เมื่อความสัมพันธ์ตอนนี้ไม่ได้มีแค่จีบ คบ จบ เลิก
เชื่อว่าหลายคนกำลังประสบปัญหากับการนิยามความสัมพันธ์ของตัวเอง เพราะบางครั้งมันก็ยากเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำคำเดียว ว่าตอนนี้เรากำลังเจอกับอะไร หรืออยู่ในความสัมพันธ์รูปแบบไหนกันแน่
ด้วยตัวแปรในชีวิตที่เพิ่มขึ้นและสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้วัฏจักรความรักความสัมพันธ์ในแบบเดิมๆ ที่เรารู้จักถูกท้าทายไปจากเดิม ไม่ได้มีแค่การจีบกัน คบกัน แล้วก็เลิกรากันไปเหมือนอย่างเมื่อก่อน ดังที่เห็นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่างโซเชียลมีเดียและแอพพลิเคชั่นหาคู่มากมาย หรือซีรีส์ เพลง รายการโทรทัศน์ ฯลฯ ที่เข้ามามีอิทธิพลกับการรับรู้และพฤติกรรมของผู้คน สมัยนี้จึงเกิดคำนิยามความรักหรือประสบการณ์ความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากสมัยก่อน โดยมีเรื่องของการตอบแชท การกดไลก์ หรือการหายตัวไปเข้ามา
มาดูกันว่าสื่อกระแสหลัก สื่อออนไลน์ ป๊อปคัลเจอร์ และไลฟ์สไตล์ของคนสมัยใหม่ ได้ก่อให้เกิดคำศัพท์หรือนิยามความรักความสัมพันธ์แบบไหนกันบ้าง
Fleabagging
คำว่า fleabagging เริ่มมาจากรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ‘Fleabag’ ที่สร้างโดยฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์ (Phoebe Waller-Bridge) ซึ่งในรายการโทรทัศน์นี้ มีฉากที่ตัวละครหนึ่งเดทกับผู้ชายที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ จึงทำให้ fleabagging กลายเป็นคำเรียกของปรากฏการณ์การเดท ที่คนคนหนึ่งเลือกเดทกับคนผิดคน หรือเรียกว่าเดทกับ ‘คนที่ไม่ใช่’ อยู่เรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อ้างอิงจากเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลการเดท Plenty of Fish การ fleabagging เป็นเรื่องปกติสำหรับสาวๆ เพราะกว่า 63% ยอมรับว่าตัวเองเคยเลือกเดทกับคนที่ไม่ใช่ เปรียบเทียบกับหนุ่มๆ ที่เคยเจอประสบการณ์นี้เพียงแค่ 38%
Ghosting
คำนี้เป็นที่รู้จักกันมาซักพักแล้วว่าหมายถึงการกระทำความ ‘ผี’ หรือการที่คุยกันอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หรือขอตัวไปทำธุระอย่างอาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือ ทำงาน จนข้ามปีมาแล้วเขาก็ยังทำธุระไม่เสร็จ ปล่อยให้เรางงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรยากซักเท่าไหร่ เพราะ ghosting มันก็คือการ ‘จบความสัมพันธ์’ โดยที่ไม่มีการบอกเลิกให้เสียใจเท่านั้นเอง (แบบนี้ไม่เสียใจเลยเนอะ!)
Cushioning
เหมือนกับคุชชั่นที่ผู้หญิงมักจะใช้ทาบนหน้า เพื่อเป็นการ ‘รองรับ’ การแต่งหน้าขั้นต่อๆ ไปอีกที ดังนั้น cushioning จึงหมายถึงการเตรียมรับมือหรือมีแผนสำรองไว้ เผื่อคนที่กำลังคุยอยู่เท เขาจะได้เริ่มรักครั้งใหม่ได้ทันทีโดยไม่เจ็บปวด
Soft Ghosting
เมื่อ ghosting ดูจะเป็นสิ่งที่ใจร้ายเกินไป สมัยนี้เลยมีการปรับให้อ่อนโยนมากขึ้น ด้วยการทิ้งร่องรอย ‘รูปหัวใจ’ เอาไว้ หรือเป็นการ ‘กดไลก์’ ให้กับข้อความล่าสุดที่เราส่งไป เพื่อทำให้ดูเหมือนกับว่าเขาคือคนสุดท้ายที่ตอบแชท แต่จริงๆ เขาเพียงแค่ต้องการจบบทสนทนาที่น่าเบื่อหรือไม่รู้จะคุยอะไรต่อเท่านั้นเอง
พฤติกรรมนี้จึงดูไม่ใจร้ายเท่ากับการ ghosting แต่ก็ชวนให้สงสัยเหมือนกันว่าเราต้องต่อบทสนทนายังไงดี หรือการที่เขากดไลก์นั้นกำลังหมายความว่าอะไรอยู่ แล้วหากเราชวนคุยต่อหรือทักซ้ำ ก็อาจกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้กับเขาได้เช่นกัน
Dial Toning
dial toning คือการหายหน้าที่ไม่เหมือนกับ ghosting หรือ soft ghosting เพราะมันคือการที่เราไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากอีกฝ่าย ‘เลย’ ตั้งแต่แรก แต่ ghosting อย่างน้อยก็มีการติดต่อกันก่อนหน้าที่จะหายไป หากอธิบายชัดๆ เลยก็คือ เป็นการที่อีกฝ่ายให้เบอร์หรือช่องทางติดต่อเรามา แต่เมื่อเราทักไปหา เขาดันไม่ตอบกลับเลยแม้แต่ประโยคเดียว ซึ่งข้อมูลจากเว็บ Plenty of Fish ก็พบว่า คนโสดกว่า 60% มีประสบการณ์แบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือแย่กว่า ghosting
Cause-Playing
คนบางคนก็แค่กลับมาติดต่อเราเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแค่นั้น cause-playing จึงหมายถึงการที่คนคุยเก่าหรือแฟนเก่าจู่ๆ ก็ทักมา เพื่อขอให้เราทำอะไรสักอย่างให้ เช่น ขอให้ไลก์โพสต์ในอินสตาแกรม ช่วยบริจาคเงินให้กับแคมเปญเพื่อการกุศล ซึ่งลักษณะของการขอ มักจะเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อผูกมัดหรือการลงทุนอะไรที่มากมายนัก เป็นการขอให้ช่วยในเรื่องที่ดี เพราะนั่นจะทำให้เราค่อนข้างยินดีที่จะช่วยเหลือ และมีคนโสดกว่า 61% เผยว่าเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว
Eclipsing
เรามักจะสนใจคนที่เทสต์หรือความสนใจคล้ายๆ กัน อย่างการฟังเพลงแนวเดียวกัน กินอะไรเหมือนๆ กัน หรือแม้กระทั่งแต่งตัวคล้ายๆ กัน จึงไม่แปลกที่วันหนึ่งเราจะเห็นเพื่อนของเราจู่ๆ ก็เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว ฟังเพลงแนวที่ไม่เคยฟัง หรือกินอาหารที่ปกติไม่ค่อยกิน และเกิดคำถามว่า “แกไม่เคยเป็นแบบนี้นี่?”
คำว่า eclipsing จึงใช้อธิบายเวลาที่คนเราเริ่มที่จะปรับตัวหรือกระทำอะไรคล้ายๆ กับคนที่กำลังเดทอยู่ เพื่อให้เขารู้ว่าเราก็มีความสนใจเช่นเดียวกันกับเขา หรืออีกอย่างหนึ่งก็เพื่อให้เขาประทับใจในตัวเรานั่นเอง ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของคนโสดหรือ 48% บอกว่า พวกเขาเคยเจอคนที่ปรับความสนใจหรืองานอดิเรกของตัวเองให้เข้ากับพวกเขา ซึ่งอีก 45% ของคนโสดก็ยังบอกอีกว่า ตัวเองเคยกระทำการ eclipsing มาก่อนเช่นกัน
Exoskeleton-ing
ถ้าใครเคยโดนแฟนเก่าของแฟนใหม่ตามรังควาน คงจะเข้าใจโมเมนต์นี้ดี exoskeleton-ing ก็คือการที่แฟนเก่าของคนที่กำลังคบอยู่มาคอยตามติดชีวิตหรือพยายามติดต่อเรา ทั้งในชีวิตจริงหรือบนโซเชียลมีเดีย อย่างการเข้ามาส่อง มาคอมเมนต์ มากดไลก์ หรือทักมาพูดคุย การ exoskeleton-ing บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาร้ายอย่างเดียว บางคนอาจจะมาดีหรือต้องการผูกมิตรด้วย แต่ก็นั่นแหละ มันก็ทำให้ชีวิตของเราและคนที่กำลังคบอยู่เกิดความปั่นป่วนหรือวุ่นวายได้อยู่ดี
Yellow Carding
หลายอันเราจะเห็นว่าเป็นการเดทที่ค่อนข้างคลุมเครือและค่อนข้างแย่ต่อความสัมพันธ์ แต่ yellow carding ไม่ใช่แบบนั้น จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ดี เพราะเวลาที่เรารู้สึกว่าพฤติกรรมการเดทของคู่เรานั้นเริ่มไปในทิศทางที่ไม่ดี เช่น ไม่มีมารยาท หยาบคาย หรือไม่ให้เกียรติ เรามีความกล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อบอกเขาว่าเรากำลังไม่โอเค เหมือนกับเป็นการยื่นใบเหลืองเพื่อเป็นการเตือนในสนามฟุตบอลนั่นเอง
Blue-stalling
คำนี้เป็นคำธิบายความสัมพันธ์ที่น่าสับสน เพราะมันพูดถึงเวลาที่คนสองคนทำทุกอย่างราวกับว่าเป็นแฟนกัน เช่น ไปทานข้าว ดูหนัง เจอเพื่อนๆ หรือพ่อแม่ของอีกฝ่าย แต่จู่ๆ ดันมีคนหนึ่งบอกว่าตัวเองยังไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ที่ผูกมัดครั้งนี้ เอ๋? แล้วที่ผ่านมาคืออะไรกันนะ?
Breadcrumbing
เป็นการให้ความหวังหรือหลอกล่อคนคนหนึ่งผ่านข้อความหวานๆ เหมือนที่แม่มดในเรื่องฮันเซลกับเกรเทลโรยเกล็ดขนมปังเพื่อล่อเด็กๆ ไปยังบ้านของตัวเอง ซึ่งเกล็ดขนมปังในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้านั่นก็คือข้อความบนโซเชียลมีเดียที่เราใช้ส่ง เพื่อทำให้ ‘คนที่กำลังสนใจเรา’ เข้ามาติดหนึบในความสัมพันธ์ครั้งนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้คิดอะไรกับเขาในเชิงโรแมนติกเลยก็ตาม
Lovebombing
ระวังจะโดนระเบิดความรักลูกใหญ่โจมตีอย่างจังๆ ความสัมพันธ์แบบ lovebombing เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนเจอ เพราะพวกเธอมักจะถูกทำให้คล้อยตามด้วยคำพูดหวานๆ ของขวัญ คำมั่นสัญญาในอนาคต หรือท่าทีการแสดงความรักสุดโรแมนติก แต่พอผ่านช่วงนั้นไปซักพัก เขาก็จะเปรียบจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้เลย กลายเป็นอีกคนที่เราคิดไม่ถึงว่าจะเป็นได้ อาจจะขี้หวง ขี้หึง บอสซี่ใส่ จนเราอาจจะต้องเสียน้ำตาไปหลายลิตร และต่อให้เราอยากเลิก เขาก็จะไม่ปล่อยเราไปไหน ด้วยการทำดีใส่ แล้วก็ทำแย่ใส่ แล้วก็ทำดีใส่ แล้วก็ทำแย่ใส่ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ toxic อย่างหนึ่ง
Paperclipping
เหมือนกับตัว paperclip หรือตัวช่วยรูปคลิปหนีบกระดาษใน Microsoft Word ที่แม้จะไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ แต่ก็ชอบโผล่ขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ paperclipping จึงเปรียบกับความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายไม่มีการทักหา หรือติดต่อมา แต่ก็ยังปรากฏตัวให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทั้งโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริง เพื่อให้เรารู้สึกว่าเขายังมีตัวตนอยู่นะ อย่าเพิ่งลืมกันสิ
Microcheating
อย่างที่รู้ๆ กันว่าการนอกใจเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ การจับได้ว่าแฟนไปอยู่กับคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่น่าโมโหถึงขั้นยอมจบความสัมพันธ์ได้ ดังนั้น สมัยนี้จึงเกิดเป็นการนอกใจระดับไมโคร ซึ่งก็ถือว่าเป็นการนอกใจอยู่ดี เพียงแต่ว่าเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างแอบไปรัวไลค์ให้สาวคนนั้น คอมเมนต์รูปชมหนุ่มคนนี้ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกลึกข้างในใจ อย่างการมองว่าคนอื่นสวย หล่อ น่ารัก หรือดีกว่าแฟนตัวเอง นี่ก็ถือว่าเป็นการนอกใจระดับไมโครได้เช่นกัน
Fishing
เมื่อเหวี่ยงเบ็ดตกปลาลงไปในน้ำ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะได้ปลาตัวไหน เราก็แค่รอให้ปลาซักตัวมากินเบ็ดแค่นั้น คำศัพท์นี้จึงเป็นคำง่ายๆ ที่อธิบายพฤติกรรมการคุยเผื่อเลือก คุยไปเรื่อย คุยทีเดียวหลายๆ คน เพื่อรอดูว่าจะจีบคนไหนติด ได้คนไหนก็คนนั้น อารมณ์แบบคาสโนว่าและคาสโนวี่นั่นเอง
Submarining
มาทำไมให้อายบ้านนาล่ะนวลน้อง? ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งดองแชทฉันจนเค็ม แต่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเหมือนเรือดำน้ำ DM มาหาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันน่ะสับสนไปหมดแล้ว! การ submarining ก็คือการที่คนๆ หนึ่งกลับมาหลัง ghosting หรือหลังจากหายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โดยทันทีที่เขากลับมา เขาก็พูดคุยหรือทักทายปกติ เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้หายไปไหน หรือไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เขาหายไป ราวกับว่าไม่เคยทิ้งให้เราเจ็บปวดมาก่อน
Orbiting
ใกล้พอจะมองเห็น แต่ก็ไกลเกินกว่าที่จะสัมผัส การ orbiting จึงเหมือนกับการที่เราทำตัวเป็นดาวหาง โคจรอยู่รอบๆ คนที่จบความสัมพันธ์กันไปแล้ว ไม่ทำอะไรมากไปกว่าการส่องไอจี ส่องเฟซบุ๊ก หรือคอยกดไลก์รูปและสเตตัสอยู่เงียบๆ
Stashing
คบกันมาก็หลายเดือน แต่เขาไม่เคยพาคุณไปเจอเพื่อนหรือครอบครัวเลย แสดงว่าเขากำลัง stashing เราอยู่ อาจจะเพราะความไม่มั่นใจว่าเราจะเป็นคนคนนั้นจริงหรือเปล่า หรือคิดว่าน่าจะมีคนที่ดีกว่าเรารออยู่ จึงไม่กล้าพาเราไปเปิดตัวให้คนรอบข้างรู้จักนั่นเอง
Grande-ing
เป็นการนำป๊อปคัลเจอร์นั่นก็คือชื่อนักร้องสาวอารีอานา กรานเด (Ariana Grande) มาใช้อธิบายความสัมพันธ์ที่พอเราเลิกรากับคนรักไป เราไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือแค้นอะไรเขา แต่กลับยินดีมากกว่าที่ความสัมพันธ์นี้จบไป เพราะฉันจะได้เชิญคนใหม่เข้ามาซักที Thank you, next!
Sneating
น่าจะเป็นเหตุผลที่ช่วงช็อตๆ เราอยากไปออกเดท เพราะ sneating ก็คือการออกไปกินข้าวเพียงเพราะจะได้ ‘กินฟรี’
Scroogeing
และต่อจากข้างบน หากเราเริ่มเดทหรือนัดกินข้าวกับใคร เพียงเพราะจะได้กินฟรี งั้นเราก็หักอกใครก่อนวันเกิดเขาหรือวันคริสต์มาสได้ เพียงเพราะเราไม่มีเงินจะซื้อของขวัญให้นั่นเอง (เห็นหรือยังว่าความจนมันน่ากลัว)
V-lationshipping
ทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เขาคนนั้นจะกลับมา V-lationshipping ใช้พูดถึงคนคุยเก่าหรือคนที่เคยคบ พยายามมาวนเวียนใกล้ๆ หรือปรากฏตัวให้เราเห็นอีกครั้งในช่วงใกล้ๆ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเขาไม่ได้ต้องการกลับมาคบหรืออะไร แต่เป็นเพราะเขา ‘เหงา’ หรือเพิ่งผ่านการเลิกรามาเฉยๆ
Shadowing
บางคนชอบโพสต์รูปที่ถ่ายกับ ‘เพื่อน’ แซ่บๆ ฮอตๆ เพื่อให้คนเหมารวมว่าเราก็เป็นคนที่น่าดึงดูดเช่นกัน เหมือนเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเองทางอ้อม จึงเรียกการกระทำนี้ได้ว่า shadowing คือคอยเป็น ‘เงา’ ตามติดอยู่ใกล้ๆ
R-bombing
นี่อ่านเสร็จเขาก็โยนมือถือออกนอกโลกเลยหรือไงนะ? r-bombing หรือ read bombing ก็คือการที่อีกฝ่ายอ่านข้อความเราทั้งหมด แต่ไม่มีการตอบกลับ ทิ้งไว้แค่สัญลักษณ์ที่ขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ เท่านั้น ชวนให้สงสัยปนกังวลว่าพออ่านเสร็จเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนั้นหรือเปล่า อ่านปุ๊บมือถือแบตเตอรี่หมด หรือโดนพวกวิ่งราวฉกโทรศัพท์ไป หรือยังไง?
Prowling
พูดแบบเข้าใจง่ายเลยก็คืออาการ ‘ผีเข้าผีออก’ นาทีก่อนหน้านี้ยังบอกรักนักรักหนา ราวกับว่าเราคือที่สุดในโลกของเขาแล้ว แต่นาทีต่อมาก็หายไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเรายังไม่ทันกดส่งคำว่า ‘รักเหมือนกันจ้า’ ซะอีก อาการเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวนี้ก็เหมือนในเพลงของสาวเคที่ เพอร์รี่ (Katy Perry) ที่ว่า ‘they’re hot and they’re cold, they’re yes and they’re no, they’re in and they’re out and they’re up and they’re down.’
Preating/Pre-cheating
นี่นอกใจหรือรับปริญญา ถึงได้มีการ ‘ซ้อม’ ด้วย? ก่อนที่จะนอกใจอย่างเป็นทางการ บางคนอาจมีอาการ ‘ก่อน’ นอกใจอย่างเช่น ความรู้สึกค่อยๆ เปลี่ยนไป พยายามใกล้ชิดกับๆ เพื่อนที่ทำงานที่แอบชอบ หรือส่งข้อความเต๊าะคนอื่นแบบเบาๆ ถ้าพูดถึงมันก็คล้ายๆ กับ microcheating เลย เพียงแต่ว่า pre-cheating กำลังพูดเป็นกระบวนการก่อนนอกใจที่ทำให้เกิดอะดรีนาลีนในร่างกาย และเร่งให้เกิดการนอกใจอย่างเป็นทางการมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าขณะพวกเขาถูกจับได้ขึ้นมา ก็สามารถอ้างว่าทั้งหมดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
Mountaineering
เหมือนกับการปีนเขา mountaineering คือการที่เราพยายามจีบคนที่อยู่สูงสุดของยอดเขา หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘เล่นของสูง’ ก็ได้
Gatsbying
เป็นการโพสต์รูปถ่าย คลิป หรือเซลฟี่ในโซเชียลมีเดีย เพื่อเรียกความสนในจากคนที่กำลังแอบชอบ เผื่อว่าเขาจะผ่านมาเห็นแล้วกดไลค์หรือคอมเมนต์ให้นิดหน่อย
ข้างต้นก็เป็นเพียงคำศัพท์ที่อธิบายเหตุการณ์ที่คิดว่าคนไทย (โดยเฉพาะชาวมิลเลนเนียล) น่าจะเจอกันบ่อยๆ ซึ่งที่จริงแล้วก็ยังมีอีกหลากหลายการกระทำและความสัมพันธ์ที่มีการหยิบคำนั้นคำนี้มาใช้เรียกให้เห็นภาพมากขึ้น ช่วยให้เราสามารถอธิบายความรักในช่วงนี้ได้ง่ายกว่าเดิม
ความสัมพันธ์หรือเหตุการณ์แต่ละอย่างที่กล่าวมาก็นับว่าซับซ้อนแล้ว แต่ความเป็นจริงมันอาจจะซับซ้อนกว่าเดิม ถึงขั้นที่ว่าเราสามารถพบเจอหลายเหตุการณ์ ‘พร้อมกันในทีเดียว’ ก็เป็นได้ และในอนาคตจะเกิดศัพท์ใหม่ๆ อะไรขึ้นอีกบ้าง คงจะต้องติดตามดูกันอีกที
“ความสัมพันธ์เอย… จงซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ”
อ้างอิงข้อมูลจาก