ในปี 2022-2023 ผมเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 1 ปี ระหว่างอยู่ที่นั่นผมมีเพื่อนเป็นคนอินเดียค่อนข้างเยอะ จนได้รับคำเชิญให้ไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนชาวอินเดียคนหนึ่ง งานวันเกิดเล็กๆ ที่พวกเรานั่งคุยและแบ่งปันประสบการณ์เรื่องความรักและชีวิตรัก โดยเรื่องแรกเป็นของอนันท์ ชายหนุ่มเพล์บอยข้าราชการวัย 30 ปี
อนันท์แต่งงานมีภรรยา ซึ่งภรรยาคนนี้เกิดจากพ่อแม่ของทั้ง 2 ครอบครัวจับคู่ให้แต่งงานกัน (Arrange marriage) แต่ต่อมาอนันท์ไปเจอผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เขาชอบ เขาเลยสารภาพความรู้สึกออกไป และเธอก็ชอบอนันท์เช่นกัน ทั้ง 2 คนจึงตกลงคบหากัน ประจวบเหมาะกับอนันท์มาได้งานใหม่ที่เมืองปูเน่ เขาจึงย้ายมาอยู่เมืองแห่งนี้ ในขณะที่ภรรยาของอนันท์อาศัยอยู่ในเมืองบ้านเกิด ทำให้อนันท์ได้โอกาสหนีภรรยาที่จดทะเบียนสมรส และพาคนรักมาอยู่ที่เมืองปูเน่ด้วยกัน
เพื่อนของอนันท์เล่าให้ฟังต่อว่า อนันท์มีบ้านพักอยู่ที่เมืองปูเน่ เขาใช้ชีวิตรักอยู่กับผู้หญิงที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสอย่างมีความสุข โดยมีภาพถ่ายคู่กันแสนโรแมนติกแขวนอยู่ที่บริเวณหน้าประตูบ้าน จนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาของอนันท์เดินทางมาเซอร์ไพรส์เขาที่เมืองปูเน่
“พอเมียอนันท์เห็นรูปถ่ายคู่กับกิ๊กเท่านั้นแหละ เธอจับอนันท์เขวี้ยงลงไปนอนกับพื้นและก็ทุบตีอนันท์” เพื่อนของอนันท์กล่าว สิ้นเสียงทุกคนในวงสนทนาฮาก๊าก แต่อนันท์ดูเหมือนจะขำไม่ออกสักเท่าไร ต่อจากนั้นผมจึงถามอนันท์ว่าแล้วชีวิตรักคุณตอนนี้เป็นอย่างไร คุณยังอยู่ในความสัมพันธ์กับเมียคนเดิมหรือเปล่า เขาพยักหน้าและเงียบไปสักพัก ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ว่า “ตอนนี้ชีวิตรักของฉันโอเคแล้ว”
ทว่ายังไม่ทันไรอีกสองสามอาทิตย์ต่อมา ผมเจออนันท์อีกครั้งก็เห็นเขาท่าทางเคร่งเครียดจึงถามเขาว่าเป็นอะไร คำตอบที่ได้รับคืออนันท์กำลังคบซ้อนอีกครั้ง แต่ผู้หญิงที่อนันท์คบซ้อนก็ดันไปชอบผู้ชายอีกคน ชีวิตรักของอนันท์นั้นช่างยุ่งยากซะเหลือเกิน
เรื่องราวความรักต่อมาเป็นของโพจา สาวร่างเล็กนัยน์ตาคมเรียนจบด้านกฎหมาย เธอเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของเธอต่อจากเรื่องราวของอนันท์
“คุณรู้จักวัฒนธรรม Arrange marriage ไหม? มันคือการที่พ่อแม่ของฉันจะเป็นคนเลือกผู้ชายที่เหมาะสมมาให้เป็นสามี ฉันไม่สามารถเลือกคนที่ฉันรักได้ด้วยตัวเอง” โพจาเล่าต่อว่าพ่อแม่ของเธอจะเลือกคนที่มีการศึกษา มีหน้าที่การงานดีให้เธอ และผู้ชายคนนั้นจะต้องอยู่ในวรรณะเดียวกัน มีฐานะ มีทรัพย์สินที่พ่อแม่เธอคิดว่าเหมาะสม ผมจึงถามเธอว่าแล้วถ้าคนที่พ่อแม่หามาให้ คุณไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจะทำอย่างไร
“ก็แค่ใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปวันต่อวัน เพราะฉันไม่ได้อยู่ในสถานะที่สามารถเลือกอะไรได้” เธอไม่ได้พูดอะไรต่อในวันนั้น อาจจะด้วยในวงสนทนามีคนอยู่หลายคน ผมไม่เข้าใจความสมเหตุสมผลของวัฒนธรรมจับคู่แต่งงาน จนเก็บเอาเรื่องนี้ไปคุยกับชีวาณี เพื่อนสนิทชาวอินเดียของผม
“คุณต้องเข้าใจว่า Arrange marriage คือการไว้ใจครอบครัว และบางครั้งสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้มันดีกว่าสิ่งที่เราหามาเอง” ชีวาณีบอกเช่นนั้น แน่นอนว่าเธอเกิดมาในครอบครัวที่ดี แต่เราก็เคยเห็นข่าวอยู่เสมอไปว่าคนในครอบครัวเดียวกันก็ใจร้ายต่อกันได้ถึงเพียงใด ผมบอกชีวาณีถึงความเสี่ยงข้อนี้
“อินเดียไม่เหมือนเมืองไทย เสรีภาพในการเลือกความรักไม่เกิดขึ้น เพราะศาสนาและระบบวรรณะ แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่การบังคับแต่งงาน ฉันมีสิทธิที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ พ่อแม่จะยอมรับจากความรู้สึกของฉัน จากนั้นพวกเขาจะปรับการแต่งงานให้เหมาะสม สิ่งที่แตกต่างจากการแต่งงานทั่วไปคือ เราจะเลือกคู่ชีวิตจากการเจอกันไม่กี่ครั้ง เหมือนการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันจากการออดิชั่น”
“แล้วตอนนี้พ่อแม่ของคุณคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันให้คุณไปถึงไหนแล้วชีวาณี”
“พ่อแม่ไม่สามารถหาผู้ชายที่เหมาะสมให้ได้ เพราะว่าฉันมีคุณสมบัติสูงเกินไปในวรรณะของฉัน และฉันมีรายได้มากกว่าผู้ชายในวรรณะ อีกหนึ่งประเด็นคือผู้ชายส่วนใหญ่เตี้ยกว่าฉัน” นั่นเพราะเธอพูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว ทำงานเป็นผู้สอบบัญชีในบริษัทต่างชาติ ผมจึงถามเธอต่อว่ารู้สึกอย่างไร ถ้าสักวันจะเจอคนที่พ่อแม่จัดหามาให้แต่งงาน
“คงเหมือนการตกหลุมรักคนแปลกหน้าที่เขาจะอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต ฉันหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยรักษาชีวิตแต่งงานของฉันให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น เพราะครึ่งหนึ่งของชีวิตการแต่งงาน ฉันจะได้ทำความรู้จักเขา”
ผมจึงถามต่อว่าถ้าสุดท้ายแล้วคุณไม่สามารถรักอีกฝ่ายได้ล่ะ เธอจึงให้คำตอบมาว่า “สำหรับฉันคนสองคนอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน พวกเขามีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักกัน แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นฉันอาจจะเลือกประนีประนอมและอยู่ด้วยกัน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเช่นอยู่ด้วยกันเพื่อลูก เพื่อพ่อแม่และครอบครัว”
เพื่อนอินเดียอีกคนหนึ่งยังเคยบอกว่า ในศาสนาฮินดู การแต่งงานไม่ใช่การทำสัญญา แต่เป็นพันธะของการเกิด หลังจากที่ผมได้คุยกับชีวาณี ผมเลยคิดว่านอกจาก Arrange marriage จะเป็นเรื่องของความเชื่อทางศาสนาแล้ว อีกมุมหนึ่งคือเรื่องของครอบครัวที่ทำให้เห็นว่าคนอินเดียให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเพียงใด
“ฉันโอเคในการที่พ่อแม่เลือกคู่แต่งงานให้ฉัน ความรักที่เกิดจากการยินยอมของพ่อแม่ พวกเขาย่อมสนับสนุนความรักเต็มที่ สำหรับฉันความรักเสมือนรากฐานของชีวิตมันจะไม่สำคัญได้อย่างไร”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นผมคุยกับโพจาตลอด เช้าวันหนึ่งเรานัดกันไปกินข้าวเช้า ผมถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอ เธอตอบว่า “ฉันมีคนที่ฉันรักมาก แต่พ่อแม่ของไม่อนุญาตให้ฉันเลือกคนรักด้วยตัวเอง ฉันรักนาอิม เขาคือชีวิต คือโลกทั้งใบของฉัน เมื่ออยู่กับเขาฉันรู้สึกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดพ่อแม่ได้ พวกเขาอยู่ในครอบครัวชนบทที่แคร์สายตาของคนอื่น มากกว่าความรู้สึกของลูกตัวเอง ฉันไม่ต้องการให้เขาเลือกคู่แต่งงานให้ฉัน แต่ฉันไม่มีทางเลือก”
“โพจา คุณนิยามความรักของคุณเป็นอย่างไร” ผมถาม
“ความรักหมายถึงการรักษาใครสักคนและทำให้เขามีความสุข โดยปราศจากความคาดหวังทั้งปวงจากเขาและเธอ”
เวลาผ่านไป 4 เดือน ผมออกเดินทางท่องเที่ยวจนไม่มีโอกาสได้คุยกับโพจา จนกระทั่งเธอส่งข้อความมาทักทาย เราตกลงนัดเจอกันตอนบ่ายวันเสาร์ที่ F.C. Road ผมอัปเดตชีวิตการเดินทางท่องเที่ยวทั่วอินเดียให้เธอฟัง ก่อนที่ผมจะถามว่าตอนนี้ชีวิตของเธอเป็นอย่างไร
ก่อนจะพบว่าเธอกำลังจะต้องจัดงานแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นญาติห่างๆ เขามีธุรกิจเป็นของตัวเอง พ่อของเธอเลยคิดว่าเขาสามารถดูแลเธอได้ แต่โพจาก็ยังเป็นกังวลกับผู้ชายที่พ่อเธอเลือกให้ เพราะผู้ชายคนนี้มีทัศนคติที่ยึดติดกับวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม เขาไม่ชอบให้ผู้หญิงสวมเสื้อผ้าตามแฟชั่น เธอจำเป็นต้องสวมชุดส่าหรี หรือแต่งกายด้วยชุดแบบดั้งเดิมเท่านั้นหากแต่งงานกับเขา ทั้งโพจาจะต้องหยุดทำงานหาเงินด้วยตัวเอง และกลายเป็นแม่บ้านทำงานอยู่แต่ในบ้าน
“ฉันไม่อยากมีชีวิตที่ต้องคอยพึ่งพาคนอื่นไปตลอด ฉันอยากยืนให้ได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถต่อรองอะไรได้ เพราะฉันยังหางานไม่ได้ และยังคงแบมือขอเงินพ่ออยู่” หากทุกอย่างเป็นไปตามที่พ่อเธอวางแผนไว้ โพจาจะแต่งงานภายในปีนี้ เธอชวนผมไปงานแต่งของเธอ ผมจึงถามเธอถึงนาอิมแฟนหนุ่มของเธอว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร
“เขายังคงรอฉัน เขาบอกว่า ‘ถึงเธอจะแต่งงานไปแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้’ ความรักของเราสองคนมันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเป็นมุสลิมฉันเป็นฮินดู พ่อฉันไม่มีทางยอมรับในตัวนาอิม”
“ศาสนาบอกให้เรามอบความรักให้กับผู้คน” ผมบอกโพจาในขณะที่เราสองคนกำลังนั่งดูพระอาทิตย์ตก
“แต่พอถึงเวลาที่เรามีความรักกลับมากีดกัน” เธอพยักหน้าก่อนที่นาอิมจะโทรเข้ามา เธอยื่นโทรศัพท์มาให้ผมคุยกับแฟนของเธอ
เรื่องราวระหว่างโพจากับนาอิมเริ่มต้นขึ้น ในช่วงเวลาที่โพจากำลังเริ่มต้นหางาน ซึ่งเพื่อนของเธอแนะนำว่านาอิมสามารถให้คำแนะนำเรื่องการหางานได้ และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่โพจากำลังฝึกภาษาอังกฤษ นาอิมจึงเสนอตัวเป็นคู่สนทนาภาษาอังกฤษให้กับโพจา เริ่มแรกโพจากลัวนาอิมมาก เพราะศาสนาฮินดูมักปลูกฝังว่าคนมุสลิมน่ากลัว แต่เธอก็ตัดสินใจคุยกับนาอิมจนเวลาผ่านไป 1 เดือน ทั้งสองตกลงนัดเจอกินข้าวด้วยกันหลายครั้ง นาอิมมักขี่มอเตอร์ไซต์ข้ามฟากเมืองเพื่อมาเจอโพจาทุกครั้งที่เขามีโอกาส
“เขาให้เกียรติฉันมาก นาอิมทำให้ความคิดที่ฉันมีต่อคนมุสลิมเปลี่ยนไป” จนกระทั่งนาอิมสารภาพความในใจว่าเขารักโพจา ทั้งคู่จึงตัดสินใจเป็นแฟนกัน และย้ายมาอยู่ร่วมกันที่แฟลตแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ต้องโกหกคนในแฟลตว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว เพราะการอยู่ก่อนแต่งในอินเดียยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับ
“วันเกิดฉันเมื่อเดือนที่ผ่านมา ฉันเคยส่งรูปร้านอาหารแห่งหนึ่งให้เขาดู และบอกว่าบรรยากาศมันสวยดี ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ไปกินอาหารที่โรงแรมแห่งนั้นเพราะราคามันแพงมาก แต่เขาเซอไพรส์ฉันด้วยการพาไปกินอาหารที่นั่น”
พระอาทิตย์ลอยต่ำจนกระทั่งหายวับลงไปสู่พื้นดิน ทิ้งเพียงสีส้มรำไรตัดกับสีเข้มของท้องฟ้า ผมบอกโพจาว่าก่อนที่เธอจะแต่งงาน ผมอยากมีโอกาสได้เจอกับนาอิม ชายหนุ่มหนวดเคราเข้ารูปกับใบหน้า ผมสั้น นัยตาโต รูปร่างสมส่วน สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาว กางเกงยีนส์รัดรูป ท่าทางนิ่งเงียบ ยื่นมือมาจับมือผมพร้อมแนะนำตัวว่าเขาชื่อนาอิม
นาอิมชายชาวมุสลิมอายุ 31 ปี ผู้ตกหลุมรักสาวชาวฮินดูวัย 23 ปีอย่างหัวปรักหัวปรำ เขาพูดอย่างไม่อายว่าเขาคลั่งไคล้ในตัวเธอ เขายอมที่จะละทิ้งทุกอย่างหลังเวลางานเพื่อขอให้ได้มีเวลาอยู่กับโพจา
“เธอซื้อแหวนวงนี้ให้ฉัน เพื่อเป็นสิ่งของแทนใจว่าฉันจะไม่ลืมเธอ แต่วันหนึ่งฉันอาจลืมหรือทำแหวนวงนี้หล่นหาย แต่ฉันไม่มีวันลืมเธอได้หรอก” นาอิมโชว์แหวนที่มีลวดลายสีขาวตัดสลับกับสีดำที่โพจาซื้อให้เขายื่นให้ผมดู เรา 3 คนนั่งคุยกันบนเก้าอี้ริมถนน JM Road ก่อนงานแต่งของโพจา 2 เดือน โพจาชวนผมและนาอิมไปงานแต่งของเธอ ก่อนที่ผมจะถามเขาทั้ง 2 ว่าแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่ หลังจากที่โพจาแต่งงานจะเป็นอย่างไร
“เรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” ในขณะที่โพจาตอบมานั้น นาอิมกับหลบสายตาไปทางอื่น เขาบอกว่ามันเจ็บปวดที่ต้องเห็นคนที่รักไปแต่งงานกับผู้ชายอื่นต่อหน้าต่อตาทั้งที่ยังคงรักกัน แต่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนคือทางเลือกเดียวที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ภายใจนาอิมปรากฏออกมาจากสีหน้า ผมจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องเทศกาลรอมฎอนของชาวมุสลิมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ นาอิมไม่ได้อดอาหารเหมือนมุสลิมคนอื่นๆ เขาบอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เขาเชื่อมั่นและศรัทธาในความเป็นมนุษย์ของตัวเขาและผู้คน
ช่วงบ่ายเราทั้ง 3 คน พากันไปหาของกินก่อนที่จะไปสิ้นสุดวันที่มหาวิทยาลัยปูเน่ บรรยากาศร้อนในช่วงบ่ายเย็นสบายลงเมื่อเข้ามาสู่พื้นที่มหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยต้นไม้ เหล่านักศึกษาต่างจับกลุ่มคุยกันตามสนามหญ้า วัยทำงานต่างมาออกกำลังกาย เดินเล่นภายใต้พื้นที่กว้างใหญ่ของสถานที่แห่งนี้
“ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณมันไม่มีทางเป็นไปได้ ทำไมถึงไม่ตัดใจตั้งแต่ทีแรก” ผมถามนาอิม
ก่อนเขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า ความรู้สึกคุณในวันข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไร เราต่างรู้ดีในตอนแรกว่าเราต่างกัน และเราก็ไม่ได้คิดที่จะจริงจัง แต่เมื่อความรักเกิดขึ้นแล้วมันไม่สามารถย้อนเวลากลับไปไม่ให้รู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าความรักของเรามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้แต่แค่มันเป็นไปได้ยาก”
นาอิมบอกว่าความรักของเขาคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ผมไม่เข้าใจคำว่าไม่มีเงื่อนไขสำหรับเขานั้นคืออะไร ได้แต่เฝ้ามองทั้ง 2 คน หยอกล้อและใช้เวลาช่วงสุดท้ายร่วมกันในเย็นวันนั้น บางทีช่วงเวลาเพียงแค่ 1 ปีสำหรับทั้งคู่ อาจเป็นเพียงความหลงใหลซึ่งกันและกัน แม้ทั้งคู่ยืนยันว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเลือกที่จะกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ก็จะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความรู้สึกของทั้ง 2 ฝ่ายที่มีให้แก่กัน
ผมอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่ โพจาบอกว่าเขาไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเพราะกลัวการถูกตัดสิน และกลัวการถูกเป็นขี้ปากให้คนเอาเรื่องราวของเธอไปพูดต่อ
วันพรุ่งนี้โพจาจะต้องไปลองชุดเจ้าสาวกับว่าที่เจ้าบ่าว และอีก 4-5 วันเธอต้องเดินทางกลับไปที่บ้านเกิดเพื่อเตรียมงานแต่งงาน มันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน
ในช่วงเวลาที่ผมต้องบอกลาทั้งคู่ ผมบอกว่าพวกเขาไม่ได้เผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อยู่กันแค่เพียงลำพัง อย่างน้อยก็มีผมที่ได้รับรู้เรื่องราว และเป็นกำลังใจให้พวกเขาเสมอ นาอิมก้มหน้าเอาฝ่ามือเช็คไปที่ดวงตา ในวันนั้นผมได้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมโพจาถึงได้รักผู้ชายคนนี้มากจนไม่อยากเสียเขาไป แต่ความรักก็ไม่มากพอที่จะช่วยทำลายความเชื่อและความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ศาสนา ที่ทั้งคู่บอกผมคำหนึ่งว่า แม้ในวันนี้วัฒนธรรมการจับคู่แต่งงานยังคงมีอยู่ และไม่มีทางจบลงในเร็ววัน แต่ในรุ่นต่อไปพวกเขาจะไม่ยอมรับและส่งต่อวัฒนธรรมเช่นนี้ไปให้กับลูกของตัวเอง
หลังจากนั้น 2 เดือนผมเดินทางกลับมาที่ไทย ผมเห็นโพจาลงรูปในไอจีว่าเธอกำลังทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง เราจึงมีโอกาสได้คุยกัน และได้รู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องแต่งงานแล้ว เพราะสามารถหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ในเมืองใหญ่ ผมดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น ก่อนอวยพรขอให้ความรักของเธอกับนาอิมสมหวังหลังจากผ่านอุปสรรคด้วยกันมาได้
ต่อมาผมก็งานยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาได้ติดต่อพูดคุยกับเพื่อนที่อินเดีย จนกระทั่งช่วงปลายปี 2023 ผมนึกถึงโพจาเลยทักไปหาเธอ ก่อนจะพบว่าเธอเพิ่งเลิกกับนาอิมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพราะฝ่ายชายไปแต่งงานกับคนที่ครอบครัวของเขาเลือกไว้ให้ โพจาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเธอซูบผอมและดวงตาที่เคยเป็นประกายก็หมองคล้ำลง เธอเคยเชื่อว่าผู้ชายคนนี้คือทุกอย่างในชีวิตเธอ ผมจึงบอกให้เธอร้องไห้เสียใจให้เต็มที่ ให้กำลังใจว่ายังมีคนที่รักเธอ และเหมาะสมกับเธอโดยไม่มีเงื่อนไขมากมายเช่นนี้รอเธออยู่ในสักวัน
ทั้งนี้ข้อมูลจากหลายแห่งยังยืนยันตรงกันว่า การแต่งงานในอินเดียประมาณ 90% คือการแต่งงานแบบ Arranged Marriages อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มว่าการแต่งงานด้วยความรักเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่ม Gen Z ซึ่งกว่า 69.2 % พวกเขาต้องการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง และแม้ว่าการเลือกคู่ครองด้วยตนเองจะเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศอินเดีย แต่การแต่งงานระหว่างศาสนานั้นยังถือเป็นเรื่องต้องห้าม
ตัวอย่างจากรัฐอุตตรประเทศในอินเดีย มีกฎหมายฉบับหนึ่งชื่อว่า The Uttar Pradesh Prohibition of Unlawful Religious Conversion Ordinance, 2020 มีกฎเกณฑ์สำหรับการห้ามเปลี่ยนศาสนาจากการถูกบีบบังคับล่อลวง และการเปลี่ยนศาสนาจากการแต่งงาน ซึ่งรายงานของ Pew Research Center ก็ได้ระบุว่าเกือบ 99% ของการแต่งงานในอินเดียมาจากคนที่นับถือศาสนาเดียวกัน ทั้งการฝ่าฝืนแต่งงานกันระหว่างศาสนา ความเสี่ยงที่จะถูกครอบครัวตัดขาด รวมทั้งการถูกสังหารในพื้นที่ที่ความเข้มข้นของศาสนารุนแรง
หากจะใช้สายตาคนนอกของผู้เขียนจากการเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ตามเมืองต่างๆ ในอินเดีย ก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงตามเมืองใหญ่ เช่น นิวเดลี มุมไบ บังคาลอร์ ภาพของหนุ่มสาวเดินจับมือ หรือคลอเคลียกันตามที่สาธารณะ ดูจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว กลับกันเมื่อต้องเดินทางไปยังพื้นที่ชนบท จารีตทางศาสนายังคงเข้มข้น ชายหญิงถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน และเรื่องเพศยังเป็นสิ่งต้องห้ามที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครอบครัว
อ้างอิงจาก