บทความชิ้นนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น
ปี 2557 ขาดทุน 86 ล้าน
ปี 2558 ขาดทุน 417 ล้าน
ปี 2559 ถึงไตรมาสสาม ขาดทุน 468 ล้าน
สภาวะสื่อใหม่ที่เปลี่ยนแปลง สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ล้วนเป็นปัจจัยประกอบให้ธุรกิจสื่อเสียรายได้ แต่ทำไมอมรินทร์ถึงหนักกว่าเพื่อน?
เครืออมรินทร์มีธุรกิจในมือถึงสามแบบ คือ ร้านหนังสือ(รวมสายส่ง) สำนักพิมพ์/โรงพิมพ์ และดิจิตอลทีวี ถ้าอยู่ภาวะรุ่งเรือง ก็จะหนุนเสริมกันทำกำไรได้มาก แต่เมื่อธุรกิจทั้งสามล้วนอยู่ในภาวะธุรกิจอัสดง (sunset business) การขาดทุนและรายจ่ายก็มากเป็นสามเท่า ตัวสำนักพิมพ์ของอมรินทร์เองปรับตัวได้ช้า และเป็นผู้ตามกระแสมากกว่าจะสร้างสรรค์เพื่อเป็นผู้นำ แอพอีบุคมาช้าและทำงานไม่ดีเท่าของ ookbee ระบบสั่งหนังสือผ่านเว็บยุ่งยากและไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ สำนักพิมพ์หัวใหม่เปิดมาเพื่อตามกระแสนิยม แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ฐานนิตยสารเดิมลดลงเพราะแนวคิดการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรุ่นอายุผู้อ่าน นิยายแปลยังคงคุณภาพดี แต่ขาดเรื่องระดับแม่เหล็กทำรายได้ต่างจากในอดีต (เช่นเรื่อง เกม ออฟ โทรนส์ น้อยคนที่ชอบซีรีส์แล้วจะทนอ่านนิยายเรื่องยาว)
ยิ่งเมื่อดิจิตอลทีวีซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ลงทุนใหม่หมดตั้งแต่เริ่มต้น การแย่งบุคลากร การสร้างพื้นที่ถ่ายทำ และโครงข่าย รวมถึงค่าประมูลสิทธิ์ ล้วนเป็นรายจ่ายมหาศาล แม้จะสามารถลงบันทึกบัญชีว่าเป็นสินทรัพย์ทุนและสินทรัพย์ประเภทจับต้องไม่ได้ (intangible asset) แต่ก็เสื่อมค่าลงและก่อรายจ่ายดำเนินการ รวมถึงค่าบำรุงรักษาต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ดิจิตอลทีวียังได้รับผลกระทบหนักหลังรัฐประหาร การถูกนำเวลาไปใช้ให้รายการของรัฐฟรีๆ หลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ การไม่สามารถนำเสนอประเด็นร้อนบางประเด็น และเม็ดเงินโฆษณาของรัฐที่หายไป (เพราะบังคับให้ออกอากาศได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ต่างจากรัฐบาลปกติ) ทำให้ก้อนเค้กรายได้ของโทรทัศน์เล็กลงอย่างมาก ในขณะที่มีการแข่งขันสูง
ดิจิตอลทีวีซึ่งเป็นธุรกิจที่ลงทุนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
การแย่งบุคลากร การสร้างพื้นที่ถ่ายทำและโครงข่าย
รวมถึงค่าประมูลสิทธิ์ ล้วนเป็นรายจ่ายมหาศาล
อีกทั้งยังมีโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งหนังสือและโทรทัศน์ คนยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือยากขึ้น และคนดูทีวีก็ลดลง คู่แข่งในโซเชียลมีเดียเกิดใหม่อย่าง line TV หรือ facebook live ตอบโจทย์สังคมมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับนิตยสารที่ไม่สามารถนำเสนอเรื่องทันสมัยได้เร็วเท่าโซเชียลมีเดีย
สภาพเศรษฐกิจต่างจังหวัดที่เคยเฟื่องฟูก็ย่ำแย่ลงมาก ร้านสาขาในห้างต่างจังหวัดยอดขายตกฮวบ เพราะภาวะสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ การค้าต่างจังหวัดซบเซา รายจ่ายไม่จำเป็นอย่างหนังสือต้องถูกตัดก่อน ซึ่งในกรณีนี้ซีเอ็ดก็ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
โดยรวมแล้ว อมรินทร์ทั้งเครือยังดูขาดเข็มทิศนำแผนเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ ไม่สามารถระบุภารกิจเฉพาะเพื่อเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งก็หวังว่าการเข้ามาของตระกูลสิริวัฒนภักดีจะเปลี่ยนแปลงความเคยชินของอมรินทร์ เพื่อรักษาสำนักพิมพ์ที่ถือว่ามีคุณภาพแห่งหนึ่งของไทยให้กลับมาประสบความสำเร็จ ฝ่าฟันวิกฤตวงการสื่อนี้ไปอีกครั้ง
โดยรวมแล้ว อมรินทร์ทั้งเครือยังดู
ขาดเข็มทิศนำแผนเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์
ไม่สามารถระบุภารกิจเฉพาะเพื่อเปลี่ยนแปลงได้
สรุปลำดับเวลาเรื่องอมรินทร์ และกรณีการเข้าซื้อหุ้นของกลุ่มเบียร์ช้างอย่างง่าย
1. สำนักพิมพ์อมรินทร์ (AMARIN) ก่อตั้งโดยคุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ นักคิดนักเขียนยุค 14 ตุลา โดยเริ่มจากการผลิตนิตยสาร ‘บ้านและสวน’ จนได้รับความนิยม เป็นนิตยสารแนวจัดบ้านรุ่นแรกๆ ของไทย ต่อมาประสบความสำเร็จกับนิตยสารแฟชั่น ‘แพรว’ และแฟชั่นวัยรุ่น ‘แพรวสุดสัปดาห์’
2. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิมพ์พระราชนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น ติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ พระมหาชนก และเรื่องทองแดง
3. อมรินทร์พรินติ้ง เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2535
4. ร้านหนังสือ ‘นายอินทร์’ ของอมรินทร์ ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่มาจากพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ’ (The Man called intrepid)
5. อมรินทร์ได้จัดประกวดวรรณกรรม นายอินทร์อะวอร์ด โดยผู้ชนะจะได้รับพระราชทานโล่รางวัลจากสมเด็จพระเทพ ถือเป็นรางวัลวรรณกรรมอันดับต้นของไทย
6. คุณชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2545 จากนั้น คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ ภรรยา และคุณระริน อุทกะพันธุ์ บุตรสาว เป็นผู้บริหารสืบต่อ
7. อมรินทร์เป็นผู้นำแนวคิด ‘ชีวจิต’ โดยดร.สาทิส อินทรกำแหง เผยแพร่ให้เป็นกระแส จนมีนิตยสาร ‘ชีวจิต’ ตามมา และแนวคิดแบบ ‘The secret’ ซึ่งแปลมาจากต่างประเทศ รวมถึงเป็นผู้ที่ทำให้ท่าน ว.วชิรเมธี โด่งดังเข้าสู่กระแสสื่อหลัก ภาพลักษณ์ของอมรินทร์จึงออกมาในแนวทางยึดหลักธรรมะ พอเพียง คนดีมีศีลธรรม และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
8. ระยะหลังปี พ.ศ. 2547 อมรินทร์และร้านนายอินทร์ได้นำเสนอหนังสือแนวธรรมะอ่านง่ายเข้าถึงง่าย เช่น ‘เข็มทิศชีวิต’ ของฐิตินาถ ณ พัทลุง ผลงานของพระมิตซูโอะ คเวสโก ‘ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น’ ของทพ.สม สุจีรา เป็นต้น
9. หลังปี 2551 อมรินทร์ได้ขยายกิจการร้านนายอินทร์ออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นเพื่อแข่งขันกับร้านซีเอ็ด และเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ แม้ว่าจะประสบวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์และน้ำมันราคาสูง จนต้องขึ้นค่าสายส่ง อมรินทร์มีกำไรสะสมต่อหุ้นสามารถปันผลได้ราวปีละ 5% กำไรเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท
10. ปี 2556 มีการประมูลทีวีดิจิตอล อมรินทร์ได้เพิ่มทุนครั้งใหญ่กว่าเท่าตัว เพื่อเข้าประมูลช่องทีวีเป็นของตนเอง ในขณะเดียวกัน ช่วงปลายปีมีการประท้วงของกลุ่ม กปปส. เครืออมรินทร์เป็นผู้สนับสนุนและกระบอกเสียงหลักของการชุมนุมประท้วงทั้งในทางเงินทุนและสื่อเผยแพร่
11. ปี 2557-2559 อมรินทร์ขาดทุนมหาศาล รวม 2 ปี 3 ไตรมาส ขาดทุนไปถึง 950 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงเหลือ 1 ใน 3 จากปี 2556 หนี้สินสะสมรวม 4,000 ล้านบาท กระแสเงินสดลดต่ำเหลือเพียง 291 ล้านบาท แต่มีหนี้เงินกู้ระยะสั้นและเงินเบิกเกินบัญชี (OD) ถึง 550 ล้านบาท
12. อมรินทร์ทีวียังไม่ประสบความสำเร็จ เรตติ้งอยู่ในระดับกลุ่มล่าง และรายได้โฆษณาต่ำมากทำให้ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายราววันละ 2 ล้านบาท หนี้สินต่อทุนพุ่งเป็น 4.32 เท่า ถือว่าอันตรายในการดำเนินกิจการ
13. อมรินทร์ได้ร่วมกับบริษัทคาโดกาว่าโชเต็น ของญี่ปุ่น เปิดตัวหัว สนพ. ฟินิกซ์ เพื่อทำตลาดนิยายแปลญีปุ่นและมีเดียมิกซ์ในเดือนพฤศจิกายน (เลื่อนจากเดือนตุลาคม)
14. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 บอร์ดบริหาร AMARIN ประกาศเพิ่มทุน และขายหุ้น 47% ให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี แห่งเครือไทยเบฟเวอเรจ ผู้ประกอบกิจการโรงสุราแม่โขงและเบียร์ช้างเป็นเงิน 850 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้จ่ายดำเนินกิจการต่อไป
15. ตระกูลสิริวัฒนภักดี ขอผ่อนผันจาก กลต. เพื่อไม่ต้องทำ Tender offer ตั้งโต๊ะซื้อหุ้นอิสระ (Free float) ทั้งหมด ซึ่งปกติหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 25% ต้องประกาศรับซื้อหุ้นในตลาด เนื่องจากเป็นการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจากนอกตลาดโดยมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท
16. ตระกูลสิริวัฒนภักดี จะมีสื่อในมือเทียบเท่ากับตระกูลเจียรวนนท์แห่งทรู-ซีพี รวมถึงเครือข่ายลอจิสติกส์หนังสือและหน้าร้านหนังสือนายอินทร์กว่า 160 สาขาทั่วประเทศทันที
17. ตระกูลอุทกะพันธุ์ยังดำรงตำแหน่งระดับบริหารของอมรินทร์ จนกว่าตระกูลสิริวัฒนภักดีจะแต่งตั้งกรรมการบริหารใหม่ ปิดฉากตำนานของชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ ผู้ริเริ่มนิตยสารปกิณกะบันเทิงและวงการสื่อไทยยุคร่วมสมัยไปในที่สุด
18. บริษัทคาโดกาวะอมรินทร์ ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากคาโดกาวะโชเต็นจากญี่ปุ่น ถือหุ้นใหญ่ 49% อมรินทร์ถือน้อยกว่าที่ 46% และผู้บริหารมาจากญี่ปุ่น
19. คาดว่าจะมีการลดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนรวมถึงการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในบริษัทอมรินทร์เร็วๆ นี้ โปรดติดตามตอนต่อไป