เนื่องใน ‘วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก’ (World Suicide Prevention Day) แม้ว่าสังคมไทยจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตใจมากขึ้นแล้ว แต่ทุกวันนี้ ก็ยังต้องเผชิญคำถามสำคัญ ทำไมผู้ป่วยซึมเศร้ายังคงถูกตีตราและซ้ำเติม?
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนปัญหาที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมการมองสุขภาพจิต หลายคนออกมาเรียกร้อง พร้อมย้ำว่าการตีตราไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่มันอาจผลักใครบางคนให้ห่างจากการเยียวยาและการรักษาที่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้ The MATTER จึงพูดคุยกับ ดร.กุลวดี ทองไพบูลย์ นายกสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย นักจิตวิทยาคลินิก และนักวิชาการอิสระ ถึงผลกระทบของ ‘การตีตราและหยอกล้อ’ ผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะหรือโรคทางสุขภาพจิต เพื่อขยายภาพประเด็นนี้ให้เด่นชัดขึ้น เนื่องด้วยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ที่ทำการสำรวจตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 – 20 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่าคนไทยกว่า 6 ล้านคน มีปัญหาด้านสุขภาพจิต โดยมีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 5.6 แสนคน มีความเครียดสูง 4.8 แสนคน และเสี่ยงฆ่าตัวตายถึง 3.1 แสนคน
กรมสุขภาพจิตยอมรับว่า ตัวเลขที่ปรากฏเป็นที่น่ากังวลและจำเป็นต้องเร่งแก้ไข ทั้งนี้ เราขอชวนทุกคนมาทำความเข้าใจ ‘การตีตราและการสร้างตราบาป’ ต่อผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะหรือโรคทางสุขภาพจิตกันก่อน

คำนิยามของตราบาป (stigma) เป็นปรากฏการณ์ของการตีตรา (labeling), การมองแบบเหมารวม (stereotype), การแบ่งเขาแบ่งเรา (separate) และการกีดกัน ซึ่งรูปแบของการสร้างตราบาปต่อผู้เผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต แบ่งออกเป็น 2 อย่างดังนี้
- ตราบาปทางสังคม เกิดจากความเข้าใจผิดหรือความไม่รู้ของคนในสังคม เกี่ยวกับภาวะเจ็บป่วยทางจิต ส่งผลให้เกิดอคติและมองแบบเหมารวมทางลบเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต มีการแบ่งแยก กีดกัน แสดงพฤติกรรมแบบปฏิเสธ ไม่ยอมรับ หลีกเลี่ยง และการถอยห่าง
- ตราบาปภายในใจของตนเอง เกิดจากการที่ผู้มีภาวะเจ็บป่วยทางจิตรับรู้และตระหนักถึงปฏิกิริยาของสังคม รวมทั้งความรู้สึกทางลบ (ความกังวลล่วงหน้าว่าจะถูกปฏิเสธ) และจากประสบการณ์ของการกีดกัน แล้วยอมรับการตีตรา ตราบาป และการมองแบบเหมารวมทางลบเกี่ยวกับการเจ็บป่วยทางจิต แล้วหันเหสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่ตนเองและเชื่อว่าตนถูกลดคุณค่าในสังคม
‘อคติและการตีตรา’ อุปสรรคสำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพจิตในสังคมไทย
ดร.กุลวดี ทองไพบูลย์ เปิดประเด็นว่า การตีตราส่งผลกระทบให้เกิดความลังเลในการที่จะเข้ามารับบริการ เธอยกตัวอย่างว่า สมมติว่าเราเจ็บป่วยทางจิต แต่ถูกตีตราว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็จะทำให้คนที่คิดว่าตัวเองอยากเข้ามาปรึกษา อยากเข้ามาพบนักจิตวิทยา อาจต้องยกเลิกความตั้งใจไป
“ทั้งๆ ที่อาการที่เขากำลังประสบอาจไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นโรค อาจเป็นภาวะอื่นๆ ก็ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับโรคทั้งหมด แค่ภาวะใดภาวะหนึ่งที่ชีวิตมนุษย์ของเราทุกคนอาจต้องเผชิญ หรือบางคนเข้ามาพบเพราะต้องการ grow เป็นการเติบโต เป็นการทำความเข้าใจตัวเอง”
“ดังนั้น การตีตราทำให้คนที่กำลังคิดอยู่ว่าอยากจะเข้ามาปรึกษา เข้ามาขอความช่วยเหลือ อาจละทิ้งความตั้งใจไป เพราะเดี๋ยวจะถูกหาว่านู่นนี่นั่น กลัวว่าคนจะพูดถึงเราว่ายังไง”
เธอเสริมว่า คำพูดที่เรียกคนอื่นว่า “บ้า” “เพี้ยน” ถือเป็นคำที่บั่นทอนจิตใจ เป็นการไปแปะป้ายว่าคนคนนั้นว่าเขาเป็นอย่างไร เป็นการ categorize คน ในปัจจุบันจึงมีการรณรงค์ให้ embrace the diversity โอบรับความหลากหลายของมนุษย์ในทุกมิติ เพราะความเป็นมนุษย์ในเชิงวัฒนธรรมมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาษา ศาสนา เพศสภาพ รวมทั้งอาการเจ็บป่วย
“able และ disable การที่คุณมีภาวะเจ็บป่วย มันคือความหลากหลายของมนุษย์ ปัจจุบันเราควรโอบรับความหลากหลายมากกว่าที่จะพยายามแยกคนเข้า category ว่าต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมนุษย์ทุกคนมีความหลากหลาย แล้วก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เหมือนกันเลย”
สอดคล้องกับคำพูดของ กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ที่กล่าวว่า โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า ความวิตกกังวล โรคอารมณ์สองขั้ว และโรคจิตเภท เกิดจากความผิดปกติของสมองและสารสื่อประสาท ซึ่งเป็นกลไกทางชีววิทยาที่สามารถอธิบายได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย เช่น เบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือด และการไหลเวียนเลือด ผู้ป่วยจิตเวชจึงไม่ควรถูกตีตราหรือเหมารวมว่าเป็นบุคคลผิดปกติ แปลกแยก การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุและลักษณะของโรคจะช่วยลดอคติและความหวาดกลัวในสังคม
ไม่มีใครอยากเป็นซึมเศร้า แต่หลายคนกลับถูกซ้ำเติมด้วยการตีตรา

นายกสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย แบ่งปันประสบการณ์ว่า เธอทำงานกับคนที่ถูก วินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้า ซึ่งสำหรับเธอแล้วภาวะซึมเศร้าของแต่ละคนอาจจะมีอาการไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการแปะป้ายว่า คนคนนี้ต้องเป็นอย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ทั้งนี้ในเชิงวิชาชีพทางด้านสุขภาพจิตจำเป็นต้องวินิจฉัยอย่างกระจ่าง เพื่อนำไปสู่การรักษา ช่วยเหลือ และเยียวยา
“ไม่ควรนำภาวะหรือโรคมาใช้เป็นคำพูดทั่วไป เพราะบางทีเราอาจไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งว่า คำนั้นหมายความว่าอะไร หรือว่ามีอาการยังไงบ้าง ก็จะก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะทางจิตเวชบางอย่างหรือโรคบางโรค และนำไปสู่การตีตรากลุ่มคนที่มีภาวะแบบนั้นด้วย”
ดร.กุลวดี ขยายความว่า การกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ป่วย ผู้ที่อยู่ในภาวะจิตเวช หรือผู้ที่อาจประสบภาวะทางจิตใจบางอย่าง รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเป็น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครที่พยายามที่จะเข้าใจ และแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกกลัวที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะการตีตราและหยอกล้อเป็นการบั่นทอนความเป็นมนุษย์และคุณค่าของความเป็นมนุษย์
“สมมติเรามีภาวะทางจิตเวช แล้วถูกล้อเลียน มันจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า ‘คุณไม่เห็นเรา คุณไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ว่ามันยากลำบากแค่ไหน’ เพราะคำพูดพวกนี้มันทิ่มแทงความรู้สึกพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นการซ้ำเติม บางคนแค่จะตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน แล้วพาตัวเองออกไปทำกิจกรรมสักอย่างหนึ่ง ต้องใช้พลังมหาศาลมาก มากกว่าคนทั่วไปกี่ร้อยกี่พันเท่า”
เธอเสริมว่า เวลาผู้ที่ป่วยเกิดความรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเขาเลย ก็อาจจะยิ่งอยากจะ disengage อยากแยกตัวมากขึ้น และด้วยอาการของซึมเศร้าที่เป็นโรคที่ทำให้มองกับตัวเอง กับโลกทั้งใบ การตีตราและการซ้ำเติม ยิ่งทำให้คิดลบมากขึ้น
“ครูเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นซึมเศร้า ไม่มีใครอยากอยู่ในภาวะอย่างนั้นเลย หลายๆ คนก่อนที่เขาจะเข้ามาปรึกษา มักจะพยายามหาทางเอาตัวเองออกมาจากภาวะนั้นๆมาทุกรูปแบบแล้ว พยายามที่จะหาทางช่วยเหลือตัวเอง แต่ก็ยังไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากภาวะตรงนั้นได้”
ตามรายงานของสุขภาพคนไทยปี 2568 พบว่า แนวโน้มปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พบว่า คนไทยกว่า 13 ล้านคน เคยประสบปัญหาด้านจิตเวช และกว่า 1 ใน 5 คน เคยเข้ารับการรักษาพยาบาล และทุกปีมีผู้พยายามจบชีวิตตัวเองกว่า 30,000 คน โดยกลุ่มอายุ 15-19 ปี เป็นสัดส่วนมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง แต่เมื่อเทียบอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ กลับพบว่าสูงกว่าในเพศชายถึง 4 เท่า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีจำนวนสูงถึง 5,000 คนต่อปี
สำหรับ ดร.กุลวดีแล้ว พฤติกรรมในลักษณะหัวเราะและล้อเลียน นอกจากจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจ อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของความกลัว เธอยกตัวอย่างว่า “พอเวลาคนรู้สึกไม่เข้าใจอะไร ก็อาจจะรู้สึกกลัว ดังนั้นการเล่นมุกตลกอาจเป็น defense mechanism หรือกลไกการป้องกันตัวเอง เมื่อเรากลัว เราไม่รู้ จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ comfortable เพราะไม่รู้ว่าจะ รับมือกับความรู้สึกนี้อย่างไร ก็อาจทำให้เป็นมุกตลก ทำให้เป็นการล้อเลียน”
เธอให้เหตุผลว่า เพราะคนแต่ละคนมีวิธีการรับมือกับความรู้สึก หรือกลไกการป้องกันตัวเองที่ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนเลือกวิธีตีตราเพื่อรับมือกับความรู้สึกที่อึดอัด กระอักกระอ่วน วิตกกังวล ฯลฯ
“มีทั้งสองรูปแบบ ความไม่เข้าใจและความไม่เข้าใจที่นำไปสู่ความกลัว”
ถึงเปลี่ยนวัฒนธรรมการล้อเลียนให้เป็นความเข้าใจ

นายกสมาคมนักจิตวิทยาคลืนิกไทย ระบุว่า เวลาบุคคลได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหรือป่วยเป็นโรคจิตเวชหรือไม่ จะยึด 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ bio-psycho-social ปัจจัยด้าน biological ก็คือร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีในสมองหรือยีน ส่วนปัจจัยทางด้าน psychological อาจเป็นเรื่องของความเปราะบางทางจิตใจ อาจเคยมีบาดแผลทางใจในอดีต สุดท้ายก็จะเป็นปัจจัยเรื่องของสังคมที่มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเครียดจากภาวะเศรษฐกิจ การเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งที่เห็นบนสื่อออนไลน์ และการถูกบูลลี่ที่โรงเรียน ซึ่งปัจจัยทางสังคมจะมีผลเป็นอย่างมาก กับการที่คนคนหนึ่งจะมีภาวะหรือเป็นโรคทางจิตเวช
“สังคมยังขาดความเข้าใจเรื่องโรค เวลาเราไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง บางทีเราจะเกิดความกลัว ความกังวล ความอึดอัด ในสิ่งที่เราไม่รู้ แล้วอาจจะจะแปลงสิ่งพวกนี้มาเป็นมุกตลก หรือวิธีการอื่นที่คิดว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับสิ่งพวกนี้ได้”
นอกจากนี้ เธอยังวิเคราะห์ลึกลงไปอีกว่านอกเหนือจากสังคมที่ยังขาดความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต อีกอย่างอาจจะเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของบ้านเรา ซึ่งเธออธิบายเธอเกิดและเติบโตที่ไทย จนกระทั่งอายุ 14 ปี เธอได้เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ และกลับมาประเทศไทยตอนอายุ 28 ปี
“ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทย ครึ่งชีวิตของครูอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นก็เดินทางไปๆ กลับๆ อีกบ่อยครั้ง ทำให้เวลามองสังคมไทย อาจจะมองในมุมมองจากคนนอกด้วย คือมองว่าการเล่นมุกตลก ล้อเล่น ล้อเลียน การแซวกันเล่นๆ เช่น อ้วนขึ้นหรือเปล่า เหมือนเป็นวัฒนธรรม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปในสังคมไทย
ซึ่งการล้อเลียนกัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นปกติ แต่ในบ้านเรามันเราคุ้นเคยกับการล้อเล่นจนดุเหมือนเป็นเรื่องปกติ ลืมคิดไปว่าคนที่เราพูดถึง เขาจะรู้สึกยังไง”
อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่าวัฒนธรรมเป็น dynamic ก็คือไหลเวียน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มีวัฒนธรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ เธอจึงอยากให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่วัฒนธรรมใหม่ ที่ตระหนักว่าการล้อเลียนเป็นสิ่งไม่ปกติ ทุกคนควรจมี empathy เห็นอกเห็นใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น
“เอาใจเขามาใส่ใจเรานิดหนึ่ง คิดว่าถ้าเราต้องอยู่ในสถานการณ์นั้น เราได้ยินคำนี้ เราจะรู้สึกยังไง”
ทั้งนี้ ดร.กุลวดีตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีบางคนที่รู้สึกว่าถ้าเขาถูกล้อเลียน ก็จะรู้สึกขำๆ ซึ่งความรู้สึกดังกล่าว อาจเป็นความชินชา ทั้งที่เป็นคำพูดกระทบจิตใจ
“ความเคยชินไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นถูก แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เราอาจจะชินชากับคำพูดพวกนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน มันก็ยังรู้สึกเจ็บทุกครั้งอยู่ดี ดังนั้นเราทุกคนควรเคารพในความหลากหลายของมนุษย์ ความหลากหลายในทุกมิติ รวมถึงมิติของความเจ็บป่วย เพราะก็เป็นความหลากหลายของมนุษย์เหมือนกัน”

ดร.กุลวดี ระบุว่า สังคมมีส่วนในการกำหนดว่าพฤติกรรมหรือการกระทำใดปกติหรือไม่ปกติ ซึ่งการตีตราผู้ที่ประสบกับปัญหาสุขภาพจิตถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ฉะนั้นต้องตั้งคำถามกับสังคม เพื่อไม่ให้เกิดการกีดกัน แปลกแยก ทำให้คนกลุ่มนี้กลายเป็น the other ควรทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในสังคม ทำให้สังคมเป็นพื้นที่ปลอดภัย ปลอดภัยพอที่ทุกคนสามารถเป็น ally ในการลดการตีตรา
การเอาความเจ็บป่วยของเขามาล้อเลียน เป็นการปฏิเสธความรู้สึกของเขา เสมือนความรู้สึกที่เขาประสบและตัวตนของเขาไม่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนต่างมีความหลากหลายทางอารมณ์ ความรู้สึก และความคิด
“มนุษย์ทุกคนล้วนแตกต่าง ดังนั้นเราควรเคารพความแตกต่าง เคารพในสิ่งที่เขาเป็น เพราะการตัดสินคือการล้อเลียน มนุษย์ทุกคน deserve คุณค่าในตัวเอง และสังคมควรสร้างพื้นที่ให้พวกเขากล้าที่จะเปิดเผยความเปราะบางของตัวเอง”
อ้างอิงจาก
บทความฟื้นฟูวิชาการ: การลดตราบาปของการมีภาวะเจ็บป่วยทางจิต เบญจพร ปัญญายง, พ.บ. ชูศรี เกิดพงษ์บุญโชติ, กศ.ม.