“เชื่อในพระพุทธ พระธรรม…แต่อาจไม่เชื่อในพระสงฆ์แล้ว”
เป็นเสียงสะท้อนจากพุทธศาสนิกชนส่วนหนึ่ง ในช่วงที่ข่าว ‘สีกากอล์ฟ’ เป็นที่พูดถึงทั่วทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข่าวฉาวเกี่ยวกับวงการสงฆ์ แต่ก็ถือเป็นอีกปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนพระพุทธศาสนาไทยครั้งใหญ่ เพราะทำให้ทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และประชาชนเริ่มเคลื่อนไหวและผลักดันการแก้ไขแนวทางอย่างจริงจัง
เพราะยิ่งมีการประพฤติมิชอบหรือข่าวทางศาสนาในเชิงลบมากเท่าไร ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาในพุทธศาสนิกชนไทย ก็ยิ่งเสื่อมถอยไปมากเท่านั้น สะท้อนผ่านกระแสสังคมที่คนรุ่นใหม่แสดงตัวไม่นับถือศาสนามากขึ้น ชักชวนกันให้บริจาคเงินกับแหล่งอื่นๆ มากกว่าวัด และมีคนบวชเป็นพระภิกษุสามเณรลดน้อยลงทุกปี และสะท้อนผ่านแบบสำรวจที่ตัวเลขบอกชัดว่าคนศรัทธาลงลง
ศรัทธาน้อยลงเพียงใด ต้องมีการปฏิรูปหรือเปล่า
ในปี 2561 นิด้าโพลได้ทำแบบสำรวจเรื่อง ‘ความศรัทธาของประชาชนต่อองค์กรพระสงฆ์ ในสถานการณ์ปัจจุบัน’ โดยสำรวจในประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ รวม 1,250 หน่วยตัวอย่าง
ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่าง 63.36% ยังมีความศรัทธาต่อองค์กรพระสงฆ์เท่าเดิม โดยบางส่วนให้เหตุผลว่า ศรัทธาเพราะยึดจากหลักธรรมคำสอน มิใช่ตัวบุคคล ในขณะที่บางส่วนระบุว่า ยังมีพระสงฆ์รูปอื่นๆ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่อีกจำนวนมาก
ในขณะที่ 35.52% ศรัทธาลดลง ซึ่งก็กระทบมาจากกระแสข่าวต่างๆ ที่ทำให้องค์กรพระสงฆ์ดูขาดความน่าเชื่อถือไป
จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด มี 85.28% ที่เห็นว่า ‘ควรมีการปฏิรูปองค์กรพระสงฆ์’ ให้มีแนวทางปฏิบัติชัดเจน และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์กรศาสนา
แม้จะเป็นแบบสำรวจในอดีต แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับกระแสการวิพากษ์วิจารณ์องค์กรพระสงฆ์จากข่าวในช่วงปี 2568 นี้ พบว่าคนในสังคมยังคงพูดถึงประเด็น ‘การเสื่อมศรัทธา’ และข้อเสนอเรื่อง ‘ปฏิรูปวงการสงฆ์’ อยู่ โดยหลายคนเชื่อว่า โครงสร้างของระบบใหญ่ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการประพฤติมิชอบ การโกงเงินวัด พุทธพาณิชย์ และปัญหาอื่นๆ ตามมา จึงเชื่อว่าการปฏิรูประบบจะช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้
เช่นนี้แล้ว องค์กรทางพระพุทธศาสนาในไทย อย่างวัด และองค์กรพระสงฆ์ ควรทำอย่างไร หรือมีส่วนใดบ้างที่ควรมีการปฏิรูป? เราขอเริ่มต้นโดยการชวนไปสำรวจปัจจัยต่างๆ ที่กระทบความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จากข่าวและกระแสวิจารณ์ที่ผ่านมากัน
ปัจจัยหลักที่ทำให้เสื่อมศรัทธา?
การประพฤติมิชอบของพระสงฆ์ที่ปรากฏเป็นข่าวต่อเนื่อง ได้ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรงในหมู่พุทธศาสนิกชน แม้จำนวนพระสงฆ์ที่กระทำผิดจะเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพระสงฆ์ทั้งหมดกว่า 3 แสนรูปในไทย แต่เมื่อเป็นข่าวก็ย่อมเกิดผลกระทบที่รุนแรงยิ่งกว่า
ประเภทหนึ่งของการประพฤติมิชอบที่คนให้ความสนใจและเป็นประเภทที่ถือเป็นอาบัติปาราชิกร้ายแรงที่สุด คือการผิดวินัยทางเพศ อย่างกรณี ‘สีกากอล์ฟ’ ที่เป็นกระแสข่าวใหญ่ในเดือนกรกฎาคม 2568 ว่าด้วยการเปิดเผยหลักฐานพฤติกรรมเสพเมถุนระหว่างพระสงฆ์กับสีกากอล์ฟ รวมถึง 9 รูป และยังมี 5 รูปในนั้นที่เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ
ซึ่งในอดีต ก็มีข่าวพระเสพเมถุนที่สะเทือนความศรัทธาของคนในสังคมมาแล้วอีกหลายเหตุการณ์ หนึ่งในเหตุการณ์ใหญ่ คือกรณี ‘อดีตพระยันตระ’ ที่มีญาติโยมเลื่อมใสจำนวนมาก จนมีการเปิดเผยว่าพระยันตระมีพฤติกรรมล่อลวงหญิงสาวและมีเพศสัมพันธ์ พร้อมยังมีการเปิดเผยสลิปบัตรเครดิตที่ญาติโยมถวาย ว่าถูกนำไปใช้ในสถานบริการทางเพศในต่างประเทศอีกด้วย
แต่เหตุการณ์เหล่านี้ ก็มักจะจบลงที่การเป็นข่าวใหญ่ จากนั้นก็เงียบลงไป พร้อมกับที่พระสงฆ์ที่ปรากฏเป็นข่าวออกจากความเป็นพระสงฆ์ไป แต่ทิ้งไว้ซึ่งภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาที่เสื่อมลงไป คนบางส่วนจึงเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อศาสนา เพราะสร้างผลกระทบไว้ แต่กลับไม่ต้องรับผิดจากทางโลก หรือการมีบทลงโทษตามกฎหมาย
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องการบริหารจัดการเงินวัด ด้วยวัดมีรายได้หลักจากเงินบริจาคหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งมีการประมาณการสูงถึง 54,417 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ วัดยังได้รับงบอุดหนุนจากภาครัฐจำนวนมหาศาล เฉลี่ยประมาณ 3,000-4,500 ล้านบาทต่อปี โดยรวมแล้ว วัดทั่วประเทศจึงถือครองสินทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกว่า 1.35 ล้านล้านบาท
ถึงจะมีเงินหมุนเวียนมหาศาล แต่วัดกลับมีสถานะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ กับวัดได้ และอำนาจเด็ดขาดในการบริหารจัดการทรัพย์สินขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาส ที่ก็อาจมีข้อจำกัดด้านความรู้ทางบัญชีด้วย และประชาชนไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบด้วย
นอกจากนั้น ระบบการทำบัญชีของวัดส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐานและไม่มีการบังคับส่งรายงานอย่างจริงจัง เห็นได้จากข้อมูลในปี 2558 ที่มีวัดรวมกว่า 41,000 แห่ง แต่มีวัดที่ส่งรายงานทางการเงินเพียงไม่ถึง 50.5% และ พศ. ยังมีบทบาทจำกัด คือการส่งเสริม ไม่ใช่กำกับควบคุม จึงมีข้อจำกัดในการตรวจสอบให้เข้มงวด
ปัจจัยทั้งหมดข้างต้น จึงทำให้วัดกลายเป็นพื้นที่สีเทา ที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์มิชอบ จนปรากฏอยู่ในหน้าข่าวถึงการทุจริตโกงเงินวัดอย่างต่อเนื่อง
การทุจริตมีหลายรูปแบบ ทั้ง ‘เงินทอนวัด’ ที่เจ้าหน้าที่ พศ. เสนอช่วยขอเงินงบประมาณแลกกับการบวกเพิ่มส่วนแบ่ง ‘การยักยอกเงิน’ หรือการนำเงินวัดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยอาจเป็นการแก้ไขตัวเลขในเช็คเงินสด ‘การฟอกเงิน’ โดยเปลี่ยนเงินผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายผ่านวัด เช่น สร้างและแบ่งรายได้จากการขายวัตถุมงคล
ยกตัวอย่างกรณีวัดไร่ขิง ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบอดีตเจ้าอาวาสและพวก ในข้อหาอนุมัติให้วัดร่วมลงทุนก่อสร้างอาคารพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตและผิดระเบียบของมหาเถรสมาคม ทำให้วัดได้รับความเสียหายถึง 180 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบการเบิกถอนเงินวัดไปใช้ส่วนตัว และการโอนเงินให้บุคคลอื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ห้ามถือเงินเกินแสน เพิ่มบทลงโทษทางโลก ทางออก(?) คืนความศรัทธา
วิกฤตศรัทธาในพระพุทธศาสนาของไทยเป็นประเด็นที่ซับซ้อน ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ที่ผ่านมาจึงมีความพยายามทั้งจากภาครัฐ คณะสงฆ์ และภาคประชาสังคมในการแก้ไขปัญหาและปฏิรูปวงการสงฆ์เพื่อฟื้นฟูศรัทธาให้กลับคืนมา
หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ โดยขณะนี้กำลังมีการพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลพฤติกรรมและการจัดการการเงินของพระสงฆ์
ล่าสุด พรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งจะกำหนดให้การกระทำบางอย่างของพระสงฆ์ที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาที่เป็นความผิดทางวินัยสงฆ์แล้วนั้น ให้เป็นความผิดทางอาญาด้วย เช่น การเสพเมถุน การอวดอุตริ (เช่น การแสดงอิทธิฤทธิ์) โดยจะมีโทษปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังครอบคลุมถึงฆราวาสที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติการณ์นั้นๆ ด้วย
นอกจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กำลังจะออกกฎกระทรวงควบคุมการเงินของวัด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 โดยมีข้อกำหนดสำคัญคือ ห้ามพระสงฆ์ถือเงินสดเกิน 100,000 บาท เงินทุกบาทต้องเข้าบัญชีวัดเท่านั้น โดยบัญชีต้องเป็นชื่อ “เงินของวัด…” หรือ “วัด…” และต้องฝากไว้กับธนาคารในพื้นที่ตั้งของวัด
โดยวัดทุกแห่งจะต้องจัดทำ บัญชีรายรับ-รายจ่ายรายเดือนและรายปี และการจะถอนเงินหรือสั่งจ่ายเช็คต้องมีผู้มีอำนาจลงนามอย่างน้อย 2 ใน 3 รูป/คน โดยมีเจ้าอาวาสลงนามทุกครั้ง ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษตามขั้นตอน
ที่สำคัญ คือในประเด็นการเงินจะต้องมีการเพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้ มีข้อเสนอและแนวทางปฏิบัติในการเสริมสร้างกลไกการกำกับดูแล โดย พศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับการรายงานทางการเงิน ของวัดให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด
นอกจากนี้ ควรมีการตรวจสอบบัญชีวัดโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นประจำ โดยเริ่มจากการสุ่มตรวจและขยายผลให้ครอบคลุมวัดทั้งหมด ในส่วนนี้ มหาเถรสมาคมเองก็ได้มอบหมายให้ พศ. ประสานงานกับหน่วยงานตรวจสอบภาครัฐ เช่น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบบัญชีวัดแล้ว
อีกประการคือการ เสนอให้ออกกฎหมายกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการวัด ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดี วัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังควร เร่งพัฒนาบุคลากรด้านการบริหารการเงิน โดยจัดอบรมไวยาวัจกรและกรรมการวัดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการรับบริจาค
ที่สำคัญที่สุด คือการฟื้นฟูศรัทธาจะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและกำกับดูแล เช่น ให้วัดเปิดเผยข้อมูลบัญชีรายรับ-รายจ่ายต่อสาธารณะ ซึ่งอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่น และยังกระตุ้นให้เกิดการเข้ามามีส่วนร่วมหรือติดตามการทำงานของวัดได้อย่างสม่ำเสมอ
‘แยกศาสนาออกจากรัฐ’ อาจเป็นทางแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นตอ
วิกฤตศรัทธาของพุทธศาสนา ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาเพียงแค่เชิงพฤติกรรมของพระสงฆ์ แต่ยังเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ ที่ถูกหมักหมมมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะกับการจัดการภายในแวดวงพุทธศาสนา ที่อยู่ในแบบรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป ส่งผลให้การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เพื่อให้สอดรับกับยุคสมัย และปัญหารูปแบบใหม่นั้นเป็นไปได้ยาก
ในแวดวงวิชาการเองก็มีข้อเสนอสำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ว่า ต้องปฏิรูปวงการพุทธศาสนาไทยครั้งใหญ่ด้วยการแยกศาสนาออกจากรัฐ ไม่ให้อำนาจของทั้งสองสิ่งนี้ทับซ้อนกันเหมือนทุกวัน
แม้จะไม่ได้กำหนดอย่างเป็นทางการในรัฐธรรมนูญ ว่าไทยมีศาสนาประจำชาติเป็นพระพุทธศาสนา แต่เมื่อความเชื่อที่สำคัญต่างๆ ถูกผูกโยงกับพระพุทธศาสนามาตลอดหน้าประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการจัดสรรงบอุดหนุนโดยรัฐ ก็อาจเรียกได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาทางการของไทย ที่มีอำนาจและได้รับการยอมรับมากกว่าศาสนาหรือความเชื่ออื่นๆ นำมาสู่การรวมอำนาจและขาดความหลากหลายในนั้น และอาจกลับกลายเป็นการบั่นทอนศรัทธาในพระพุทธศาสนาเสียเอง
ดังนั้น จากความท้าทายเรื่องวิกฤตศรัทธาที่พระพุทธศาสนาเผชิญอยู่ แนวคิดในการแยกศาสนาออกจากรัฐ (Secular State) จึงเป็นอีกข้อเสนอที่คนหยิบยกขึ้นมาพูดถึง ซึ่งไม่ได้หมายถึงการล้มล้างหรือกีดกันศาสนา แต่คือการที่รัฐวางตัวเป็นกลาง ไม่สนับสนุนศาสนาใดเป็นพิเศษ และให้ทุกศาสนาสามารถดำรงอยู่ และเผยแผ่ได้อย่างอิสระ
บทความของ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ บทเว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์ว่าด้วยวิกฤตศรัทธาของพุทธศาสนา ระบุว่า หากปรับนำศาสนาออกมาจากรัฐ ประการแรก คือจะเป็นการคืนอิสระให้คณะสงฆ์ บริหารจัดการตนเองอย่างแท้จริง ไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของภาครัฐหรือมหาเถรสมาคมที่มักรวมศูนย์อำนาจ และเน้นการรักษาโครงสร้างอำนาจเดิม เอื้อให้เกิดความหลากหลายทางนิกาย การตีความคำสอนใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับยุคสมัยได้มากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ คือเป็นการส่งเสริมเสรีภาพทางความคิดและความเชื่อ ปราศจากแรงกดดันหรืออคติ จากเดิมที่การเรียนการสอนในโรงเรียนยังมีการบังคับให้เรียนวิชาพระพุทธศาสนา ก็อาจปรับเป็นการศึกษาปรัชญาของทุกศาสนา รวมถึงความเชื่อท้องถิ่นในลักษณะของการตั้งคำถามและส่งเสริมความเป็นมนุษย์ สิทธิ และความเท่าเทียม เพื่อเปิดโอกาสให้คนใช้อิสรภาพทางศีลธรรม (moral autonomy; อิสรภาพในการตัดสินดี ชั่ว ถูก ผิด ด้วยวิจารณญาณของตนเอง)
ทั้งหมดนี้ยังอาจนำมาสู่การลดความรุนแรงทางจากอคติและการมองว่าศาสนาอื่นด้อยกว่า เป็นสังคมที่โอบรับความหลากหลาย และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทำให้พระพุทธศาสนา และทุกๆ ศาสนา ความเชื่อ เหลือเพียงเนื้อแท้ที่ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาสได้มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง และ ‘ความศรัทธา’ ก็อาจกลับคืนมาได้ในที่สุด