เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืนกับ Apple Special Event หรืออีเวนต์พิเศษประจำเดือนกันยายนของแอปเปิล (Apple) แน่นอนว่าทุกครั้งที่แอปเปิลจัดงานขึ้นมา แฟนๆ แอปเปิลและชาวเทคฯ ต่างก็ตั้งตารอดูการพรีเชนต์ที่น่าดึงดูด และโปรดักต์ใหม่ๆ ที่จะมีออกมาให้ได้ใช้ในเร็ววัน
สำหรับใครที่ไม่ได้นั่งดูตัวงานเมื่อคืน เพราะกลัวนอนดึก หรืออาจจะดูได้ไม่ครบ The MATTER มาสรุปให้แล้วว่า หลังจากนี้แอปเปิลจะปล่อยของอะไรออกมาบ้าง ซึ่งก็ทั้งมีอัพเดตใหม่จากโปรดักต์ที่เกริ่นไว้บ้าง เช่น Apple TV+ ตามมาด้วยสมาร์ทโฟนตัวใหม่ที่หลายคนรอคอยอย่าง iPhone 11
Apple Arcade
เริ่มกันที่ Apple Arcade ระบบให้บริการเกมที่แอปเปิลเคยเปิดตัวไปแล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบ Apple Arcade ก็จะคล้ายๆ กับ Netflix แต่คอนเทนต์จะเปลี่ยนจากหนังและซีรีส์มาเป็นเกมแทน โดยจะมีปุ่ม ‘Arcade’ เพิ่มขึ้นมาในแอพสโตร์ ความต่างระหว่างซื้อเกมแยกเลยตรงๆ คือ ถ้าเป็นสมาชิก Apple Arcade เราจะสามารถเล่น ‘ทุกเกม’ ในสโตร์ได้บนทุกแพลตฟอร์มของแอปเปิล ส่วนเรื่องคุณภาพเกมคงไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก เพราะแอปเปิลไปจับมือกับนักพัฒนาเกมหลายเจ้าเพื่อทำเกมเอ็กซ์คลูซีฟร่วมกัน ที่ดังๆ และคุ้นเคยดีก็เช่น Konami, Capcom, Sega, Gameloft และ Ubisoft
Apple Arcade มาพร้อมกับราคาครอบครัวที่ 99 บาท/เดือน ซึ่งเราทดสอบใช้ก่อนได้ฟรีหนึ่งเดือน เปิดให้ใช้พร้อมกันวันที่ 20 กันยายนนี้
Apple TV+
ตลาดให้บริการหนัง สารคดี และซีรีส์ นับว่ามีมูลค่ามหาศาล แอปเปิลเองก็อยากจะลงมาเล่นในสนามนี้ด้วย Apple TV+ คือบริการสตรีมมิ่งที่เปิดตัวมาพร้อมออริจินัลคอนเทนต์ ซึ่งแอปเปิลไปดึงทั้งดนดังและผู้กำกับมากฝีมือมาร่วมงานด้วย เช่น รายการทอร์กโชว์โดยโอปราห์ วินฟรีย์ หรือซีรีส์เรื่อง See จากโปรดิวเซอร์หนังไตรภาค The Planet of the Apes
บริการ Apple TV+ มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 4K HDR และคุณภาพเสียง Dolby Atmos ดูได้ทุกแพลตฟอร์มของแอปเปิลสำหรับสมาชิกสูงสุดหกคน แล้วถ้าใครซื้อสินค้าใหม่ของแอปเปิลก็จะได้ดูฟรีเลยหนึ่งปี หลังจากนั้นราคาอยู่ที่ 99 บาท/เดือน
แต่ที่ต้องดูกันต่อไปคือ แอปเปิลจะวางตัวเองในตลาดตรีมมิ่งแบบไหน เพราะ Netflix อยู่ในวงการมานานพอสมควร ส่วน Disney+ ที่ใกล้จะมาก็มีคอนเทนต์ของตัวเองเตรียมรอปล่อยอยู่แล้ว บริการ Apple TV+ ที่ต้องซื้อกล่อง Apple TV มาก่อนถึงจะดูได้ผ่านทีวี (ถ้าไม่มี Mac, iPad หรือ iPhone) จึงเหมือนตามหลังคนอื่นอยู่ตอนนี้
iPad 7th generation
งานนี้น่าจะมีคนหลังหักกันไปบ้าง เพราะ iPad เจเนอเรชั่นใหม่มาพร้อมราคาเริ่มต้นแค่ 10,900 บาท เลือกได้สามสี (เงิน เทาสเปซเกรย์ และทอง) ด้วยหน้าจอเรตินาเหมือนเดิม ขนาด 10.2 นิ้ว (ราคาเพิ่มตามความจุและคุณสมบัติเชื่อมต่อเซลลูลาร์) ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล กับระบบปฏิบัติการณ์เฉพาะตัว iPadOS ที่ฟีเจอร์แบ่งหน้าจอและการจัดการแอพฯ พัฒนาขึ้น ตัววัสดุเป็นอลูมิเนียมรีไซเคิลได้ 100%
แต่ใครที่ซื้อรุ่นก่อนหน้าไปก็ไม่ต้องเสียใจมาก เพราะ iPad ตัวนี้ใช้ชิพ A10 Fusion ต่างจากรุ่นอื่นๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.2018 ที่ใช้ชิพ A12 ขึ้นไป อีกอย่างคือเครื่องที่เพิ่งเปิดตัวรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1)
Apple Watch Series 5
นาฬิกา smart watch ตัวใหม่ แต่หน้าตาไม่ต่างจากเดิม ฟีเจอร์ที่มีเพิ่มมาคือหน้าจอเรตินาแบบเห็นตลอด ทีนี้เราก็ไม่ต้องพลิกแขนขึ้นมาดูหน้าจอถึงจะ (เหลือบๆ มองได้) เพิ่มเซนเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้า เพิ่มเข็มทิศมาให้ ระบบความปลอดภัยทางสุขภาพที่พัฒนาขึ้น ตัวประมวลผลใหม่ S5 และเลือกซื้อสายรัดข้อมือได้หลากหลายกว่าเดิม
ที่น่าจับตามองคือ Research App ที่แอปเปิลร่วมพัฒนางานวิจัยผ่านการเก็บข้อมูลจากตัว Apple Watch และส่งให้กับนักวิจัยในสถาบันชั้นนำ เพื่อส่งเสริมให้งานวิจัยมีคุณภาพและแม่นยำ ซึ่งถ้าใครไม่สะดวกให้ข้อมูล เป็นห่วงความเป็นส่วนตัวของตัวเอง แอปเปิลบอกว่าตรงนี้ปรับได้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าปรับได้ขนาดไหน
Apple Watch Series 5 ยังไม่เปิดราคาทางการ แต่ประเมินไว้ว่าราคาอยู่ที่ 13,400 บาท (รุ่น GPS) และ 16,900 (รุ่น GPS + Cellular) ตัวเครื่องมีสามสี เงิน เทาสเปซเกรย์ และทอง
iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
มาถึงพระเอกหลักของงาน iPhone รุ่นใหม่ของแอปเปิลทำออกมาสามสเปกคือ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max แอปเปิลบอกว่าคราวนี้มาพร้อม “stunning new design” (ที่สาวกแอปเปิลหลายคนอาจจะสตั๊นนิดนึงตอนเห็นแวบแรก) คู่กับชิพตัวใหม่ A13 Bionic ใช้ machine learning บวกกับ low-power design ทำให้ CPU และ GPU ประมวลผลได้เร็วขึ้น เปลืองพลังงานน้อยลง แต่คำถามที่ยังคาใจคือ อัพเกรด iOS แล้วเครื่องจะช้ารึเปล่า
iPhone 11 มีขนาดจอ Liquid Retina HD 6.1 นิ้ว ด้านหลังเป็นกล้องคู่ความละเอียด 12MP แบบอัลตร้าไวด์และไวด์ ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps แถมยังมีระบบเสียง Dolby Atmos รอบทิศทาง และการถ่ายสโลว์โมชั่น ซึ่งถ้าเทียบกันตรงๆ กับ iPhone XR เมื่อปีก่อนที่มีเพียงกล้องเดี่ยว 7 MP สมาร์ทโฟนตัวใหม่ก็ถือว่ามีคุณสมบัติโอเคขึ้น และราคาเปิดตัวถูกลงกว่าเดิมที่ 24,900 บาท (iPhone XR เปิดตัว 29,900 บาท) มีสีให้เลือกคือ ขาว ดำ เขียว เหลือง ม่วง และแดง
สำหรับทางฝั่ง iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ก็มีความต่างกับ iPhone XS และ iPhone XS Max ของปีที่แล้วอยู่บ้าง เห็นได้ชัดเลยคือ มีกล้องเทเลโฟโต้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวที่ด้านหลัง อัพจาก 7 MP เป็น 12MP พร้อมโหมดกลางคืนและโหมดประภาพด้วย AI และแบตที่ถึกขึ้น ขนาดจอก็ยังคงเหมือนรุ่นที่แล้ว (5.8 และ 6.5 นิ้วตามสเปก) สุดท้ายที่น่าจะทำให้ชื่นใจได้คือราคาเปิดตัวไม่โหดเท่าปีก่อน โดย iPhone 11 Pro เริ่มต้น 35,900 บาท ส่วน iPhone 11 Pro Max เริ่มต้น 39,900 บาท มีสีให้เลือกคือ เงิน เทาสเปซเกรย์ ทอง และมิดไนท์กรีน