้องออกเสียงไม่ได้ ตาก็ลืมไม่ได้ แวบแรกนึกถึงเขาเลยค่ะ ก็ลองสวดมนต์ ที่นึกออกก็สวดได้แต่ นโม ตัสสะฯ สวดหลายรอบแล้วก็ไม่หลุดสักที สุดท้ายเลือกวิธีเจรจาทางกระแสจิตว่า “ถ้าไม่อยากให้อยู่ก็ออกมาให้เห็นเต็มๆ ตัวเลย แล้วจะไป!”
แล้วก็ขยับตัวลืมตาได้เฉยเลย แต่ไม่เห็นอะไรนะ แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนสุดท้ายที่เจออะไรแปลกๆ ก็เลยคิดว่าเขาคงอยากให้อยู่ต่อ
ป.ล. คืนนั้นก็กูเกิลหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายอาการนั้น อ่านจนสบายใจแล้วก็หลับต่อ (จริงๆ เอา ‘ฮู้’ ที่แม่ให้มาแปะที่ประตูก่อน 5555)
9. นางตานี
เรื่องโดย : มนัญชยา เกลี้ยงทอง
อาชีพ : นักศึกษา
ตอนนั้นไปออกค่ายในโรงเรียนที่ต่างจังหวัด มีอยู่วันหนึ่งต้องใช้หยวกกล้วยมาทำงาน เลยวานให้เพื่อนไปตัดต้นกล้วยแถวๆ หลังโรงเรียนให้ ตอนเย็นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปข้างนอกค่ายกัน กว่าจะกลับก็ค่ำแล้ว ขากลับก็เข้าทางข้างหลังโรงเรียน (ไม่รู้อะไรดลใจให้เข้าทางนี้ เพราะปกติจะต้องเข้าข้างหน้า) สองข้างทางนี่มืดมาก มองไม่เห็นอะไรเลย
อยู่ๆ เพื่อนที่เป็นคนขับ ก็ตะโกน “เฮ้ย” แล้วมันก็หักหลบไปทางขวาจนมอเตอร์ไซค์ล้ม ตอนนั้นก็งงมันจะหลบทำไม ไม่เห็นมีอะไรซักอย่าง ก็เลยถามว่ามีอะไร แต่เพื่อนก็เงียบแล้วบอกว่าให้ไปเข้าทางข้างหน้าแทน ก็เลยคิดว่ามันต้องเห็นอะไรแน่ๆ
พอกลับถึงค่ายก็เลยถามเพื่อนว่าเมื่อกี้เห็นอะไร มันบอกว่า เห็นผู้หญิงคนนึงใส่ชุดไทยสีเขียวยืนอยู่ข้างหน้า แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมีเงาดำๆ วิ่งตัดหน้า มันก็เลยตกใจ หักหลบจนรถล้มเลย ตอนนั้นขนลุกมาก จนต้องรีบไปไหว้ขอขมาเขากัน
10. คลื่นวิทยุที่เปลี่ยนเอง
เรื่องโดย : แซม ยูธูป & Get Talks
เราเป็นคนไม่กลัวผี (นี่…ออกตัวแรงมาก เจอจริงๆ วิ่งไหม วิ่งสิ) แต่ชอบฟังเรื่องผีมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ชอบฟังเดอะช็อคมากๆ (ตอนนั้นชื่อรายการ Shock FM) ช่วงไหนอยู่ดึกๆ ก็จะเปิดรายการของพี่ป๋องฟัง และแนวเรื่องผีที่เราฟังแล้วจะชอบมากเป็นพิเศษคือผีที่ไม่ได้ปรากฎตัวออกมาแบบโฉ่งฉ่าง หรือพี่ตุ้งแช่แบบในหนังที่โผล่มาร้อง แฮร่!! ผ่าง!!! เปรี้ยง!! อ๊าง!! (ไม่เกี่ยว) นั่นแหละ เวลาจัดยูธูป ก็จะชอบเรื่องผีแนวนี้มากๆ เช่นกัน
ซึ่งเรื่องผีที่เคยได้ยินแล้วจำได้จนถึงวันนี้นั้น…ลืมไปแล้ว (เอ้า!!) แต่ตอนที่ได้ฟัง เราก็คิดนะว่า เชี่ย มันจริงเหรอวะ มันจะมีจริงเหรอ ผีมาทำของหล่นใส่ ผีปิดทีวี ผีปิดวิทยุ แต่แม่งหลอนดีนะ กระทั่งเรามาเจอกับตัวเอง
ขอเล่าสั้นๆ ละกัน (สามารถฟังเวอร์ชั่นเต็มที่ ยูธูป Ep.0 ผีอยู่รอบตัวเรา – ขายของ) คือผมกับเพื่อนสามคนทำงานปิดเล่มกันดึกๆ จู่ๆ ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกัน วิทยุก็เปลี่ยนจากเพลงปกติ เป็นซาวด์หลอนๆ แนวๆ ดนตรีไทย ตอนนั้นเราไม่ได้สังเกตอะไร กระทั่งเพลงมันก็ยังไม่หยุด จนเพื่อนในกลุ่ม สะกิดให้ฟัง ปรากฏว่าแม่งใช่!
ผมเลยรวบรวมความกล้าเดินไปดูที่วิทยุ (เป็นวิทยุแบบหมุนหาคลื่น) ปรากฏว่าเข็มมันไปอยู่ตรงสุดหน้าปัด ซึ่งไม่มีใครเลื่อน และถ้ามันเลื่อนจริงเวลาปกติวิทยุก็ต้องมีเสียงซ่าๆ ค่อกแค่กๆ เหมือนเรากำลังจูนหาคลื่น และอีกอย่าง สุดหน้าปัดมันไม่มีสถานี แล้วเสียงมาจากไหน ผมถอดปลั๊ก แล้วเสียบปลั๊กอีกรอบเพื่อจะพิสูจน์ว่าเสียงปริศนายังอยู่ไหม
เสียงที่ได้ยินคือ “ซ่าๆๆ…”
นี่แหละครับเรื่องที่ผมเจอกับตัวหลอนสัส
11. เขาคงมาหาเพื่อนเล่น
เรื่องโดย : ธเนศ รัตนกุล
อาชีพ : Content Writer
ตอนเด็กๆ ผมอยู่อำเภอหาดใหญ่ พ่อแม่เช่าบ้านเก่าๆ ไว้หลังหนึ่งเพื่อไว้พักเวลาทำธุระทางใต้ บ้านหลังนี้คนละแวกนั้นเล่าลือกันมาก เพราะเป็นบ้านเก่าแก่และมีคนตายในบ้านหลายครั้ง ซึ่งเพื่อนๆ วัยเด็กผมไม่กล้ามาเที่ยวบ้านสักคน และเรียกว่า ‘บ้านผี บ้านผี’
บรรยากาศหลังบ้านชวนเตลิดเช่นกัน เพราะติดกับป่ายาง ทุกๆ คืนจะได้ยินเสียงทิวต้นยางเสียดสีกันชวนบาดแก้วหู ยังไม่รวมถึงไอเย็นและความชื้นที่มาเยือนหลังพระอาทิตย์ตกดิน ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ ยังจำกลิ่นดินชื้นๆ หลังบ้านได้เลย
จำความว่าคืนนั้น ออกมาแปรงฟันหลังบ้านและมองไปยังทิวต้นยางทึบ (ซึ่งปกติไม่เคยมองไปเลย) แต่คืนนั้นดันมองไปในความมืดมิด ลมเย็นยะเยือกมาก จนต้องเร่งแปรงฟันให้เร็วกว่าเดิม หลังจากจัดแจงบ้วนปากเสร็จกำลังจะหันหลังกลับ ได้ยืนเสียงหัวเราะเล็กๆ แหลมๆ ดังมาจากทิวต้นยางมืดๆ สุดทางนั้น ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงกิ่งไม้เสียดสี แต่เหมือนเสียงหัวเราะมันเคลื่อนมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเป็นเสียงกิ่งไม้จริง ทำไมถึงมีเสียงกระดิ่งเล็กๆ ตามมาด้วยล่ะ และมันกำลังเคลื่อนที่มาหาผมโดยตรงผมเห็นร่างคล้ายเงาที่ออกมาจากความมืด เป็นเด็กผู้ชายตัวมอมแมม ผูกจุก และนุ่งผ้าถุง ทีแรกเขาค่อยๆ ก้าวออกมาช้าๆ แต่กลับเร่งฝีเท้าเรื่อยๆ จนกลายเป็นวิ่ง ตรงดิ่งมาหาผมเหมือนไม่ลังเลอะไรเลย
ตอนนั้นก้าวขาไม่ออก เสียงหัวเราะชัดกังวานมาก ร่างเด็กชายดูเหมือนโปร่งใส ผมมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เจ้าเด็กนั่นดูสนุกมากที่วิ่งตรงออกมาจากความมืด ก่อนจะถึงผมในอีกไม่กี่เมตร เด็กนั่นวิ่งทำมุมเฉียงเล็กน้อย วิ่งผ่านผมไปพร้อมไอเย็นยะเยือก แล้วหายทะลุไปจากกำแพงด้านหลังราวกับอากาศธาตุ
ผมอยู่ท่ามกลางความมืดกับความเงียบ ตอนนั้นไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย แต่รู้สึกร่างชาแปลกๆ หลังจากรู้สึกตัวก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน และเล่าประสบการณ์พิสดารให้ญาติๆ ที่บ้านฟัง
พวกเขามีความเห็นตรงกันว่า
“เขาคงมาหาเพื่อนเล่น”
12. ผีลูบหัว
เรื่องโดย : เอื้อบุญ จงสมชัย
อาชีพ : Content Writer
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ตอนนั้นเราอยู่ปี 1 ได้ยินมาว่าที่มหา’ลัยมีผีเยอะ ตามประสาคนกลัวผีเลยบอกแม่ว่าขออยู่หอพักข้างนอกนะ เราอยู่หอคนเดียว หอที่อยู่มีต้นไม้ขึ้นครึ้ม ร่มรื่นดี และที่หอเดียวกันนั้นมีเพื่อนร่วมคณะอยู่อีกประมาณ 2-3 ห้อง มีห้องนึง อยู่ไปแค่เดือนสองเดือน หรือเทอมเดียวนี่แหละก็ย้ายออก เราก็คิดเพียงว่าคงเพราะกฎเกณฑ์ของหอที่แม้จะเป็นหอนอกแต่ถ้ากลับดึกก็เข้าลำบาก ต้องเรียกพี่แม่บ้านมาเปิดประตูรั้วให้เท่านั้น
คืนหนึ่งช่วงปลายหน้าฝน พอทำงานเสร็จก็ปิดไฟเตรียมตัวนอน ระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มหลับไปนั้น ก็มีมือใครไม่รู้มาลูบหัว ตัวเรานี่เย็บวาบตั้งแต่หัวจรดปลายตีน กลัวก็กลัว แต่ก็รู้สึกว่าเค้าไม่ได้มาร้าย เพราะมือนั้นค่อยๆ ลูบหัวเราเบาๆ คล้ายกับกล่อมเราจนหลับไป แต่ก็อยู่หอนั้นต่ออีกตั้ง 3 ปี พอปี 4 ย้ายหอใหม่ เพื่อนที่คณะเลยเข้ามาคุยว่ารู้มั้ยที่ออกมาตั้งแต่เทอมแรกเลยเพราะเจอผี เห็นเราย้ายหอแล้วเลยเพิ่งกล้ามาเล่าให้ฟัง
13. โบกมือมา โบกมือกลับ ไม่โกง
เรื่องโดย : วรรษมน โฆษะวิวัฒน์
อาชีพ : กองบรรณาธิการ
เป็นเรื่องของรุ่นพี่เราคนหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เตรียมทำละครกัน วันเกิดเรื่อง พี่เขาไปถึงโรงละครตั้งแต่เช้าตรู่ พอมองขึ้นไปบนห้องคอนโทรลก็เห็นว่ามีคนกำลังโบกมือให้ พี่เขาเลยนึกว่าเป็นเพื่อนที่มาถึงก่อนเลยโบกมือกลับไป แต่พอเดินขึ้นไปหาบนห้องกลับไม่เจอใครสักคน แถมพอมาถามเพื่อนคนอื่นๆ ทีหลัง ก็ปรากฏว่าวันนั้นพี่เขามาถึงเป็นคนแรก ไม่มีใครอยู่ในโรงละครตั้งแต่แรกแล้ว
14. เขามาดี
เรื่องโดย : จิราภรณ์ บุญจันทร์
อาชีพ : ศิลปินพื้นบ้าน
สมัยมหา’ลัย ตอนดึกๆ จะเปิดวิทยุหรือคอม PC ทิ้งไว้ แล้วจะมีใครก็ไม่รู้มาปิดวิทยุปิดคอมให้ ซึ่งคอมตั้งโต๊ะมันไม่ใช่ระบบแบบโน้ตบุ๊คไง แล้วเป็นการปิดแบบกดปุ่มปิดด้วย แล้ววิชาไหนที่ต้องไปเรียนเช้าๆ ก็เหมือนมีคนมาปลุกให้เราไปเรียนทันเวลา หรือเวลาทำงานละครแล้วต้องมีการลงเสียง เคยเจอแบบอัดเสียงติดโดยที่ยังไม่ได้เปิดไมค์
15. วันนี้วันพระ
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ขยันงาน
อาชีพ : ยังไม่มีเพราะเพิ่งจบ
ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอายุประมาณ 19 ปี เพื่อนเห็นว่าเราชอบทำบุญทำทานเลยชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ เราก็ตกลงไปเพราะว่างพอดี วัดนั้นเป็นวัดชื่อดังมากสำหรับสายปฏิบัติธรรมเพราะสงบเนื่องจากตัววัดตั้งอยู่กลางเขา มีหมู่บ้านของชาวปกากะญออยู่ใกล้ๆ พอให้พระบิณฑบาตอยู่ 2-3 หมู่บ้านเล็กๆ คอร์สปฏิบัติธรรมที่เราเข้าร่วมเป็นคอร์สระยะสั้นเวลา 7 วัน ปิดวาจา ถือศีล 8 กินมังสวิรัติ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และห้ามอ่านหนังสืออื่นนอกเหนือจากหนังสือหลักปฏิบัติที่วัดแจกให้เพียงเล่มเดียว (หนามาก)
นอกจากเรากับเพื่อนอีกคน คนอื่นก็เป็นผู้ใหญ่หมด บางคนมาจากญี่ปุ่น บางคนบินมาจากอเมริกาเพื่อมาปฏิบัติธรรมที่นี่โดยเฉพาะ ด้วยความที่เป็นวัยรุ่น ทำให้การปฏิบัติธรรมแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อจิตใจและร่างกายมาก นั่งสมาธิและเดินจงกรมเฉลี่ยวันละ 17 ชั่วโมง ที่เหลือคือเวลากินข้าว 2 มื้อ กับเวลาอาบน้ำและนอนซึ่งมันเหนื่อยมากกกกกกก ผ่านไป 2 วัน เหมือนร่างกายและจิตใจเราก็ยังปรับไม่ได้ ฟุ้งซ่าน เจ็บปวดทรมานสังขารเหลือเกิน ดังนั้นช่วงเวลาแห่งความปิติคือเวลานอนซึ่งปกติคือ 5 ทุ่มถึงตี 4
ห้องนอนจะเป็นห้องเล็กๆส่วนตัวของใครของมัน เราเลือกห้องที่อยู่ริมสุดเพราะจะได้มีหน้าต่าง 2 ด้าน มีมุ้ง มีฟูก ห้องปูเสื่อน้ำมันสีทึบๆ เข้ากับตัวอาคารไม้เก่าๆ เพราะเป็นวัดที่อยู่กลางเขาอากาศจึงดีมาก มองออกไปจากหน้าต่างหลังห้องจะเป็นต้นมะขามสูงใหญ่ หลังจากต้นมะขามไปก็เป็นป่า มองจากหน้าต่างด้านข้างก็จะเป็นบริเวณหน้าวัดมืดๆ บนปลอกหมอนสกรีนบทสวดชินบัญชรเอาไว้ด้วย
ปกติก็สวด แต่คืนนั้นไม่สวดเพราะร่างพังมากเลยคลุมโปงแล้วฟุบหลับไปเพราะอากาศเย็น หลับไปสักพักรู้สึกเหมือนมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง สะดุ้งตื่นมาดูแต่ก็ไม่มีใครเลยนอนต่อ หลับไปสักพักได้ยินเสียงคนเดินเหยียบเสื่อน้ำมันข้างๆมุ้ง เราลืมตาตื่นขึ้นมาแต่ไม่กล้าเปิดผ้าห่มออกไปดูเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่จังหวะเดินปกติ เสียงเหยียบเสื่อน้ำมันในห้องยังคงดังอยู่เรื่อยๆเหมือนเดินวนรอบห้อง ซวบ! ซวบ! เนิบช้าเหมือนคนที่เดินอย่างระมัดระวัง คืนนั้นอากาศเย็นมากแต่เราเหงื่อโทรมตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หัวใจเต้นรัวเหมือนกลอง เรารวบรวมความกล้าเปิดผ้าห่มออกมาดูให้เห็นกับตา แต่ห้องก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เงียบเชียบ แต่ความกลัวภายในใจปะทุขึ้นมากกว่าเดิม เราตัดสินใจเดินไปหาเพื่อนที่ห้องเรียกให้มานอนเป็นเพื่อน
เพื่อนสะลึมสะลือเดินตามมา พอถึงห้องเรามันก็หลับทันทีแต่อย่างน้อยก็อุ่นใจล่ะ แต่ก็คลุมโปงนอนเหมือนเดิม พอจะหลับเท่านั้นแหละได้ยินเสียงคนเดินอยู่ด้านนอกอาคาร เดินลากเท้ายาวๆ มาจากแถวลานหน้าวัด แล้วมาหยุดที่ข้างห้องเรา เสียงลากเท้าเงียบหายไป เราภาวนาให้ทุกอย่างจบลงสักที แต่ยังไม่ทันพ้นความคิด เสียงกลอนหน้าต่างข้างห้องดังก๊องแก๊งๆ เหมือนมีใครมาจับเล่น ห้องเราอยู่ชั้น 2 ใครที่สูงพอจะจับถึงก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง “พุทโธๆๆๆๆ ไปไหนก็ไป ไป๊!” เราไล่อะไรก็ตามแต่ที่มากวนเราด้วยอารมณ์โกรธปนกลัว