“สีกาก. สัมพันธ์สวาทพระผู้ใหญ่ สะเทือนวงการสงฆ์”
“จากหมอบีสู่พระอลงกต แฉ วัดพระบาทน้ำพุ ช็อกคนทั้งประเทศ”
“ผลตรวจสอบวัดไร่ขิง พบความผิดปกติทุกยอดรายได้”
“วงการผ้าเหลืองไม่แผ่ว เจ้าอาวาสวัดดังฟอกเงิน”
นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งจากพาดหัวข่าวของสื่อหลายสำนัก ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสำหรับปี 2568 นี้ ‘พระ’ กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางจนส่งแรงสั่นสะเทือนถึง ศรัทธา ของชาวพุทธในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความศรัทธาจากนิด้าโพล ที่ระบุว่า กว่า 58.40% รู้สึกว่าศรัทธาในพระสงฆ์ลดลง ขณะที่ 31.45% ศรัทธาในศาสนาพุทธลดลงด้วย
เมื่อผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น คำว่า ศรัทธา กลายเป็นสิ่งที่ดูแปลกตาไปจากเดิม บางคนบอกว่ามันกำลังสั่นคลอน บางคนบอกว่ามันจะไม่เหมือนเดิม ขณะที่บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหลืออะไรให้ศรัทธาอีกต่อไป เราเลยขอพาทุกคนไปสำรวจภาพรวมของ วิกฤตศรัทธา ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ผ่านบทสนทนากับ รศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อชวนทุกคนมองวิกฤตครั้งนี้และทบทวนไปพร้อมกันว่า ศรัทธา ควรมีหน้าตาแบบไหนในยุคที่โลกเปลี่ยนไปเร็วขึ้นทุกวัน

via Shutterstock
“จริงๆ ถามว่าวิกฤตนี้สะท้อนอะไร มันก็สะท้อนถึงความหละหลวมของพระที่ควรจะเป็นมาตรฐานทางศีลธรรมในสังคมไทย แต่ว่าถามว่าเรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นเลยหรือ ก็คงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเอาเข้าจริงในสมัยพระพุทธกาลก็ดี หรือในสมัยรัตนโกสินทร์ อยุธยา อะไรก็แล้วแต่ เรื่องแบบนี้มันก็มีมาตลอดประวัติศาสตร์ ฉะนั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่” ดนัยเริ่มเล่า
ดนัยเล่าต่อว่า ในสมัยพุทธกาลเองเรื่องเหล่านี้ก็เคยมีปรากฎให้เห็น และไม่อาจนับเป็นภาพแทนสังคมไทยโดยรวมได้ หากแต่สะท้อนภาพรวมของสังคมสงฆ์ในเวลานี้ว่ากำลังมีปัญหา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่อง พระธรรมวินัย ที่อาจไม่ได้เข้มข้นเข้มงวดอย่างที่ควรจะเป็น
“เรามักจะฝาก ศรัทธา ไว้กับตัวบุคคล ซึ่งพอพระสงฆ์เป็นแบบนี้คนก็อกหัก เพราะเราก็ไปคาดหวังว่าพระสงฆ์ ซึ่งควรจะเป็นตัวแทนของคนที่มีคุณธรรมสูงกว่าคนทั่วไปก็ดันเป็นซะเอง มันก็ทำให้ศรัทธาเสื่อมแน่นอน”
“ทีนี้พอศรัทธามันเสื่อมก็อยู่ที่คนรับแล้วว่า ศรัทธานี้ยึดมั่นอยู่กับอะไร หากยึดมั่นที่บุคคลก็แน่นอนว่าจิตตกและรู้สึกเฟล ขณะที่บางคนที่ศรัทธาในหลักการ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะแม้ตัวบุคคลจะหายไปแต่หลักการจะยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าบุคคลไม่สามารถประพฤติตามหลักการได้เท่านั้นเอง” นักวิชาการศาสนารายนี้กล่าวพร้อมกับย้ำว่า สุดท้ายแล้วไม่ว่าศรัทธาจะถูกยึดมั่นอยู่กับสิ่งใด วิกฤตนี้ก็ทำให้จิตตกเหมือนกัน เหมือนกับปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง

via Shutterstock
คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามกับ ‘ความเชื่อ’ มากขึ้น
นักวิชาการรายนี้เชื่อว่าการที่สังคมยุคใหม่เริ่มตั้งคำถามถึงความเชื่อถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะในศาสนาพุทธนั้นสอนให้เราพิจารณาด้วยปัญญาก่อนที่จะเชื่อ ไม่ได้สอนให้เชื่อเลยทันที ซึ่งขัดแย้งกับ พุทธแบบไทย ที่สอนให้เชื่อและไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
“พุทธแบบบ้านเราเป็นพุทธที่สอนให้เชื่อง ให้เชื่อ สอนแบบไม่ให้ตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรการศึกษาหรือว่าอะไรก็ตาม หรือการสร้างความรักชาติก็ต้องการเอาศาสนามากล่อมเกลาประชาชนให้ว่าง่าย ให้เชื่อง ไม่ดื้อดึง ไม่กระด้างกระเดื่อง ซึ่งมันก็ขัดกับธรรมชาติของพุทธ เพราะพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นคนเชื่อง พระพุทธเจ้ามีความเป็นอินดี้ เป็นตัวของตัวเองสูง ไม่งั้นจะประกาศศาสนาใหม่ได้อย่างไร หากพระพุทธเจ้าเป็นคนเชื่องๆ ก็คงอยู่ในบริบทฮินดูโดยไม่ต้องตั้งคำถามอะไร” ดนัยกล่าว
“เมื่อศาสนาถูกรัฐนำไปใช้ ทำให้พุทธกลายเป็นศาสนาที่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กลัวบาปกลัวกรรม กลัวอำนาจวาสนา กลัวไปซะทุกอย่าง กลัวแม้กระทั่งจะตรวจสอบความจริง ซึ่งมันก็เลยเป็นเรื่องดีถ้าศรัทธามันจะถูกรีโนเวทใหม่ให้เป็นไปตามหลักมากขึ้น มันก็จะยิ่งใกล้เคียงกับหลักคำสอนพุทธที่ถูกต้องมากขึ้น”

via Shutterstock
ศรัทธาเปลี่ยนไปทำให้ พระ กลายเป็นอาชีพ?
หนึ่งในความเห็นจากโซเชียลมีเดียในช่วงที่มีกระแสข่าวฉาวของพระนั่นคือการขอให้พระกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถตรวจสอบได้ไปจนถึงเสียภาษี ซึ่งนักวิชาการศาสนารายนี้ยังไม่เห็นด้วยและมองว่า พระ ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นบุคคลที่พยายามออกจากทางโลก ซึ่งตามอุดมคติแล้วพระไม่ควรจะเป็นผู้ที่มีรายได้ เพราะตามพระธรรมวินัยพระไม่สามารถรับเงินทองได้ แต่หลังจากที่รูปแบบของศรัทธามันเปลี่ยนไป พระจึงกลายเป็นอาชีพ
“พระที่รวยพอจะจ่ายภาษีเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับพระที่บิณฑบาตกับญาติโยมจริงๆ ไม่ได้มีความอู้ฟู้แบบทุนนิยม ถ้าเราจะใช้หลักการเดียวไปครอบงำทั้งหมดก็จะส่งผลถึงคณะสงฆ์โดยรวม ไม่ควรจะมาเก็บภาษีพระ แต่ควรจะบริหารจัดการว่าควรทำอย่างไรให้พระที่ได้เงินไปไม่เอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร” ดนัยแสดงความเห็น
“แต่สมัยนี้สังคมไทยไปเกิดวาทกรรม ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เราทำบุญของเราสบายใจ ท่านจะเอาไปทำอะไรเรื่องของท่าน มันเป็นวิธีคิดแบบไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณา”
ดนัยมองว่า ตั้งแต่คณะสงฆ์ไปจนถึงเจ้าอาวาส ญาติโยม ชุมชนเองก็ต้องคอยสอดส่อง ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะในสมัยพุทธกาลเองชาวบ้านก็มักจะเอาเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องพระทำไม่ดีมาฟ้องพระพุทธเจ้าเช่นกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าเองก็บัญญัติพระวินัย ข้อสิกขาบท ข้อบันทึกปฏิบัติไม่ให้พระไปทำอะไรกระทบกระเทือนจิตใจชาวบ้าน

via Shutterstock
สื่อ-โซเชียลมีเดีย ตัวขยายวิกฤตศรัทธา?
ต้องยอมรับว่าคนในยุคปัจจุบันสามารถเข้าถึงสื่อ-โซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็วต่างจากสมัยพุทธกาล ในยุคที่เราแทบจะทุกคนมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง และสามารถโพสต์อะไรก็ตามบนอินเตอร์เน็ตและเห็นได้ทั้งโลก ซึ่งนักวิชาการศาสนารายนี้มองว่าไม่ใช่ข้อเสียแต่อย่างใด
“เราก็ต้องยอมรับพลังของเทคโนโลยีว่ามันมีผลที่จะทำให้เรื่องเหล่านี้แพร่หลายไปได้ไกล ซึ่งมันก็ไม่ใช่ข้อเสียนะ บางทีคนที่เป็นอนุรักษนิยมก็จะมองว่า พวกสื่อนี่แหละที่ทำให้สังคมมันเสีย แต่ถ้ามองอีกมุมนึงถ้าพระท่านประพฤติปฏิบัติดี สื่อก็ช่วยขยายความดีให้กว้างไกลเหมือนกัน”
ดนัยชี้ว่า ปัญหาที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่สื่อ หากแต่เป็นการประพฤติตัวเสียมากกว่า ซึ่งการมีสื่อนั้นทำให้คนเกิด หิริโอตตัปปะ (ความละอายบาป (หิริ) และความเกรงกลัวต่อบาป (โอตตัปปะ)) มากขึ้น ทั้งกลัวโซเชียล กลัวโดนแขวน ฯลฯ โดยที่พระเองก็จะต้องระมัดระวังมากขึ้นและสำรวมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของศาสนา
“ซึ่งอันนี้จริงๆ พระก็อาจจะต้องเรียนวิชาใช้สื่อสาธารณะ ไม่ใช่โพสต์ออกไปแล้วพอถึงเวลามาโทษสื่อ แล้วถามว่าสื่อเอาข้อมูลมาจากไหนล่ะ?” เขาตั้งคำถาม
เรายกตัวอย่างให้อาจารย์ดนัยเพิ่มเติมถึงกรณีที่พระใช้สื่อ-โซเชียลเพื่อแสดงธรรมเทศนาผ่านการไลฟ์สด ซึ่งเขามองว่าหากทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ หวังเผยแผ่ธรรมก็ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“เพราะทุกวันนี้ใครจะเข้าวัดล่ะ ถูกไหม?” เขาตั้งคำถามกลับพร้อมบอกอีกว่า “แต่ก็ต้องดูว่าคอนเทนต์ที่พูดคืออะไร ถ้าเป็นการเรี่ยไร ขอบริจาคมากเกินไปก็อาจจะไม่เหมาะ แต่ถ้าเป็นการเทศน์เพื่อยกระดับสติปัญญาคนมันก็ดี แต่ก็อย่าไปหลงโซเชียลมาก ต้องสำรวมอยู่บนพื้นฐานของพระธรรมวินัยให้เหมาะกับกาลสมัย”
วงการสงฆ์กับ ‘การศึกษา’ ที่ล้าหลัง
‘ปฏิรูปวงการสงฆ์’ กลายเป็นคำถามและข้อเรียกร้องที่เรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในมุมมองของดนัยชี้ว่า การศึกษา คือสิ่งแรกที่ควรปฏิรูป
“ส่วนตัวคิดว่าการศึกษาของคณะสงฆ์ค่อนข้างล้าหลัง หลักสูตรต่างๆ ถ้าไม่ใช่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ เช่น หลักสูตรนักธรรมบาลี มันเป็นหลักสูตรที่ไม่ได้ถูกปรับปรุงมาเป็นร้อยปี”
“ฉะนั้น เรื่องการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ เพื่อให้พระต้องทันโลก แม้กระทั่งสื่อโซเชียล หรือกฎหมายบางข้อที่ต่อไปพระก็อาจจะต้องรู้ เช่น การฟอกเงิน เพราะบางครั้งพระก็เป็นเหยื่อถูกหลอกได้เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ควรมีความรู้มากขึ้น” เขากล่าวพร้อมเสริมว่า ในเชิงการปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน
“ถ้าท่านไม่ฝึกจิตใจให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างบ้าคลั่งนี้ ท่านก็อยู่ยาก”

via Shutterstock
นอกเหนือไปจากการปฏิรูปการศึกษาของสงฆ์แล้ว วิชาพระพุทธศาสนา ในแบบเรียนของเราต้องปรับเปลี่ยนอะไรไหม?
“อย่างที่บอกไปว่าวิชาพุทธในบ้านเรามันเป็นวิชาที่รัฐออกแบบให้ประชาชนว่านอนสอนง่าย ไม่ได้ออกแบบให้ประชาชนมีปัญญา ทีนี้ถ้ารัฐจะหวัง (ซึ่งรัฐจะหวังไหมก็ไม่รู้) เพราะถ้าประชาชนฉลาดขึ้น มันก็ปกครองยากถูกไหม? แต่ถ้ารัฐคิดว่าการปรับเปลี่ยนให้ประชาชนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า รัฐควรจะต้องให้ปัญญากับสังคม ดังนั้นระบบการศึกษาของทางโลกเองมันก็ต้องเปลี่ยน วิชาพุทธก็ควรจะเปลี่ยนเป็นพุทธที่เมคเซนส์ ไม่ใช่พุทธที่งมงาย”
“เป็นพุทธที่กล้าตั้งคำถาม เป็นพุทธที่วิพากษ์ได้ เป็นพุทธที่สามารถเข้าถึงได้ มันก็จะทำให้เกิดการลับสติปัญญาให้เป็น พุทธะ หรือผู้รู้จริงๆ”
แนวโน้มสงฆ์ไทย และศรัทธาในอนาคต
เมื่อพูดถึงแนวโน้มของสงฆ์ ดนัยมองว่า จากกรณีต่างๆ ทั้งทิดแย้ม, สีกากอล์ฟ, วัดพระบาทน้ำพุ และก็คงจะมีอีกหลายระลอก ทำให้ชาวพุทธส่วนหนึ่งตั้งคำถามและเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำบุญชาวพุทธบางส่วนไป ขณะที่พระสงฆ์เองก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน “หลายคนอกหักกับวัดก็หันไปทำบุญกับอย่างอื่น เช่น สัตว์ เด็ก โรงพยาบาล ซึ่งมันก็บุญทั้งนั้น”

via Shutterstock
แปลว่าศรัทธามันจะแปรเปลี่ยนไปสู่รูปแบบอื่น?
ดนัยคิดว่า ศรัทธาจะยังคงอยู่ดังเดิม หากแต่มี ปัญญา เข้ามาประกอบมากขึ้น ซึ่งเขาหวังให้เป็นเช่นนั้น และเชื่อว่าสังคมในเวลานี้มีความตื่นรู้พอสมควรจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ประกอบกับที่ในโซเชียลมีเดียเองก็เริ่มกล้าวิพากษ์วิจารณ์พระมากขึ้นด้วย
“ก็หวังว่ากระบวนการทางสังคมแบบนี้จะส่งผลให้พระระมัดระวังตัวมากขึ้น ผมคิดว่าพระที่ดีท่านก็รับลูกนะ ผมว่ามันน่าจะเป็นการชำระล้างครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งผมมองว่าดีกว่าเราปล่อยให้คนที่เป็นอลัชชี (ผู้ไม่มีความละอาย) เป็นพระเลว อยู่ในศาสนาต่อไป อันนี้เท่ากับทำลายศาสนาระยะยาว” ดนัยทิ้งท้าย