ยังจำกันได้ไหม? ตัวละครคนติดเกาะที่นั่งอยู่บนเกาะคนเดียวแบบเหงาๆ หรือ บก.วิธิต ในชุดสูทที่กำลังทวงงานจากนักเขียน จะเป็นอย่างไรถ้าตัวละครเหล่านั้นเปลี่ยนไปใส่ชุดอื่นๆ ที่แปลกตา?
นี่คือภาพลักษณ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นจาก Collaboration ครั้งสำคัญระหว่างสองแบรนด์ในตำนานของไทยอย่าง สำนักการ์ตูนไทย ‘ขายหัวเราะ’ และ ‘แม็คยีนส์’ แบรนด์ยีนส์อันดับ 1 ของไทย ความร่วมมือนี้นำไปสู่การสร้างความสุขให้คนไทยผ่านซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งด้านแฟชั่นไลฟ์สไตล์ รวมถึงธุรกิจการ์ตูนไทย
ร่วมพูดคุยกันผ่านมุมมองของ เจมส์—ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ นิว—พิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือ Vithita Group (วิธิตากรุ๊ป)
อะไรคือที่มาของคอลเลกชั่นพิเศษในครั้งนี้
นิว : ปีนี้เป็นวาระที่ขายหัวเราะครบรอบ 50 ปีพอดี อยากจะให้มีแคมเปญพิเศษในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่พิเศษนี้ในการมอบความสุขให้ชาวไทย เลยเป็นเรื่องของการ collaboration ว่าเราจะไปสร้างความสุขให้คนไทยได้แบบไหนบ้าง การร่วมมือกันของสองทั้งแบรนด์จึงเป็นการสร้างความสุขให้คนไทยในรูปแบบหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นการออกคอลเลกชั่นและทำการตลาดด้วยกัน
เจมส์ : แม็คยีนส์กับขายหัวเราะมีความคล้ายกันหลายอย่าง เราเป็นน้องขายหัวเราะสองปี ปีนี้ขายหัวเราะอายุ 50 ปี ส่วนแม็คยีนส์กำลังจะย่างเข้าปีที่ 49 ซึ่งเราก็สามารถ adapt และยัง stay relevant กับ consumer ยุคใหม่ได้ ทางขายหัวเราะก็พัฒนาไปมากกว่าแค่หนังสือ ทางแม็คยีนส์ก็เหมือนกัน มีขายออนไลน์และออกคอลเลกชั่นใหม่ๆ และแม็คยีนส์เราก็ดีใจมากที่ได้ collaborate brand ด้วยกันและก็อยู่กันมานานพอสมควรทั้งคู่
นิว : ทั้งสองแบรนด์เป็นจุดร่วมที่อยู่เคียงข้างคนไทยมาด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างสร้างความสุขให้คนไทยคนละรูปแบบ ของเราเป็นคอนเทนต์กับ soft power ด้านการ์ตูนคาแร็กเตอร์แล้ว แม็คยีนส์ ก็เป็นความสนุกทางด้านการแต่งกาย แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ นี่เป็นจุดร่วมที่มีความเป็นตำนานของทั้งสองแบรนด์ มองว่าพอรวมกันแล้ว น่าจะเป็นคอลเลคชั่นที่พิเศษและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ตอนนี้แต่ละแบรนด์มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่เหมือนกันไหม
เจมส์ : สำหรับ แม็คยีนส์กลุ่มแฟนของเราคือทุกเจเนอเรชั่น เราก็มีทุกกลุ่มและ consumer ทั่วประเทศเพราะเราก็มี touchpoint ประมาณ 600 กว่าจุด ซึ่งก็จะเห็นคอลเลกชั่นที่ทำกับขายหัวเราะจาก touchpoint ต่างๆ ของเรา
นิว : ของขายหัวเราะ motto ของเราที่สื่อมวลชนกับแฟนๆ ตั้งให้คือเป็นความฮาสามัญประจำบ้านหมายความว่าทุกคนและทุกเพศ ทุกวัยสามารถเข้าถึงและหัวเราะไปกับตัวการ์ตูนของเราได้หมด
เจมส์ : จุดที่เราอยากเสริมคือถ้าดูคาแร็กเตอร์ของขายหัวเราะก็ตรงกับ proposition ของแม็คยีนส์ ที่ครอบคลุม inclusivity และมีความ diversity เข้าถึงทุกคนทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าคุณจะมีสรีระแบบไหนก็สามารถแต่งตัวได้อย่างมั่นใจและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ หรือให้เต็มแม็ค
แคมเปญ My Mc My Way เป็นแคมเปญที่เรานำเสนอต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี My Mc My Way เป็นแคมเปญคอนเซ็ปต์ ที่ Mc JEANS อยู่กับคนทุกเจน ทุกไลฟ์สไตล์ เราเน้นไปที่เรื่องของ body positivity ไม่ว่าคุณจะสรีระแบบไหน เราก็มีเสื้อผ้าที่จะทำให้คุณมั่นใจ ออกไปใช้ชีวิตให้เต็มแม็คได้
นิว : เรื่องคอนเซปต์ My Mc My Way มันไม่ได้อยู่แค่สโลแกนแต่เป็นแคมเปญที่ทางทีมของแม็คยีนส์ได้คุยถึงเรื่องนี้และลงลึกไปถึงคอนเซ็ปต์ของเสื้อผ้าแต่ละตัว อย่างที่บอกว่าเวลาเราทำเราไม่ได้เอาคาแร็กเตอร์มาแปะบนเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มันมีสตอรี่เบื้องหลังของมัน การที่ Mc JEANS เป็น inclusivity คือเข้าถึงทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย มันก็สะท้อนผ่านคาแร็กเตอร์แต่ละตัวของขายหัวเราะ ซึ่งเราะจะได้รู้สตอรี่เบื้องหลังของคาแร็กเตอร์แต่ละตัว เป็นตัวแทน represent ของแต่ละกลุ่มที่หลากหลาย หลากหลายเพศ หลากหลายวัย ความสนุกคือการปูเรื่องให้กับคาแร็กเตอร์ที่คนไม่เคยรู้มาก่อน อย่างเช่น คาแร็กเตอร์ของขายหัวเราะตั้งแต่เริ่ม 50 ปีที่ผ่านมาเขาใส่เสื้อผ้าเดิมๆ มาตลอดเลย ซึ่งมันก็จะมีภาพจำกับคนอ่านหรือแฟนๆ ของเราตลอด 50 ปี แต่แคมเปญนี้เป็นครั้งแรกที่เราจับคาแร็กเตอร์ของเรามา Make Over หรือแคมเปญนี้ชื่อ Mc Over ที่เราทำกับแม็คยีนส์ก็จะเป็นการเปลี่ยนหรือให้เห็นลักษณะการแต่งตัวของคาแร็กเตอร์แบบใหม่ เป็นความสุขแบบใหม่ๆ
เจมส์ : ซึ่งก็สอดคล้องกับความเป็นจริงในตลาด เพราะในยุคนี้การไปทำงานอะไรแบบ formal look จะไม่ค่อยมีแล้ว เปลี่ยนเป็น casual หรือ smart casual การใส่ยีนส์ไปทำงานได้ ใส่เสื้อยืด ใส่ blazer มันก็เข้ากับไอเดีย กับสตอรี่ของเรา
ตอนนี้ยีนส์ก็สุภาพแล้ว ต่างจากสมัยก่อนที่ยีนส์ถูกมองว่าไม่สุภาพ ย้อนกลับไปเมื่อก่อน บางออฟฟิศจะห้ามใส่ยีนส์ แต่ตอนนี้ หลายๆ ที่ก็บอกให้ใส่ยีนส์ด้วยซ้ำในทุกวันศุกร์
นิว : เรามองมิติของ แม็คยีนส์มากกว่าแค่แบรนด์แฟชั่น แต่มันคือไลฟ์สไตล์ อย่างขายหัวเราะก็เป็น Laugh style เสียงหัวเราะที่อยู่คู่กับไลฟ์สไตล์คนไทย แล้วแม็คยีนส์ ก็เป็นแฟชั่นที่อยู่คู่กับไลฟ์สไตล์คนไทยทุกคน มีจุดร่วมและอะไรที่ compatible กัน
เจมส์ : สรุปว่าทั้งสองแบรนด์ bring happiness and smile and laughter to their life
มองว่าอะไรคือสไตล์และจุดเด่นที่ทำให้แต่ละแบรนด์เป็นตำนาน
เจมส์ : แม็คยีนส์ อยู่ในสังคมไทยมานาน โดยที่ DNA ของแบรนด์เราคือเดนิม เรามีรุ่นทั้งผู้หญิง ผู้ชายที่ฟิตสำหรับคนไทย คุณภาพของโปรดักส์คือจุดที่สำคัญสุด ซึ่งเราก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างในด้านความยั่งยืน แม็คยีนส์ให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ล่าสุดเราใช้กระดุม, รีเวท และผ้าเทปซิปรีไซเคิล เราก็ stay relevant เพราะคนสมัยใหม่ไม่ได้สนใจว่าเสื้อผ้าราคาเท่าไหร่ แต่สนใจว่าการทำเสื้อผ้าเป็นยังไง how is it made หรือช่วยลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร เราก็พัฒนาไปทางด้านนี้เหมือนกันจะได้ stay relevant กับเจเนอเรชั่นต่อๆ ไปได้
นิว : ขายหัวเราะเรามี DNA ที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ด้านการ์ตูน คาแร็กเตอร์ อารมณ์ขัน รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ เราจะมีสิ่งเหล่านี้เป็นจุดหลักของเรา ไม่ว่าวิวัฒนาการของสื่อ รสนิยมของคนอ่าน ผู้ชมจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นหัวใจที่เราใช้ขับเคลื่อนอารมณ์ขัน และความบันเทิงของเราไปเรื่อยๆ ขายหัวเราะไม่ได้ยึดติดมาตั้งนานแล้วว่าเราเป็นเท่ากับหนังสือการ์ตูน แต่ขายหัวเราะเป็นแบรนด์ เพราะฉะนั้นแบรนด์จะไปอยู่ได้กับทุกที่เลย อยู่กับสื่ออะไรก็ได้ อยู่กับแฟชั่นไอเท็ม ของกิน หรือเป็นคอนเทนต์อยู่ในแพลตฟอร์มไหนก็ได้เลยเหมือนกัน แต่เป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง เสียงหัวเราะให้คนไทยเข้าถึงได้ง่าย เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ทำร้ายใคร ก็ช่วยให้ทุกคนมีความสุข
แต่ก่อนคาแร็กเตอร์ของขายหัวเราะ มีสไตล์การแต่งตัวเป็นยังไงและเปลี่ยนลุคแค่ไหนในคอลเลกชั่นนี้
นิว : สำหรับขายหัวเราะ ความพิเศษของมันก็คือเป็นแบรนด์การ์ตูนที่เติบโตมาจากสิ่งพิมพ์และมีความเป็นมาที่ยาวนาน ดังนั้นการแต่งตัวของคาแร็กเตอร์จะค่อนข้างออร์แกนิก มันจะไม่เหมือนคาแร็กเตอร์ของต่างประเทศที่บังคับมาแล้วว่าคาแร็กเตอร์นี้ต้องแต่งตัวแบบนี้ เพื่อเอามาขาย merchandise แต่ของขายหัวเราะมันคือออร์แกนิกมากๆ เหมือนนักวาดวาดอะไรมา แฟนๆ ชอบแบบไหนหรือมีภาพจำแบบไหนมันก็เติบโตมาแบบนั้น ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่คอนเฟิร์มได้คือแฟนๆ มีภาพจำแน่ๆ กับสไตล์การแต่งตัวของคาแร็กเตอร์ของขายหัวเราะ พอมาอยู่ในแคมเปญนี้มันเลยมีความพิเศษว่าก่อนหน้านี้มันไม่เคยเปลี่ยนลุคเลย และไม่เคยมีการเล่าสตอรี่เบื้องหลังว่าทำไมคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะถึงไม่เปลี่ยนชุด ทำไมเขาแต่งอย่างนี้ตลอดเลย อันนี้เป็นครั้งแรกที่เรารู้เบื้องหลัง
เจมส์ : แต่เราก็ยัง maintain สี โทน และลุคของคาแร็กเตอร์แต่ละตัวให้เหมาะและเข้ากับไลฟ์สไตล์
นิว : ความท้าทายของเราคือ make over แล้วทำยังไงให้แต่ละแบรนด์ยังมีจุดเด่น
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทางขายหัวเราะปรับลายเส้นไปยังไงบ้าง
นิว : ของขายหัวเราะจริงๆ เป็น multi style คาแร็กเตอร์แบรนด์ หมายถึงว่าเรามีนักวาดหลายคนใต้แบรนด์ของเรา ถ้าคาแร็กเตอร์ที่เกิดจากนักวาดคนละลายเส้น อย่างหนูหิ่นกับปังปอนด์ ลายเส้น original ก็จะมีความแตกต่างกัน แต่ในคอลเลกชั่นนี้เราก็ใช้ระบบการวาดที่เคารพต้นฉบับแต่มีการปรับจูนให้มีมิติมากขึ้น เราใช้ทีมสตูดิโอที่เป็นทีมมืออาชีพวาด แล้วก็ดึง sense ของแบรนด์แม็คยีนส์ ออกมา
แล้ว Mc JEANS ล่ะ มีอะไรที่ปรับให้กับขายหัวเราะบ้าง
เจมส์ : สไตล์การออกแบบของดีไซเนอร์ ที่ดีไซน์ให้เข้ากับสตอรี่ของขายหัวเราะของคาแร็กเตอร์แต่ละคน ชอบที่สุดคือโจรมุมตึก ที่มีตาโผล่มาข้างหลัง ส่วนกิมมิคที่เป็นโจรมุมตึก เราก็ยังกำหนดให้เป็นโจรมุมตึกอยู่เพราะโจรมุมตึกกลัวคนจะเข้ามาข้างหลัง ก็เลยยังมีตาอยู่ข้างหลังเสื้อ มีกิมมิคพับแขนมาแล้วเขียนว่ากลับตัวกลับใจ ก็เป็นไอเดียที่แชร์ระหว่างฝั่งดีไซเนอร์กับเรา
นิว : ความพิเศษอีกอันของคอลเลกชั่นนี้คือมันเป็นดีไซน์ที่ให้คนใส่ได้จริง มันจะไม่ใช่การเอาคาแร็กเตอร์มาแปะบนเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มันเป็นการคิดมาแล้วว่า คาแร็กเตอร์ตัวนี้ถ้าเขาเป็นคนจริงๆเขาจะแต่งตัวยังไง มันไม่ได้ใส่ยาก อย่างโจร แทนที่เราจะเอาหน้าโจรมาแปะตรงๆ ก็มาแค่ตาเล็กๆข้างหลัง มีกลิ่นอายของขายหัวเราะนะ ทำมาสำหรับกลุ่มคนที่ใส่เสื้อลายขวางขาวดำเยอะๆ จะเห็นได้ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของลายหรือดีไซน์เท่านั้น มันมีสตอรี่
ซึ่งแต่ละชุดก็ develop มาจากคาแร็กเตอร์การ์ตูนด้วยใช่ไหม
เจมส์ : เรามีชุดที่ได้แรงบันดาลใจจากโจรมุมตึก คนติดเกาะ หนูหิ่น บ.ก.วิธิต ยกตัวอย่างหนูหิ่นก็ลุกขึ้นมาใส่กางเกงขาสั้น กับเสื้อฮู้ดดี้ ที่เป็นอีกหนึ่งไอเท็มยอดนิยมของแม็คยีนส์ ซึ่งแต่เดิมเขาจะใส่แต่เสื้อคอกระเช้า คนจะชินกับหนูหิ่นเวอร์ชั่นแต่งตัวไทยๆ ผ้าถุง แต่คราวนี้ก็เปลี่ยนไป โดยที่ยังคีพคาแร็กเตอร์หลักเอาไว้
คาดหวังให้การ Mc Over ในคอลเลกชั่นนี้ ‘เปลี่ยนลุคของแบรนด์’ และสร้างแรงกระเพื่อมอย่างไรบ้าง
เจมส์ : ผมมองว่ามันเป็นสิ่งใหม่ที่มาเพิ่มชีวิตชีวาให้แบรนด์ เป็น innovation ร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่มี DNA หลายอย่างที่ตรงกัน โดยรวมคือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และมองเป็นภาพของแบรนด์
นิว : ของขายหัวเราะน่าจะเป็นการให้เห็นมิติใหม่ๆ และพรมแดนใหม่ของการ์ตูนของเราว่ามันสามารถข้ามไปอย่างไม่มีขีดจำกัดแล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์จะพาไป แล้วก็ไม่ได้ข้ามไปอย่างที่ไม่มีสตอรี่อะไรที่ลึกซึ้ง คิดจาก creativity ต่อยอดไปได้หลายอย่าง แฟชั่นไอเท็มหรือสตอรี่ข้างหลังมัน การใช้มีเดียหรือวิธีการโปรโมทต่างๆไม่ว่าจะเป็นในเชิงของตัวออฟไลน์หรือออนกราวน์ก็สามารถสนุกกับมันได้หมดทุกช่องทาง อันนี้ก็จะทำให้เห็นศักยภาพในด้านของทั้งขายหัวเราะและน่าจะเป็นประโยชน์อันนึงที่น่าจะทำให้แม็คสนุกไปด้วยกัน
เจมส์ : สำหรับผมคือการ bring laughter bring happiness เราก็จะได้หยุดพักบ้าง ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ เหมือนกับการดึงความทรงจำเก่าๆ กลับมา ส่วนสำหรับคนรุ่นใหม่ๆ เขาก็จะเข้าถึงแบรนด์ขายหัวเราะ โดยที่เห็นแบรนด์เป็นสตอรี่ เห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆ อย่างตัวผมเอง ก็นึกถึงตอนที่ไปตัดผมสมัยเด็กๆ และต้องนั่งอ่านการ์ตูนขายหัวเราะเหมือนกัน แบรนด์ของเรามัน ageless ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปยังไง เราก็สามารถเข้าถึงผู้คนได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ อีก 10 ปี ไม่ว่าจะมีอะไรใหม่เข้ามาแบรนด์เราก็สามารถฟิตเข้าไปได้ อย่างการถ่ายทำแฟชั่นเซตของคอลเลคชั่นนี้ เราก็ใช้นายแบบนางแบบไทยที่เป็นวัยรุ่น Gen Z ซึ่งเค้าเองก็รู้จักคาแรกเตอร์และนำเสนอลุคของเสื้อผ้าและพรีเซนต์คอลเลคชั่นออกมาได้สนุกสนาน มันเห็นเลยว่าเราเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยทุกไลฟ์สไตล์
นิว : ปกติขายหัวเราะก็เคยทำเสื้อยืดอะไรมาแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีเสื้อยีนส์และ Fashion Item อีกหลากหลายชิ้นซึ่งตรงกับ DNA ของพาร์ทเนอร์เราอย่าง Mc JEANS มากๆ
เจมส์ : ผมเองก็ดีใจมากที่ได้ร่วมมือกับขายหัวเราะ เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งก้าวที่จะพาเรานำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ต่อไปในอนาคต