ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตรนอกชั้นบรรยากาศ ไม่ได้มีเพียงมีดาวเคราะห์ที่รอให้มนุษย์ออกไปสำรวจเท่านั้น แต่ยังมีขยะอีกนับล้านชิ้นที่ห่อหุ้มโลกไว้ แถมนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาที่กำลังคุกคามดาวเทียมและยานอวกาศทั่วโลก
สำหรับคนที่อยู่บนพื้นโลกอาจนึกภาพไม่ออกว่า ขยะนอกอวกาศจะสร้างปัญหาอย่างไร แต่หากบอกว่าถ้าจู่ๆ วันหนึ่งเราต้องใช้ชีวิตในโลกที่ไร้อินเทอร์เน็ต ไม่มี GPS ไว้ดูเส้นทาง การสื่อสารจะยากขึ้นกว่าเมื่อก่อน หลายคนคงนึกถึงความโกลาหลที่ตามมาได้ทันที แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าต้นเหตุของความวุ่นวายนี้อาจเกิดขึ้นจากเศษขยะชิ้นเท่าลูกแก้วที่ลอยเคว้งคว้างในอวกาศ ซึ่งสามารถทำลายดาวเทียมได้ภายในพริบตา
ทั้งหมดที่ว่ามาคือปัญหาใหญ่ที่ ไปป์—ธาวัน อุทัยเจริญพงษ์ ชายตรงหน้ากำลังอธิบายให้เราฟัง เขาคือวิศวกรไทยผู้ออกแบบหุ่นยนต์เก็บขยะ ที่ Clear Space องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อจัดการปัญหาขยะอวกาศ
หลังจากที่เขาเพิ่งลงจากเวที TEDxBangkok 2025 ในฐานะสปีกเกอร์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราไม่รอช้ารีบติดต่อไปป์เพื่อพูดคุยถึงเส้นทางการเป็นวิศวกรเทคโนโลยีอวกาศ จนถึงวิธีการจัดการกับขยะที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ซึ่งเราไม่เคยคาดคิดถึงมันมาก่อน ว่าขยะอวกาศเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้เราได้ขนาดไหนกัน
เรานัดพูดคุยหนึ่งวันหลังจากนั้นผ่านวิดีโอคอล บทสนทนาค่อยๆ ไหลไปอย่างเชื่องช้า แต่เพราะความไม่รีบร้อน ทำให้คำตอบไปไกลเกินกว่าหุ่นยนต์เก็บขยะธรรมดา นับตั้งแต่ความหลงใหลในสิ่งประดิษฐ์ตั้งแต่ 10 ขวบ การเข้าความฝันด้วยทุน Erasmus Mundus แม้ในไทยจะยังไม่มีพื้นที่สำหรับหุ่นยนต์อวกาศมากพอ จนถึงปัญหาขยะอวกาศที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจัดการให้หมดไปได้ง่ายๆ
แต่ก่อนที่จะไปไกลถึงอวกาศ เราชวนเขาย้อนกลับไปถึงจุดตั้งต้น ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่แผงวงจรเล็กๆ เพียงแผงเดียว

1
เวลาบ่ายโมงตรง วิศวกรหนุ่มปรากฎตัวขึ้นบนหน้าจอแล็ปท็อปตรงหน้าได้ตรงเวลาพอดี แม้เราเพิ่งพบกันไปแล้วเมื่อวันก่อน แต่เพราะตารางงานที่ค่อนข้างแน่นจึงทำให้เราไม่ได้คุยกันต่อหน้าไปอย่างน่าเสียดาย ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถพูดคุยกับเขาได้อีกครั้ง
เราเริ่มคำถามง่ายๆ อย่างความฝันของเขาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ปกติแล้วเด็กๆ น่าจะฝันถึงสิ่งที่ตัวเองเคยพบเจอมาก่อน คำตอบโดยทั่วไปก็คงไม่พ้น คุณครู นักฟุตบอล หรือนักขับรถ แต่อะไรหนอที่ทำให้คนคนหนึ่งอยากโตขึ้นมาเป็นนักประดิษฐ์สร้างหุ่นยนต์ได้
คนตรงหน้าเริ่มตอบอย่างเรียบง่าย เริ่มแรกเขายังไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าการเป็นนักประดิษฐ์ต้องเริ่มต้นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าตอนเด็กๆ ชอบประดิษฐ์ของเล่นใช้เอง จน ม.ปลาย ได้ไปลองค้นคว้าดู ก่อนจะรู้ว่าเส้นทางที่ทำให้เขาเป็นนักประดิษฐ์ได้มีอยู่ 2 สาย นั่นคือสายสถาปัตยและสายวิศวกรรม ประจวบกับเขาทำคะแนนวิชาเลขและฟิสิกส์ได้ดีกว่าการวาดรูป นั่นทำให้เขาเลือกไปสายวิศวะอย่างไม่ต้องสงสัย
ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยราว 10 ขวบ ไปป์เล่าว่าเขามีพี่น้อง 3 คน นั่นคือ พี่สาว ตัวเขา และพี่ชายฝาแฝด ทำให้เขาต้องแบ่งของเล่นกับพี่ชายที่เกิดวันเดียวกันบ่อยๆ จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มประดิษฐ์ของเล่น ในบ้านที่ไม่มีใครเรียนสายวิศวะเลยแม้แต่คนเดียว
“ตอนประมาณ 8-10 ขวบ มันก็จะมีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อยู่เล่มหนึ่งที่มีแผงวงจรติดมา ซึ่งคุณสามารถเอามาประกอบได้ แค่ซื้อหัวแร้งกับตะกั่วบัดกรีมาประกอบเป็นในไดโนเสาร์เดินดุ๊กดิ๊กๆ มีไฟกระพริบ ง่ายๆ แล้วพ่อแม่ผมเรียนนิเทศน์ ทั้งตระกูลไม่มีใครเรียนวิศวกรหรือสายวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่คนเดียว เลยไม่มีใครรู้เกี่ยวกับวิศวกรหรือการต่อวงจร
“พอผมกับพี่ชายฝาแฝดสนใจทางด้านนี้ แม่ก็ไม่รู้ทำยังไง ซึ่งตอนนั้นมันไม่มีโรงเรียนสอนหรอก เลยติดต่อสำนักพิมพ์ และได้ไปเจอกับคนที่เขียนเรื่องนี้ เขาบอกว่า โอเค ถ้าคุณอยากเรียนนะ ให้ไปโรงเรียนแสงทองโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่คนซ่อมโทรทัศน์กัน แม่ก็ส่งไปเรียน ตอนนั้นเราเป็นเด็ก 10 ขวบ เข้าไปเรียนมันก็แบบงงๆ” พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา
จากความสนุกในวัยเด็กนำทางให้ไปป์ได้เข้าเรียนในคณะที่เขาตั้งใจ อย่าง วิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ ที่มหาวิทยาลัยลาดกระบัง และเขาก็ได้เป็นนักประดิษฐ์หุ่นยนต์ตั้งแต่นั้นมา

“ตอนปริญญาตรี ผมก็ไปเข้าชมรม Electronic เพราะตอนนั้นมันไม่มีชมรมหุ่นยนต์ แต่ว่าพี่ชายฝาแฝด เขาเรียนที่จุฬาฯ ซึ่งมีชมรมหุ่นยนต์อยู่ เขาก็เลยชวนผมไปที่ชมรมหุ่นยนต์ของจุฬาฯ ทั้งๆ ที่ใส่ช็อปลาดกระบังนี่แหละ ผมก็ไปเดินทางไปจุฬาฯ ทุกอาทิตย์เลย ซึ่งเขาก็ยินดีให้ช่วยนะ เพราะว่าที่จุฬาฯ คนทำน้อย อย่างที่รู้กันว่าจุฬาฯ สมัยนั้นไม่ค่อยมีคนทำปฏิบัติหรอก ส่วนมากจะเป็นวิศวะสายทฤษฎีมากกว่า
“ตอนนั้นจะเป็นหุ่นยนต์เตะฟุตบอล มีฝั่งละ 3 ตัว แล้วก็เตะลูกกอล์ฟ พยายามรับส่งลูกบอล พยายามเลี้ยงลูกบอลไปยิงประตู ทำตามกฎฟีฟ่าทุกอย่าง ก็เลยได้รู้จักหุ่นยนต์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ว่ามันทำงานยังไง มีทฤษฎีอะไรบ้าง”
แม้จะได้ทำหุ่นยนต์อย่างที่ตั้งใจ แต่หุ่นยนต์อวกาศก็ยังถือว่าไกลตัวสำหรับนักศึกษาวิศวกรรมปี 4 จนกระทั่งช่วงสุดท้ายของการเรียน ในปี 2004 ข่าวนาซาส่งหุ่นยนต์สำรวจดาวอังคาร อย่าง Spirit กับ Oppotunity Rover จุดประกายความฝันใหม่ให้ไปป์อย่างการสร้างหุ่นยนต์อวกาศ และได้ลงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศมากขึ้น ด้วยทุน Erasmus Mundus
“หุ่นยนต์ spirit กับ Oppotunity Rover ผมคิดว่ามันเป็นหุ่นยนต์ที่น่าจะเจ๋งที่สุดในยุคนั้นละ ก็เลยหาทุนเรียนด้วย ปรากฏว่าผมทำงานอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ยังไม่พ้นโปรเลย ก็ได้ข่าวว่าทุน Erasmus Mundus มีโควตานักเรียนจากเอเชีย บวกกับมันเป็นหลักสูตร Space Science Technology ในส่วนของ Space Technology ก็จะเป็น Space Robot ก็เลยทำให้ผมสมัครไป เพราะว่าสนใจอยากทำหุ่นยนต์ไปดาวอังคาร”
และแล้วทุนนี้ก็ทำให้เขาขยับเข้าใกล้ความฝันมากขึ้นอีกขั้น
2
ไปป์เล่าว่าการได้ทุน Erasmus Mundus ถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งใหญ่ แถมยังเป็นช่วงที่เขาประทับใจมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการได้เรียน 3 ประเทศ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก อย่าง เยอรมัน สวีเดน และฟินแลนด์ หรือแม้แต่การได้เรียนร่วมกับหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก
“ความยากก็คือผมต้องไปเรียนปริญญาโทในสาขาที่เราไม่ได้เรียนมาโดยตรง ผมเรียนปริญญาตรีทาง ด้านแมคคาทรอนิกส์ ซึ่งก็จะเป็นสายหุ่นยนต์โรงงาน แต่ว่าพอไปเรียนสายอวกาศที่ไม่ได้มีพื้นฐานด้านนี้ก็ด้อยกว่าเด็กยุโรป คนที่ผมเรียนด้วยคือ 30 คนก็ได้ทุนเหมือนผม เพราะฉะนั้น 30 คนนี้เป็นตัว Top จากมหาวิทยาลัยทั่วโลกมารวมกัน แล้วก็ต้องมาตัดเกรดแข่งกัน ผมเครียดมาก เรียนหนัก แต่ว่าชีวิตก็สนุกดี ลุยๆ หน่อย”
แม้ไปป์เรียนจบด้านนี้โดยตรง แถมด้วยประสบการณ์เต็มหน้ากระดาษ แต่ใช่ว่างานด้านอวกาศจะหาได้ง่ายๆ เขาจึงเริ่มต้นเก็บประสบการณ์จากการชักชวนของเพื่อน และเริ่มทำงานด้านอวกาศครั้งแรกด้วยการสร้างดาวเทียม ที่มหาวิทยาลัยนันยาง สิงคโปร์
“หลังจากที่จบปริญญาโท ผมยังหางานทำที่ต่างประเทศไม่ได้ ก็กลับมาทำงานที่ไทยก่อน 2 ปี อยู่ที่ Seagate บริษัท HardDisk Drive แต่เป็นหุ่นยนต์โรงงาน จนเพื่อนสิงคโปร์ที่เรียนด้วยกันตอนปริญญาโทเขามาชวน บอกว่าต้องการคนช่วยงานทำดาวเทียมที่สิงคโปร์ ผมก็เลยได้ไปทำดาวเทียม 3 ดวง เป็นดาวเทียมขนาดเล็กดวงแรกของสิงคโปร์ ในยุคนั้นทำโดยคนเวียดนามกับคนไทย” พูดจบเขาก็หัวเราะ
ผ่านไป 3 ปี ไปป์อยากทำงานด้านอวกาศที่ยิ่งใหญ่ และซับซ้อนมากขึ้น เขาจึงสมัครงานใหม่ และได้ทำกล้องโทรทรรศน์อวกาศสำรวจดาวอังคาร ที่มหาวิทยาลัยเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นกล้องที่โครจรอยู่รอบดาวอังคาร เพื่อถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารสำหรับทำแผนที่ หรือสำรวจสิ่งมีชีวิตบนดาว แต่เพราะเป็น โปรเจ็กต์ที่มีระยะเวลากำหนด หลังจากจบโปรเจ็กต์เขาจึงต้องกลับมาทำงานที่ไทยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่งานที่อวกาศอย่างที่ตั้งใจ หากเป็นงานต้องก้มหน้ามองผืนดิน อย่างการประดิษฐ์โดรนการเกษตร

“หลังจากนั้นเลยกลับมาทำที่ไทย ไม่มีงานทางด้านอวกาศ ก็เลยไปกลับไปหารุ่นพี่ทีมหุ่นยนต์ที่จุฬาฯ เลยได้ไปทำงานกับเขา ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่มีงานทำเหมือนกัน ทั้งที่เขาได้ทุนไปญี่ปุ่น แต่ว่าเขาเก่งกว่า เขาบอกว่า โอเค ถ้ามันไม่มีบริษัทหุ่นยนต์ในประเทศไทย เดี๋ยวกูสร้างเอง”
“ตอนที่ทำกับรุ่นพี่สุดท้ายมันกลายเป็นโดรนพ่นสารเคมีสำหรับการเกษตร ในนาข้าว ในไร่อ้อย แล้วก็โดรนถ่ายภาพด้วย แต่ตอนนั้นยุคแรกๆ ที่ DJI (บริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านโดรนและระบบกล้อง) ยังไม่ดังมาก เราก็พอสู้ได้ เป็นคนทำโดนการเกษตรตั้งแต่ต้นยันจบเลย ในไทยยังไม่มีใครทำ เขาออกแบบ ทดสอบสร้าง สอนให้คนใช้โดรนเป็น แล้วก็เริ่มไลน์การผลิตโดรนออกมาขาย”
ไปป์เล่าว่าสำหรับประเทศไทย อย่าว่าแต่งานด้านอวกาศ เพียงแค่งานด้านหุ่นยนต์ก็ยังหาได้ยาก สาเหตุเป็นเพราะต้นทุนการพัฒนาเองสูงกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่สามารถตั้งราคาได้ถูกกว่าครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นเพราะงานสายนี้ยังเป็นการเน้นใช้คนของตัวเอง จึงทำให้คนภายนอกเข้าไปได้ยากขึ้น
“ผมก็พยายามไปโผล่หัวตามงาน Space ต่างๆ อยากทำดาวเทียมไหม เราเคยทำนะ อยากทำกล้องโทรทัศน์ดาวอังคารมั้ย ผมเคยทำ สุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจ” เขาพูดพลางหัวเราะ “มันยังเป็นอาชีพของอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือว่าเป็นนักศึกษาถึงจะได้ทำงานตรงนั้น มันไม่ใช่เป็นงานของบริษัทเอกชน สุดท้ายเราก็เลยได้ไปทำโดรน การเกษตรได้ไปเที่ยวทั่วประเทศเลย”
ความฝันด้านหุ่นยนต์อวกาศยังไม่หมดไป จนกระทั่งปีที่ 7 ของการทำงานด้านโดรนการเกษตรในไทย เขาจึงสมัครงานที่ Clear Space บริษัทด้านการจัดการขยะอวกาศจากอังกฤษ ที่กำลังมองหาคนที่เคยทำงานด้านหุ่นยนต์ และประสบการณ์ด้านอวกาศ เอาเป็นว่าแม้จะซิกแซกมานาน แต่สุดท้ายเส้นทางทั้งหมดก็นำทางมาสู่หุ่นยนต์อวกาศที่เขาตั้งใจไว้ในที่สุด
3
เราหยุดพักเล็กน้อย หลังจากที่ฟังเส้นทางกว่าจะเขาจะเริ่มทำงานด้านอวกาศ น่าเสียดายที่ไทยยังไม่มีตำแหน่งงานด้านนี้มากพอ จึงทำให้คนที่สนใจต้องออกไปแสวงหาโอกาสในต่างประเทศแทน
พอได้จังหวะเราเริ่มถามถึงประเด็นที่เราสนใจมากที่สุด อย่างปัญหาขยะอวกาศ ขยะเหล่านี้มาจากไหน แล้วทำไมจึงเป็นภัยคุกคามกับโลกอยู่ตอนนี้ สิ่งที่น่าตกใจมันไม่ใช่เพียงแค่ขยะที่ลอยเคว้งคว้างอยู่เฉยๆ หากแต่มันกลับลอยอยู่ในวงโคจรที่ห่อหุ้มโลกไว้อย่างหนาแน่น แถมยังสามารถเพิ่มจำนวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากการชนกันได้ด้วย ทำให้ปัญหาขยะอวกาศรุนแรงเกินกว่าจะจัดการให้หมดไปภายในเวลาอันสั้น
“ขยะอากาศเกิดจากการส่งดาวเทียมของมนุษย์ ปกติแล้วการส่งขึ้นไปหนึ่งครั้ง จะมีขยะเกิดขึ้นมา 6 ชิ้น โดยมี 3 ชิ้นที่ยังคงลอยอยู่ในวงโครจร ซึ่งชิ้นส่วนจรวดนี้ถ้าเราทิ้งไว้เฉยๆ ข้างในมันมีสารเคมีอยู่ 2 ชนิด ถ้าสารเคมี 2 ชนิดนี้มาผสมกัน หากในจรวดยังมีก๊าซเหล่านี้หลงเหลืออยู่ มันสามารถเกิดแรงระเบิด จนกระจายกลายเป็นเศษเล็กๆ ราว 500 ชิ้น
“ที่ Clear Space เราเก็บได้แค่ขยะชิ้นใหญ่ ส่วนขยะชิ้นเล็กๆ 1 ล้าน 200 แสนกว่าชิ้นที่มันโคจรอยู่รอบโลก เราไปเก็บไม่ได้ ไอ้เศษเล็กๆ ขนาดเท่าลูกแก้ว ถึงขนาดมันจะแค่ 1 เซนติเมตร แต่ว่ามันวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ต่ำสุดก็ 36,000 กม./ชม. หรือหนึ่งวิมันก็วิ่งแล้ว 10 กม. มันจะมีพลังเท่ากับระเบิดมือหนึ่งลูก ถ้าชิ้นพวกนี้มันอาจชนกับดาวเทียม หรือแผงโซลาร์เซลล์ ก็อาจพังเสียหายได้ หรือชนกับสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งเขาคำนวณมาให้ถูกสิ่งนี้ชนได้หนึ่งครั้ง พุ่งแรกอาจนักบินอวกาศอาจจะหนีทัน แต่ถ้ามันมาลูกที่ 2 ก็อาจไม่รอด
“ดังนั้นแล้วเศษขยะเหล่านี้ก็จะทำให้เราส่งดาวเทียมขึ้นไปใหม่ไม่ได้ เพราะส่งขึ้นไปก็ต้องขยะชน กลายเป็นขยะเพิ่มขึ้นไปอีก โดยปกติดาวเทียมพอใช้ไปสักพักประมาณ 10-15 ปี สักพักก็จะหมดอายุลง แล้วถ้าเราส่งอันใหม่ขึ้นไปไม่ได้ สุดท้ายเราก็ไม่มีดาวเทียมใช้ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณ ดู TikTok ไม่ได้ ดู GPS ไม่ได้ เศรษฐกิจก็จะพัง ซึ่งบริษัทผมก็พยายามที่จะลดขยะชิ้นใหญ่ๆ เอาดาวเทียมที่ไม่ใช้แล้วออกจากวงโคจร มันจะได้ลดความเสี่ยงในการชน”
การเก็บขยะดาวเทียมเก่าๆ เหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไปป์อธิบายเพิ่มว่ามีอยู่ 2 วิธี คือหนึ่ง ใช้หุ่นยนต์ซึ่งมีกรงเล็กเหมือนที่คีบตุ๊กตา ลอยเข้าเข้าไปกอดขยะเป้าหมายไว้ แล้วพาลงสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยกัน จนขยะชิ้นนี้ถูกชั้นบรรยากาศเสียดสี และเผาไหม้จนหายไป ก่อนที่หุ่นยนต์เก็บขยะจะเร่งความเร็วลอยขึ้นมา เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกตกลงสู่โลกไปด้วย ส่วนวิธีที่ 2 คือ การใช้หุ่นยนต์เข้าไปประกบกับดาวเทียมที่หมดอายุแล้ว เพื่อเป็นเครื่องยนต์สำรอง ยืดอายุให้ดาวเทียมเดิมยังใช้งานต่อไปได้อีก 5-10 ปี ซึ่งช่วยลดการส่งดาวเทียมใหม่ขึ้นไป ได้

ความยากของการเก็บขยะเหล่านี้คือการควบคุมดาวเทียม เนื่องจากดาวเทียมที่หมดอายุแล้วมักทรงตัวไม่ได้ ถึงตรงนี้ไปป์ไม่พูดเปล่า เขาหยิบปากกาไฮไลต์สองแท่งขึ้นมาสาธิตวิธีการหมุนของวัตถุเมื่ออยู่นอกโลก เพื่อให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ลอยอยู่นิ่งๆ หากแต่หมุนสะเปะสะปะหลายแกน การเก็บขยะชิ้นหนึ่ง หุ่นยนต์เก็บขยะเองก็ต้องหมุนไปพร้อมกับขยะในทิศทางเดียวกันด้วย เพื่อไม่ให้ขยะเหล่านี้เสียหาย จนแตกสลายเป็นขยะอีกเท่าตัว
เราพยักหน้าหงึกๆ พร้อมนึกภาพตามถึงหุ่นยนต์เก็บขยะที่กำลังทำงานอยู่ท่ามกลางเศษชิ้นส่วนดาวเทียมนับล้าน แถมแต่ละชิ้นยังไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ อีก แล้วแบบนี้ขยะอวกาศจะสามารถหมดไปได้จริงหรือ เราถามสิ่งที่คาใจออกไปทันที
“มันไม่ลดหรอก” ไปป์ตอบพลางหัวเราะ ชวนให้เราผิดหวังเล็กน้อย “แต่มันเป็นการทดสอบไอเดียมากกว่า เหมือนทดสอบความสามารถว่า ฉันสามารถเก็บขยะในอวกาศได้ ถ้ามันเวิร์กเราก็ค่อยสร้างดาวเทียมที่มันใหญ่กว่านี้ เก็บได้เยอะกว่านี้เป็นต้น
“เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ หน่วยงานอวกาศนานาชาติ จึงเริ่มออกกฎมาเพื่อที่จะลดขยะลง ดาวเทียมใหม่ๆ เขาจะบังคับว่า ถ้าอยากส่งดาวเทียมใหม่ขึ้นไป หน่วยงานนั้นต้องเขียนแผนด้วยว่า ถ้าดาวเทียมพลังงานหมด คุณจะกำจัดตัวเองออกไปจากวงโคจรได้ยังไงบ้าง ซึ่งมี 2 ทาง คือ เราอาจจะบอกว่าดาวเทียมเราจะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกเอง หรืออีกทางคือบังคับให้ตัวเองลอยไปใส่ดวงจันทร์หรือดาวอังคารอะไรก็ว่าไป ซึ่งถ้าทุกคนก็ทำตามกฎขึ้นมาอนาคตขยะมันก็จะลดลงเอง
“อย่างไรก็ตามขยะเดิมมันก็ยังมีอยู่ หรืออาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะว่าดาวเทียมเก่ามันชนกัน ดังนั้นในอนาคตการส่งดาวเทียมก็อาจจะยากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นข้อเสียของประเทศไทยที่เป็น slow mover หรือเปล่า คนอื่นก็มีดาวเทียมกันเยอะแล้ว เราเพิ่งสร้างดาวเทียม แต่เราต้องมาแบกรับภาระที่กฎหมายใหม่ขึ้นมาด้วย” ไปป์เล่าถึงความน่ากังวลที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

Crowded space: debris from the collision may place other satellites in danger (Source: ESA)
4
หากมีเด็กคนไหนบอกว่าโตขึ้นอยากเป็นนักบินอวกาศ เราอาจอดยิ้มอย่างเอ็นดูในความไร้เดียงสาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่หลายคนทราบดีว่าเส้นทางนี้ยากลำบากกว่าที่เห็น โดยเฉพาะในประเทศที่เรื่องอวกาศไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรก อย่างประเทศไทย ท้ายที่สุดเด็กที่เคยฝันไปไกล ก็อาจจบลงเหลือเพียงไม่กี่งาน ที่มีให้เลือกอยู่ในตลาดแรงงานตอนนี้
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากเราต้องปล่อยให้ความฝันเหล่านี้ค่อยๆ มอดดับลง บทสนทนาช่วงสุดท้ายเราชวนไปป์กลับมาพูดคุยถึงการทำงานด้านเทคโนโลยีอวกาศในไทย สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจอยากทำงานด้านนี้ พวกเขาควรเริ่มต้นจากอะไร
“จริงๆ มีคนไทยทำงานด้านนี้ไม่เยอะหรอก แต่มีบ้าง ถ้าถามผม วิธีที่ผมเข้าไปในวงการนี้คือ ผมมี Hand on experience ผมสร้างหุ่นยนต์ ผมสร้างวงจร ทักษะเล็กๆ พวกนี้มันมีความสำคัญกับสตาร์ทอัพ เพราะว่าถ้าคุณเป็นวิศวกรในสตาร์ทอัพ คุณต้องทำงานเป็นเทคนิคเชียนด้วย
“ซึ่งก็น่าเป็นห่วงสำหรับวัยรุ่น Gen Z ที่ผมได้ไปคุยมา กลายเป็นว่าทุกคนอยากทำงานกับ AI แม้แต่วิศวะเครื่องกล ก็ยังไม่เคยใช้เครื่องมือ ไม่เคยใช้เครื่องจักร หรือเชื่อมเหล็กไม่เป็น ซึ่งมันเป็นสกิลที่ผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับการที่คุณจะได้มีอะไรไปแข่งกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ

“ผมคิดว่ามันเป็นจุดแข็งของเด็กไทยนะที่ยังมีโอกาสทำอะไรด้วยมือ เพราะต่างประเทศเขากลัวว่ามันไม่ปลอดภัย เอาวิศวะเก่งๆ ไป ทำอะไรงานช่างแบบนี้มันไม่เหมาะ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสเด็กไทยที่มันจะเอาอะไรไปแข่งกับต่างประเทศได้ เพราะคนที่ทำงานกับผมก็คือเป็นวิศวกรจบมาจาก MIT จบมาจาก Oxford จบมาจาก Switzerland เป็นแบบตัวท็อปๆ ของวิศวะในโลก แต่ไม่มีใครทำหุ่นยนต์เหมือนผมได้ เพราะว่าเขาไม่เคยจับสว่านด้วยซ้ำ ผมก็อยากจะส่งเสริมให้เด็กๆ หาประสบการณ์ภาคปฏิบัติจริงๆ”
“สำหรับประเทศไทยก็ควรพัฒนาด้านนี้ด้วย ตอนนี้ผมมองว่าเศรษฐกิจอวกาศมันใหญ่ขึ้นเร็วมาก ถึงมันจะโตไม่เร็วเท่า AI แต่มันเหมือนเป็น infrastructure ในอนาคต ภายในอีกไม่กี่ปีนี้เราจะไม่มีสถานีอวกาศนานาชาติแล้ว ซึ่งเราเคยมีมา 20-30 ปี แต่ในอีกไม่กี่ปีเขาจะทำลายมันทิ้ง แล้วไปตั้งห้องแล็บที่บนดวงจันทร์แทน
“ดังนั้นเศรษฐกิจอวกาศมันจะโตขึ้นเร็วอีกรอบ ซึ่งผู้เล่นที่ยังเหลืออยู่ก็คือประเทศจีน เขาก็พัฒนาไปทางด้านนี้เร็วมาก ผมเลยคิดว่าเราก็ควรจะพัฒนาตามเขาให้ทัน แบบที่พัฒนาจริงๆ” ไปป์ทิ้งท้าย