17 ปี เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ถ้าคิดเป็นอายุของคน ตอนนี้ คนๆ นั้นก็กำลังเป็นวัยรุ่น อยู่มัธยมปลาย รอเรียนพิเศษ ทำพอร์ตยื่นสอบ TCAS
แต่ 17 ปีนี้ ก็เป็นอายุของ Dudesweet กลุ่มจัดงานปาร์ตี้ ที่อยู่คู่คนไทยมานาน กับการจัดปาร์ตี้มาแล้วหลากหลายรูปแบบ ให้มนุษย์ปาร์ตี้ได้สังสรรค์ ออกมาปลดปล่อย เต้นบ้าคลั่ง เมาและโยกหัวไปกับเพลง ดีเจ
The MATTER มาคุยกับ โน้ต—พงษ์สรวง คุณประสพ ผู้ก่อตั้ง Dudesweet และรันวงการปาร์ตี้มายาวนาน 17 ปี ถึงประสบการณ์การเป็นผู้จัดปาร์ตี้อย่างโชกโชน เรื่องราวกับชาวปาร์ตี้ที่พบเจอ ไปถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนไป กับการจัดที่เปลี่ยนแปลงกัน ซึ่งพี่โน้ตก็เล่าว่า ยังมีปาร์ตี้ที่อยากจัด และยังไม่ได้จัดคือในวัด และสถานีตำรวจ
Dudesweet จัดปาร์ตี้มา 17 ปีแล้ว เคยคิดว่าจะทำมานานขนาดนี้ไหม
ไม่ได้คิดตั้งแต่ทีแรก ตอนแรกจะทำแค่คืนเดียว ดูในโปสเตอร์จะเขียนเลยว่า ‘one night only’ เพราะเรากะทำกันเล่นๆ แต่ไม่รู้ไปๆ มาๆ ก็กลายมาเป็น 17 ปีแล้ว จริงๆ ไอเดียแรกที่เราจัดคือ เรามีเพื่อนที่จบศิลปะเยอะ และก็ตกงานกันเยอะ เขาอยากแสดงงาน และก็ไม่มีที่ไหนโชว์ โดนปฏิเสธ แกลลอรี่ก็น้อยกว่านี้ เราก็เลย มา เราจัดและดูกันเองเลย ช่วงแรกๆ จึงเป็นปาร์ตี้ที่มีงานศิลปะของเพื่อนๆ หรือเพื่อนของเพื่อน อยู่ในงานตลอด
แต่หลังๆ พอเมาก็ไม่มีใครสนใจทำอะไร ก็ไม่มีใครตามเก็บทีหลัง คนจัดเองก็เมา คนแสดงก็เมา ไอเดียแรกคือเป็นอย่างงั้น และพวกเราเองก็ปาร์ตี้กันหนักมาก ตั้งแต่ตอนเรียนจบมา ไม่ค่อยมีเงิน เงินเดือนตอนนั้นของผม 12,000 บาทเอง แต่ก็ไม่รู้ทำไมเราเมาได้ทุกวัน ก็เลยหาเรื่องทำปาร์ตี้ที่เราจะกินเหล้ากันเองฟรี เพราะเวลาเราไปจัดปาร์ตี้ที่ร้านอื่น เขาจะเปิดบิลเหล้าให้ผู้จัดเอง
ปาร์ตี้ครั้งแรกเป็นยังไง คนเยอะไหม
มี 70-80 คน มันไม่เคยเยอะเลย จนเข้าประมาณปีที่ 2-3 ตอนนั้นมันไม่มีอะไรบอกต่อ หลังเลิกงานเราต้องไปยืนแจกใบปลิวกับเพื่อน แจกตามสยาม หน้ามหาวิทยาลัย จตุจักร และก็งานคอนเสิร์ตต่างๆ ทุกอาทิตย์ จะต้องมีออกไปแปะโปสเตอร์ ออกไปแจกใบปลิว สมัยก่อนการเตรียมปาร์ตี้เล็กๆ นี้ยากกว่าปาร์ตี้ในปัจจุบันอีก ช่วง 3 อาทิตย์ก่อนปาร์ตี้ เราต้องจัดคิวกันไปแจกใบปลิว แจกจนเข้าใจฟีลคนที่เขาทำงานแจกใบปลิว
ชื่อ Dudesweet มาตั้งแต่ปาร์ตี้ครั้งแรกเลยหรือเปล่า
ตอนเตรียมงาน ชื่อมาหลังสุดเลย ตอนนั้นเราทำโปสเตอร์แล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่ามันต้องมีชื่ออะไรสักอย่างไม่งั้นคนไม่รู้จะมองอะไร ก็เลยตั้งชื่อ Dudesweet ขึ้นมา เพราะมันมีวิดีโอม้วนที่อยู่ที่บ้าน ที่เราเช่ากันอยู่ตรงปิ่นเกล้า เวลาเสาร์-อาทิตย์ก็จะเหมือนชมรมนักศึกษา มีเพื่อนมาแฮงค์กัน ตอนนั้นก็มีวิดีโออยู่ 2 เรื่อง แล้วตอนทำ Artwork เพื่อนเรานั่งดู Dude, Where’s My Car? อยู่ เราหาชื่อไม่ได้ ก็เลยเอาอันนี้ละกัน จริงๆ ถ้ามีเวลาก่อนส่งบล็อก เราก็คงจะตั้งชื่ออะไรที่มันหรูหรากว่านี้
ทำปาร์ตี้มา เราเห็นวิวัฒนาการอะไรจาก 17 ปีนี้บ้าง
มันมี 2 ด้าน คือที่เห็นกับตา กับที่รู้สึก ที่เห็นด้วยตาก็คือเรื่องแฟชั่น อย่างที่เราเขียนบทความใน Dudesweet ว่าคนเปลี่ยนเทรนด์ แฟชั่น เพราะหลักๆ มีการขายของมากขึ้น และคนเห็นอะไรมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งดีแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเรื่องที่มองไม่เห็น คือการปลดปล่อยความรู้สึกมันไม่เยอะเท่าแต่ก่อน คืออย่างที่บอกว่าคนเรามีความห่วงนั่น ห่วงนี่เยอะเกินไป หรือใช้คำว่า คนอาจจะมีแอตติจูดเยอะเกินไป แต่เราก็เข้าใจได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ มีถ่ายสตอรี่ เราก็คงกลัวไม่งามกัน แล้วมันก็เลยไม่ค่อยบ้าคลั่งเหมือนเมื่อก่อน
อีกอย่างนึงที่รู้สึกได้เลยคือ คนไม่ฟังเพลงร็อค ร็อคมันตาย เราก็เข้าใจได้ว่า เพราะคนรุ่นใหม่จะโตมากับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แล้ว เพลงที่ทำให้ดนตรี EDM มันเริ่มฮิตจริงๆ คือเพลง Party Party Rock Anthem ที่ออกมาปี 2011 วัยรุ่นก็จะโตมากับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ก็เลยจะไม่ค่อยเก็ตกีต้าร์แบนด์ แล้วดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บางทีมันมีแอตติจูดยาก เพราะมันเป็นเรื่องของเอเนอจี้อย่างเดียว มันไม่ได้เป็นเรื่องของการแสดงทัศนคติ อย่างนึงมันไม่ค่อยมีเนื้อร้อง
แล้วก็วัฒนธรรมฮิปเตอร์ มันทำให้เอเนอจี้ทุกอย่างมันแผ่วลง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีพาสเทล ทำให้คนทำตัวอึนๆ ทำให้คนรู้สึกว่า dream-pop เป็นแนวเพลงที่ดีที่สุดในโลก เพลงแนวนี้เรามองว่าเป็นเพลงหดหู่สำหรับเรา ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คือ เอาไว้เปิดฟังตอน X กันเสร็จแล้ว กำลังกระชากถุงยางทิ้ง ก่อนเข้านอน
เพลงที่เปิดใน Dudesweet ก็เปลี่ยนไปด้วยใน 17 ปีนี้ใช่ไหม
ใช่ฮะ มันก็เป็นกลายเป็นเพลงที่มีบีท มีเครื่องสังเคราะห์ มีคอนเสิร์ตของวง SPLASHH ที่เราจัด ก็เป็นวงร็อคที่มีเสียงอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา ส่วนวงเปิดเป็นวงอะไรที่เราจำไม่ได้ แต่มีเครื่องดนตรี 4 ชิ้น พอเรานั่งฟังแล้ว เราก็รู้สึกว่า วงที่ไม่มีอิเล็กทรอนิกส์มาผสม มันดูเป็น old school ขึ้นมาเลย อย่างนึงเพราะเราเคยชินกับซาวด์เพลงที่มีเสียงสังเคราะห์อยู่แล้ว อยู่ตามที่ต่างๆ ไม่มีอันไหนไม่มีซาวด์สังเคราะห์ มันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ซาวด์ก็เปลี่ยน คนก็เปลี่ยน แฟชั่นก็เปลี่ยน คนจัดก็เปลี่ยน
แล้วรูปแบบการจัดเปลี่ยนไปด้วยไหม
รูปแบบไม่เปลี่ยนไปมาก อยู่ที่สถานที่มากกว่า แต่การทำงานเปลี่ยนไปตรงที่ว่า เราไม่มีการไปแปะโปสเตอร์บนถนน ซึ่งจริงๆ เราชอบมากในการแปะโปสเตอร์ เราไม่ได้ใช้ศิลปะในการโปรโมทเท่าไหร่ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้มันกลายเป็นกรอบที่เราแก้ไม่ได้ อย่างตอนนี้แปะโปสเตอร์ คนก็ไม่มองกันแล้ว เพราะคนก็เล่นมือถือ ไม่ค่อยมีใครมองอะไรข้างทางอีกต่อไปแล้ว ข้างทางไม่ใช่เรื่องของสุนทรีย พอจะดีไซน์ฟลายเออร์มันก็มีไซต์ที่จำกัด มีจำนวนตัวหนังสือที่ห้ามใช้เยอะ และดูจากฟลายเออร์ครั้งแรก มันจะให้บู๊ทไหม หน้าตาฟลายเออร์มันก็เลยเหมือนๆ กันหมด
รูปแบบก็เลยเปลี่ยนไปในแง่ของความตื่นเต้นในการโปรโมทปาร์ตี้แต่ละครั้งมากกว่า เราก็เลยกลับมาคิดว่า ถ้าคนมันจะไม่มาก็ช่างมัน เพราะตอนแรกเราก็เริ่มต้นด้วยคนน้อยๆ แบบนี้
เราอาจจะต้องรอลูปของดนตรีประมาณนี้กลับมาอีก ซึ่งเราเคยนับว่ามันจะมาทุกๆ 7 ปี แต่ที่ผ่านมามันดันมี EDM เข้ามาแทรก และทำลายชีวิตกูมาก มันก็เลยไม่กลับมา ตอนนี้เราก็รู้สึกว่าเทรนด์พวกนี้ ซึ่งคือความรู้สึก ฟีลลิ่ง หรือบรรยากาศของซีนมันจะมาเมืองไทยหลังจากที่ผ่านในยุโรป หรืออเมริกามาแล้ว 4 ปี อย่างตอนนี้ พวกนิวยอร์คกีตาร์แบนด์ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง หรือยุโรปที่เราเพิ่งไปมา คนก็เริ่มโหยหากีตาร์ซาวด์ร็อคอีกที
แพลนด์ที่จะทำตอนนี้ เราไปอยู่เบอร์ลินมาเดือนนึง และเราไปชอบซีนอิเล็กทรอนิกส์ ซีนเทคโน และซีนเกย์เถื่อนๆ ดิบๆ เราก็คิดว่าจะพัฒนา Dudesweet ให้เป็นซีนนั้นไป อย่างครั้งนี้ก็มี เทคโนเข้ามาเป็นพระเอก จากที่เคยเป็นร็อคมาตลอด
ที่จัดมาทั้งหมด พี่โน้ตเอนจอยปีไหน หรือครั้งไหนสุดไหม
มี 2 ช่วง คือช่วง 3 ปีแรกๆ เพราะว่ามันทำแบบไม่ได้คาดหวังอะไรเลย สปอนเซอร์มาก็ไม่เอา จะมาขอแปะโลโก้อะไรวุ่นวาย ตอนนั้นเราไม่มีเงินกัน แต่เราก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน และเราก็ไม่ได้อยากได้เงิน เราแค่อยากจะอยู่กับเพื่อนเรา เพราะตอนนั้นยังเด็ก
ตอนที่ชอบอีกก็น่าจะเป็นตอนนี้ คือ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะมันเป็นช่วงที่เรียกว่าตกต่ำ เพราะไปดู Dudesweet มันจะมีช่วงที่พีคมากๆ ทุกคนพูดถึง ทุกคนเฝ้ารอ เราจึงรู้สึกว่า ถ้ามันจะแย่ มันจะแย่ได้แค่ไหน และมันก็สนุกดี เพราะการจัดปาร์ตี้มันก็ต้องใช้เอเนอจี้วัยรุ่น แล้วถ้าจัดทีนึงต่อให้เป็นงานเล็กๆ มันทำให้เราต้องตามโลกปัจจุบันตลอดเวลา ไม่งั้นมันก็กลายเป็นปาร์ตี้แก่ๆ ทางกายภาพมันแก่อยู่แล้ว แต่ทางความคิดเราไม่เคยคิดว่าเราแก่เลย แล้วการทำปาร์ตี้มันทำให้เราต้องอัพเดทว่าเค้าฟังเพลงอะไรกัน มีเทรนด์แฟชั่นอะไรใหม่ๆ ก็เลยชอบตรงที่ว่า 3 ปีนี้ มันอาจจะไม่ได้ฮิตแบบเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยมันต้องเป็นแรงบันดาลใจอะไรให้เราเองได้ในระดับนึง
และเมื่อย้อนมองไป 3 ปีแรก เราก็เห็นว่า เราทำแบบไม่ได้คาดหวัง มันสนุกแล้วเป็นแรงบันดาลใจอยากให้เราทำอะไรต่อ ช่วงพีคๆ มันง่ายอยู่แล้ว มันทำอะไรคนก็เอา
การจัดงานปาร์ตี้ มันมีอะไรที่เราควบคุมไม่ได้หลายอย่าง พี่โน้ตเจอเรื่องเหี้ยๆ อะไรที่สุดจากการจัดมา
ไม่เคยเลย นี่คือความแปลกอย่างนึง เพราะเวลาเราจัดปาร์ตี้สิ่งที่เราคำนึงคือความปลอดภัย พวกผู้จัดจะรู้ความโรคจิตของเราคือเราจะเช็กถึงดับเพลิงว่าต้องอยู่ตรงไหนบ้าง มันเป็นสิ่งแรกที่นึกถึง ดนตรีมันไม่ต้องนึกเพราะมันอยู่ในตัว
แล้วอีกอย่างนึงคือคนฟังเพลงร็อคจะรักสันติ จะไม่ตีกัน เรายืนยันว่า 17 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีคนชกต่อยกันในงานของเราเลย เคยมีข้างหน้า คือผับข้างๆ เราว่าคนฟังเพลงร็อคเป็นคนไม่ก้าวร้าว คือดนตรีก้าวร้าว แต่เขาเป็นคนมีสามัญสำนึก
เรื่องเหี้ยๆ ที่เรารับมือไม่ได้คือพวกสปอนเซอร์มากกว่า ที่มาแล้วก็มีภาพ Dudesweet อย่างนึง แล้วอยากให้เราเป็นอย่างนั้น และก็มีสปอนเซอร์ที่ไม่ทำงานกับเราแล้ว เยอะมาก
แล้วงานหลังปาร์ตี้ ภารกิจการเก็บกวาด ยากลำบากไหม
เราสะบัดตูดซะส่วนใหญ่ เพราะถือว่าเราจ่ายค่าเช่าแล้ว ความเละเทะเป็นเรื่องที่เราจัดการได้อยู่แล้ว แต่ว่าของหายเยอะ พวกสายไฟ หายทุกครั้ง ซื้อใหม่เป็นร้อยเส้นแล้ว
อย่างนึงที่คนชอบคิดก็คือว่าคนจัดปาร์ตี้จะต้องได้ผู้ชาย ได้ง่ายๆ ซี่งอันนี้ขอบอกว่าเป็นความเชื่อที่ไม่จริง เพราะถึงเวลา เลิกงาน กว่าจะเก็บหูฟัง เก็บนู่นนี่ ไปที่บาร์ รอเคลียร์บิลดีเจ ไปกดตังค์ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถึงตอนนั้นคนเขาก็ไปไหนกันหมดแล้ว ไม่เหลือให้กินหรอก
มีปาร์ตี้แบบไหนที่อยากจัด แต่ยังไม่เคยได้จัดไหม
ก็ในวัดกับสถานีตำรวจ วัดนี่เราเคยคิดจะจัดจริงๆ ทำเป็นงานทอดกฐินบังหน้า หลวงพ่อครับ นี่ปัจจัยนะครับ แต่ลานตรงนี้ขอ ตอนนั้น 2 ปีก่อน เรามีแผนการเป็นรูปเป็นร่างแล้วในระดับนึง แต่รถบั๊มที่คุยไว้มันแพง ก็เลยยังไม่ได้ทำ ซึ่งหลวงพ่อไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ยากกลับไม่ยาก แต่ที่ยากคือทำยังไงให้น่าไป เรื่องการโดนด่าก็ไม่ใช่ปัญหา เราชอบอะไรที่มัน controversy
ส่วนสถานีตำรวจ คงไม่ได้ เราเคยทำปาร์ตี้แล้วเซ็ตว่าเป็นคุก แต่เราก็อยากทำเป็นสถานีตำรวจ mock ขึ้นมาจริงๆ และให้ตำรวจมาจริงๆ แล้วจับตำรวจขังคุก
ปาร์ตี้ครั้งก่อน มีเชิญแร็ปเอก หรือลีน่าจังมา มีใครที่พี่อยากเชิญมาอีกไหม
ลุงตู่ไม่อยากเชิญมาแน่ๆ แต่จริงๆ ตอนนี้คิดไม่ออก มันเป็นช่วงๆ อยู่ที่ว่าใครจะ inspire เรา แต่มีวงที่อยากเอามาเล่นหลายที และติดต่อไปอย่างน้อย 4 ครั้ง ไม่เคยตอบ คือ Interpol และอีกวงติดต่อตั้งแต่ 2014 คือ The kill
ตอนคุณลีน่ามา เค้ามาตามบริบทในช่วงนั้น แล้วก็สนุกดี เฮฮา ก็ประหลาดใจที่เค้ารับงานนี้ เราเพิ่งลงลิสต์ปาร์ตี้ที่ผ่านมา ทำอะไรมาบ้าง เพิ่งเจอฟลายเออร์ของที่ผ่านมา จริงๆ ปาร์ตี้ล้อเลียนการเมืองเราทำมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว แต่จริงๆ เรามาคิดได้ว่าคนที่เค้าไปปาร์ตี้ เค้าอยากจะหนีจากความจริง เราเลยพยายามไม่เอาการเมืองไปยุ่ง เพราะอยู่บ้าน อยู่หน้าคอม เค้าเจอการเมืองมาเยอะแล้ว และยังเอาการเมืองไปใส่ในปาร์ตี้ให้เขาอีก แต่ว่าตอนคุณลีน่าจังมันไม่ไหวจริงๆ แล้ว ก็เลยต้องจัดขึ้นมาจริงๆ
17 ปีก็เป็นช่วงที่นาน การเมืองเองก็เปลี่ยนไปเยอะ คิดว่าการเมืองมันส่งผลให้บริบทคนปาร์ตี้เปลี่ยนไปไหม
เมื่อก่อนการเมืองมันก็เหี้ยๆ แบบนี้ แต่มันไม่ค่อยมาหยุดความสนุกของผู้คนเท่าไหร่ คือเราชอบคิดว่าพวกนักการเมือง พวกมนุษย์ป้า มันขโมยความสุขชีวิตช่วงวัยรุ่นไปหมดเลย ตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ นานาๆ ในขณะที่พวกเขาก็มีไวน์กินอยู่ที่บ้าน แต่ว่าสมัยก่อนมันมีการประท้วงอะไรก็ตาม มันก็ยังเที่ยวสนุก คนก็ชอบเที่ยว แต่อย่างตอนนี้มันก็มีผลสำรวจออกมาแล้วว่า คนรุ่นใหม่กินเหล้าน้อยลง และก็เป็นอย่างนึงที่ทำให้คนไม่เต็มที่
การเมืองไปเปลี่ยนเรื่องซีนทั้งหมด เรื่องปาร์ตี้ไม่ค่อยเปลี่ยน ผมก็ทำอย่างที่ผมอยากทำไป แต่ข้อจำกัดมันเยอะขึ้น ทำให้บรรยากาศการปาร์ตี้เปลี่ยน
อีกอย่าง ก็เราเมืองพุทธ และคนก็มองว่าแอลกอฮอล์เป็นของผิดบาปตั้งแต่ไหนแต่ไร พอเรามองแบบนั้น มันก็เกิดการกินแบบสก็อยๆ เพราะเราไม่ educate ให้ดื่มแบบมีวัฒนธรรมเสียที ทั้งๆ ที่จริงๆ กินแล้วก็คุยเรื่องปรัชญาการเมือง การพัฒนาโลกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีใครคุยเรื่องนี้เลย
จัดปาร์ตี้มามีคนที่มากันตั้งแต่ปีแรก มาทุกปี และยังมาอยู่อีกไหม
ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนเพราะรู้จักกันในปาร์ตี้นี่แหละ ก็ยังมาอยู่ ปาร์ตี้ทำให้เราได้เพื่อนเยอะมาก เมื่อคืนเพิ่งจะส่งอีเมล์ เรามีลิสต์อันนึง เมื่อก่อนไม่มีเฟซบุ๊ก เราก็จะส่งกระดาษต่อๆ กันให้จดอีเมล์ แล้วก็เราทำลิสต์ ทั้งหมดเรามีเป็นพันคน อันนี้เป็นลิสต์ที่เก็บตั้งแต่ 2002-2004 คนก็เขียนวนๆ ต่อกัน ละกลับมาที่ดีเจ
เราจะส่งอีเมล์ให้ปีละครั้ง ปาร์ตึ้ครั้งนี้ คนเจนแรกของ Dudesweet เค้าก็บอกจะมากัน เค้าจะมากันเฉพาะปาร์ตี้ครบรอบ
สมัยก่อนที่จัดก็เป็นวัยรุ่นในยุคนั้นที่มา ตอนนี้เราจัด ก็เห็นวัยรุ่นที่เด็กลงเรื่อยๆ ด้วยใช่ไหม
ใช่ฮะ มีช่วงนึงที่เราคิดแบบนี้ คือช่วงปี 2008-2010 เราคิดว่าเอ๊ะ ทำไมมีแต่เด็กมางานกูวะ และเพื่อนก็บอกว่ามันไม่ใช่เด็ก แต่ตอนแรกมึงจัด มึงอายุ 21 ปี ผ่านมาตอนนี้ มึงคิดว่ามึงอายุเท่าไหร่ แต่คนบนฟลอร์มันยังเหมือนเดิม ปาร์ตี้มันไม่ได้เด็กลง แต่เราก็แก่ขึ้น
ตอนนี้เราก็หาคนรุ่นใหม่มาทำปาร์ตี้ และเราจะทำคอนเทนต์อย่างเดียว เพราะว่ามาคิดดูแล้วต่อให้เราเข้าใจคนอายุ 21-22 อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่มันก็ไม่มีทางจะทำเหมือนที่คนรุ่นเขาทำได้ ก็ให้เขาทำกันเอง
แปลว่าปาร์ตี้เป็นแค่เรื่องของวัยรุ่น?
ปาร์ตี้เป็นเรื่องของเอเนอจี้ แล้วก็มีที่นึงเป็นปาร์ตี้ที่ดีที่สุดในโลก คือเบอร์ลิน เราเข้าไปคลับไหนก็ตามจะเจอคนอายุ 50-60 ปีออกมาเต้น ทั้งหญิง และชาย กะเทยมาหมด และไม่มีใครสนใจใคร ไม่ว่าจะอายุแค่ไหนก็ปาร์ตี้ได้ แต่ที่นี่ มันจะมีการตัดสินเรื่องอายุกันเยอะมาก ปาร์ตี้มันควรเป็นเรื่องของทุกคน แต่บ้านเราก็มีกฎเกณฑ์เยอะเหลือเกิน มันยังมีการมองเป็นเรื่องผิดบาปอยู่ มันก็เลยมีปาร์ตี้ที่ไม่มีวัฒนธรรมหลายอย่างเกิดขึ้น
สิ่งที่เราอยากเปลี่ยนคือไม่อยากให้ปาร์ตี้เป็นแค่เรื่องของวัยรุ่น แต่เป็นเรื่องของความสนุก เอเนอจี้มันเปลี่ยนตอนนี้ มันยิ่งแผ่วลง แผ่วด้วยบรรยากาศของยุค ในฐานะผู้จัด เราก็ต้องหาเอเนอจี้ใหม่ๆ มา นั่นเป็นการทำงานกับคนรุ่นใหม่ด้วย แล้วอย่างตัวของเราเองจัด ปาร์ตี้คืนนึง คือเราเหนื่อยมาก มันต้องใช้เอเนอจี้เยอะ ในการส่งพลังไป ต้องบิวต์คน ต้องเดาคนว่าเขาจะเอาอะไร ไม่เอาอะไร ต้องคิดตลอดเวลา นั่นคือเรื่องเอเนอจี้ที่บอก
แล้วอย่างที่บอกว่าต่อให้เราอัพเดทกระแสโลกแค่ไหน แต่หน้างานมันต้องคำนวณอะไรอีกหลายๆ อย่าง ให้คนรุ่นนั้น ทำงานเค้าเอง เดาทาง เล่นเกมของเค้าเอง แต่สำหรับเรา เราเล่นเกมนี้มา 17 ปีแล้ว
จริงๆ วัฒนธรรมต่างๆ มันเกิดจากการปาร์ตี้ทั้งนั้น อย่างเช่นว่า งานวัด ก็คือปาร์ตี้ดีๆ เลย ให้ผู้ชาย ผู้หญิงมาเจอกัน แค่แต่ก่อนไม่มี EDM แต่เดี๋ยวนี้ก็เปิดแล้ว เมื่อก่อนงานวัด งานบุญต่างๆ ก็คือปาร์ตี้ กลับไปสมัยก่อน การบูชาเทพเจ้า สมัยยุคถ้ำ เต้นตีอกชกตัว อุบ๊ะ อุบ๊ะ ก็คือปาร์ตี้อย่างนึง มันเป็นการรวมคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน ดนตรี ความเชื่อคล้ายๆ กัน มาปลดปล่อยในแสงสลัว
อะไรที่มีการรวมตัวกันเกิน 3 คน คุยกันเรื่องสบายๆ ไร้สาระ คือปาร์ตี้หมด ในห้องนอนก็เป็นปาร์ตี้ได้
แล้วถ้ารวมตัวทางการเมืองละ
ก็ใช่นะ เขาถึงเรียกกันว่า political party มันก็แล้วแต่อันนั้นปาร์ตี้อย่างมีจุดประสงค์ ของเราเพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว ไม่มีวาระแอบแฝง
17 ปีที่ผ่านมา เราเห็นพฤติกรรมอะไรอีกบ้างของมนุษย์ ที่เราว่าเราเห็นมามากที่สุด
ยาวมากนะ 17 ปี ถ้าเห็นภาพเราคงเห็นภาพคนแหกปาก ตะโกนกอดคอและแหกปาก พฤติกรรมที่รักเพื่อนเป็นพิเศษโดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน และก็จริงๆ เป็นภาพที่เราชอบมาก เพลงร็อคมันอาจจะเป็นเพลงแนวเดียวที่ตะโกนกอดคอได้
หรือเราก็เห็นคนที่เจอกันในปาร์ตี้ แล้วก็แต่งงาน มีลูกกันไปแล้วก็มี เพราะอยู่มานาน หรือก็มีพวกอกหักและเพื่อนพามาเที่ยวก็บ่อย แล้วพวกนี้จะชอบอยู่ข้างบู๊ท DJ ไม่รู้เป็นอะไร และเราก็เห้ย เปิดเพลงอยู่ มีคนร้องไห้หวะ เขาเป็นอะไรหรือเปล่า และทุกครั้งก็จะมีคนบอกว่า ไม่เป็นไรพี่ มันเพิ่งเลิกกับแฟน
และก็จะมีพฤติกรรมคนคออ่อนมากๆ เพิ่งกินเหล้าครั้งแรก แล้วก็เป็นลม ไม่สามารถรู้ลิมิตตัวเองได้ ก็เช่นเดียวกัน เขาก็ชอบมานอนกางหลังบู๊ทดีเจ คนที่ไม่รู้ขีดความต้านทานแอลกอฮอล์ของตัวเอง
อยากให้ dudesweet อยู่กับปาร์ตี้คนไทยไปถึงเมื่อไหร่
อีก 3 ปี เรากะทำแค่ครบ 20 ปี เรารอเด็กที่เกิดวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2002 (วันจัดปาร์ตี้ครั้งแรก) เข้ามาในงานได้ เข้ามาแบบอายุถึงเกณฑ์พอดี จริงๆ เมื่อคืนเราวางวันปิดงาน วันครบรอบไว้แล้ว คือวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 2022 แล้วก็ใครที่เกิดวันที่ 9 เดือน 9 เข้าฟรี มีแชมเปญแจก
เราทำเพราะมันยังทำให้เราได้ตามโลกปัจจุบันอยู่ ถ้าไม่มีมันก็ไม่รู้ว่าเราจะสนใจตามฟังใหม่ๆ อยู่ไหม
พูดถึงปาร์ตี้ 17 ปีที่จะจัดขึ้นหน่อย
ไม่มีการ์ดก็เข้าได้ แต่ซื้อบัตรด้วย ใครก็มาได้ มากันเยอะๆ มีช่วงนึงคนชอบคิดว่าปาร์ตี้ Dudesweet เป็นปาร์ตี้ของคนเก๋ๆ เราไม่เคยรู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะถ้าไปดูรูปในปีแรกๆ จะรู้เลยว่า เราแต่งตัวเป็นสก๊อยมาก ทุกคนไม่เห็นมีใครเก๋ๆ ในรูปนั้นเลย มีแต่วัยรุ่นเมาๆ แล้วอยู่ๆ มันก็กลายเป็นปาร์ตี้ผู้นำเทรนด์แฟชั่นได้อย่างไรก็ไม่รู้
แล้วสิ่งที่เราเกลียดของความเก๋ คือมันจะมีคนหมั่นไส้ คือกูไม่ได้กะให้มันปาร์ตี้เก๋ๆ มันเก๋ของมันเอง พูดงี้ฟังดูน่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่เนอะ แต่มันไม่ใช่เจตนารมณ์แรก และพอถึงจุดนึง คนก็คิดว่ามันเป็นปาร์ตี้ exclusive หรือเปล่า
แต่ก่อน ช่วงประมาณ 2006-2010 เมืองไทยจะฮิตโซน VIP มาก ทุกที่ต้องมีโซน VIP แต่ Dudesweet เราจะไม่มีโซน VIP เป็นกฎเหล็กของเราทุกคนต้องอยู่บนฟลอร์เดียวกันหมด และมันเป็นปาร์ตี้ที่เราว่าคนชอบมาเพราะว่า จะเป็นใครก็ต้องเต้นบนฟลอร์เดียวกัน เพลงเดียวกันหมดกับที่เปิด และถ้าเปิดเพลงเหี้ยๆ ก็ต้องเต้น เราว่ามันเป็นปาร์ตี้ที่ไม่มีชนชั้นทางสังคมเลย เด็กเพิ่งเที่ยว เด็กจน รวย ไฮโซที่สุดของไทย ก็มากันหมดแล้ว และเต้นบนฟลอร์เดียวกัน
ทีนี้ภาพที่มันออกไปว่ามีคนเก๋ เป็นปาร์ตี้เก๋ๆ พอยุคมันเปลี่ยนไป คนที่ไม่เข้าใจก็จะมาว่า เห้ย มาได้หรือเปล่า หรือยิ่งกว่านั้นก็จะมีการกระแนะกระแหนว่า เก๋จัง ไม่ไปหรอก หลังๆ ก็ช่างมัน เราก็จัดของเราเงียบๆ
อย่างนึงคือเราชอบทำการ์ดเชิญ ไม่ว่าจะเพื่อนเก่า หรือคนใหม่ๆ พวกนี้คือไม่ใช่เซเลปหรืออะไร แต่ว่าเป็นพวกที่เมาและมันส์ชิบหาย ครึ่งนึงในลิสต์คือคนรั่ว ต้องมา และการ์ดเชิญเราส่วนหนึ่งเราทำด้วยการที่เราจำเธอได้ว่าเป็นคนยังไง จะมีความเป็นส่วนตัวสูง จะมีลักษณะความเป็นหนังสือเฟรนด์ชิพ จะมีความ customize มากๆ หรืออย่างเราทำเป็นพาร์สปอตมีรายละเอียดของเพื่อนเราชัดเจน
แล้วพอการ์ดเป็นที่พูดถึง คนเลยจะคิดว่าต้องมีการ์ดหรือเปล่า แต่จริงๆ คือไม่ต้องมีก็ได้ ยิ่งเมา ยิ่งเต้นแรง ยิ่งรั่ว เรายิ่งชอบ และเราก็จะส่งการ์ดไป เพราะเราต้องการคนอย่างคุณเยอะๆ