หลายครั้งที่เราต่างเข้าใจว่าร่างกายตัวเองกำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน เพราะความกังวลต่ออาการเจ็บป่วยของตัวเองเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะเราต่างไม่มีความรู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่
แต่เมื่อเดินทางไปถึงห้องฉุกเฉินที่เป็นด่านแรกๆ ในการรับผู้ป่วยจากทั่วสารทิศ ทำให้หลายครั้งที่ผู้ป่วยต้องรอตรวจเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่า ไม่ได้รับการใส่ใจจากบุคลากรทางการแพทย์ และนำไปสู่ความตึงเครียดจนเป็นเหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง
The MATTER ได้พูดคุยกับ นพ.วิศรุต ศศิโภคา และ นพ.พรพัฒน์ ทวีสุข แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ถึงหลักเกณฑ์ที่พวกเขาใช้ในการคัดกรองระดับความฉุกเฉินของผู้ป่วย รวมถึงความท้าทายในห้องฉุกเฉินที่พวกเขาพบในปัจจุบัน
รู้จักแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน
‘แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน’ เป็นแพทย์เฉพาะทางที่ทำหน้าดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งการเจ็บป่วยในโรงพยาบาลและการบาดเจ็บนอกโรงพยาบาล ที่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาวะฉุกเฉินของสาขาวิชาต่างๆ เพื่อทำการรักษาเบื้องต้น และส่งต่อให้หมอเฉพาะทางอื่นต่อไปได้
นพ.พรพัฒน์ ทวีสุข แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ประจำโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดกำแพงเพชร เล่าว่า บทบาทของแพทย์ฉุกเฉินมีตั้งแต่การตรวจผู้ได้รับบาดเจ็บทางอุบัติเหตุที่มาโรงพยาบาล ทั้งอาการบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างแผลถลอก ฉีกขาด ไปจนถึงอุบัติเหตุรุนแรง หรือความเจ็บป่วยในร่างกายอื่นๆ เช่น ภาวะหัวใจหยุดเต้น สมองขาดเลือด ติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น
ยกตัวอย่างกรณีที่มีอุบัติเหตุหรือมีผู้ป่วยบาดเจ็บแล้วโทร 1669 แพทย์ฉุกเฉินจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวการปฏิบัติเพื่อดูแลผู้บาดเจ็บเบื้องต้นก่อนมาถึงโรงพยาบาล โดยมี ‘นักฉุกเฉินการแพทย์ (Paramedic)’ ออกไปกับรถพยาบาล เพื่อช่วยเหลือและดูแลรักษาเบื้องต้นก่อนถึงโรงพยาบาลด้วย
ทั้งนี้ จำนวนแพทย์ฉุกเฉินในแต่ละโรงพยาบาลขึ้นอยู่กับขนาดของโรงพยาบาล หากเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่จะมีแพทย์ประจำอยู่ประมาณ 6-10 คน ส่วนโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลขนาดเล็กจะมีประมาณ 1-3 คน
เจ็บแค่ไหนเรียกว่า ‘ฉุกเฉิน’ ?
นพ.วิศรุต ศศิโภคา แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน เล่าว่า ทุกโรงพยาบาลจะมีการคัดกรองผู้ป่วยและแบ่งความฉุกเฉินเป็น 5 ระดับ ตามระบบการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน (ESI: Emergency Severity Index) เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการรักษา โดยพิจารณาทั้งความรุนแรงของอาการและความต้องการทรัพยากรทางการแพทย์ ดังนี้
ระดับ 1 ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือมีภาวะคุกคามต่อชีวิตหรืออวัยวะ ต้องมีแพทย์ประกบทันที เช่น ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น
ระดับ 2 ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนต้องการการรักษาอย่างรวดเร็ว หรือมีความเสี่ยงที่อาการจะแย่ลงภายในไม่กี่นาที เช่น สมองขาดเลือด ติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ประสบอุบัติเหตุ รวมถึงผู้ป่วยที่มีสัญญาณชีพไม่คงที่ อย่างออกซิเจนในเลือดผิดปกติ ความดันต่ำชีพจรเต้นเร็ว เป็นต้น
ส่วนระดับ 3-5 จะแบ่งตามการใช้ทรัพยากรเครื่องมือทางการแพทย์ของโรงพยาบาล คือ ระดับ 3 ใช้เครื่องมืออย่างน้อย 2 ประเภท อย่างการเจาะเลือดตรวจแลปกับการเอ็กซเรย์ ส่วนระดับ 4 คือ ใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
สุดท้าย ระดับ 5 จะไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ อาจเป็นการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น วัดไข้ ใช้หูฟังทางการแพทย์ฟังการเต้นของหัวใจ อาจเป็นกลุ่มที่มีบาดแผลถลอก เป็นไข้หวัด ไอ หรือมีน้ํามูก
โดยอาการเจ็บป่วยเหล่านี้จะถูกคัดกรองโดยพยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตามระบบของแต่ละโรงพยาบาล ยกตัวอย่าง พยาบาลจะประเมินอาการของผู้ป่วยเบื้องต้น และแยกแฟ้มประวัติผู้ป่วยตามระดับข้างต้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้ป่วยระดับ 1-2 จะได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนก่อน
ขณะที่ทุกคนคิดว่าอาการเจ็บป่วยของตัวเองฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่มีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างไรได้บ้าง?
“ผมคิดว่าการที่คนไข้คิดว่าตัวเองฉุกเฉินหรือไม่ฉุกเฉิน…ขึ้นอยู่กับความรู้สึก ความรู้ และประสบการณ์ที่พวกเขามี ว่าการเจ็บป่วยประมาณนี้ ร่างกายจะรับได้แค่ไหน จะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ เช่น รู้สึกเจ็บอกเวลาขยับแล้วกังวลหัวใจวาย หรือพ่อแม่ที่เด็กมีไข้สูงก็กลัวลูกชัก” พรพัฒน์ กล่าว
เมื่อผู้ป่วยที่ไม่ได้มีอาการร้ายแรงถึงห้องฉุกเฉิน จะมีพยาบาลคอยตรวจและประเมินอาการเบื้องต้น พร้อมวัดชีพจรของผู้ป่วย หากมีสัญญาณชีพที่ปกติก็อาจหมายความว่าอาการเจ็บป่วยนั้นยังรอได้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่จะพยายามอธิบายว่าอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ และอาจต้องรอเวลาสักพักเพื่อให้หมอรักษาผู้ป่วยวิกฤติที่อยู่ด้านในก่อน
ด้านวิศรุต กล่าวว่า เข้าใจดีว่าคนที่มาห้องฉุกเฉินจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดือดร้อน แต่แพทย์ฉุกเฉินจะพยายามอธิบายอย่างใจเย็น เกี่ยวกับมาตราการการรักษาตามความรุนแรง เพื่อให้ผู้ป่วยที่อาการหนักที่สุดได้รับการช่วยเหลือก่อน ซึ่งใช้วิธีการอธิบายเชิงเปรียบเทียบ และการใช้น้ำเสียงที่ขอความเห็นใจ
“ส่วนใหญ่เราจะใช้การอธิบายเชิงเปรียบเทียบนะครับ เช่น ตอนนี้มีคนที่กําลังหัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจอยู่ เราต้องช่วยเขาก่อน แล้วก็กลับมาดูอาการของคุณทีหลัง หลักๆ คือ ใช้การสื่อสารแบบเปรียบเทียบแล้วก็ใช้น้ําเสียงที่แบบขอความเห็นใจอย่างจริงใจครับ ทั้งนี้ต้องเน้นย้ำว่า เราไม่ได้ละเลยคนไข้ แต่ต้องจัดลําดับตามความรุนแรงเพื่อความปลอดภัยของทุกคนครับ ” วิศรุต กล่าว
พรพัฒน์ เสริมว่า การสื่อสารอีกวิธีที่อาจช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจการปฏิบัติงานของแพทย์ได้ คือ การใช้สื่อหรือภาพอินโฟกราฟิก (Infographic) สื่อสารเกี่ยวกับระดับความรุนแรง 5 ระดับของผู้ป่วยฉุกเฉินในรูปแบบโปสเตอร์หรือโทรทัศน์ตรงพื้นที่รอตรวจของผู้ป่วย ซึ่งสื่อเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยประเมินความเจ็บป่วยเบื้องต้นและเข้าใจว่าตัวเองกำลังอยู่ระดับไหน
ภาวะแออัดในห้องฉุกเฉิน
เนื่องจากห้องฉุกเฉินเป็นด่านแรกๆ ในการรับและคัดกรองผู้ป่วย ทำให้ตอนนี้ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลหลายแห่งกำลังเผชิญกับภาวะแออัดในห้องฉุกเฉิน (ER Crowding) คือ การที่จำนวนผู้ป่วยล้นเกินกว่าความสามารถของห้องฉุกเฉินที่จะรองรับได้ ส่งผลให้การดูแลรักษาล่าช้า และกลายเป็นภาระงานที่มากเกินขีดจำกัดของบุคลากรทางการแพทย์
“นิยาม ER Crowding ของแต่ละโรงพยาบาลไม่เหมือนกัน อย่างโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งจะเรียกว่า ‘Red Alert’ คือ มีจำนวนคนไข้ในห้องฉุกเฉินมากกว่า 28 คน โดยมีเคสหนัก (ESI 1-2) ประมาณ 5 คน เมื่อคนไข้เริ่มเต็มห้องฉุกเฉิน เราก็ต้องจัดการโดยไม่ให้มีคนไข้ใหม่เข้ามาเยอะเกิน พร้อมจัดการระบบให้มีการเคลื่อนย้ายคนไข้เก่าออกไป” วิศรุต อธิบายเกี่ยวกับภาวะแออัดในห้องฉุกเฉิน
วิศรุต กล่าวว่า มีวิธีการจัดการปัญหาภาวะแออัดในห้องฉุกเฉิน ทั้งจากระบบหน่วยปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน และการสร้างระบบในโรงพยาบาล ดังนี้
เมื่อมีภาวะแออัดในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลกรุงเทพฯ จะประกาศ Red Alert ไปที่ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งทำหน้าที่เหมือนหน่วยบัญชาการจัดการรถพยาบาลที่วิ่งอยู่บนถนนว่าต้องส่งผู้ป่วยให้โรงพยาบาลไหน และจะไม่มีการส่งผู้ป่วยใหม่มาที่โรงพยาบาล
ถัดมาคือ ‘การเร่งจำหน่ายผู้ป่วย’ โดยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยห้องฉุกเฉินเป็นผู้ป่วยใน ซึ่งแต่ละแผนกต้องเคลียร์เตียงผู้ป่วย หากมีผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นและพอจะกลับบ้านได้ก็ให้พักรักษาตัวที่บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินขึ้นไปแทน
นอกจากนั้น ยังมีการจัดการระบบเพื่อเคลียร์จำนวนผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินให้ลดลง เช่น การให้แพทย์ประจำบ้าน อาจารย์แพทย์ มาช่วยตรวจผู้ป่วยในแผนกฉุกเฉิน และการเร่งผลตรวจ (Guarantee Timing) คือ การเร่งผลแลปหรือเอ็กซเรย์ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด (15-30 นาที) เพื่อให้การวินิจฉัยผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ถัดมาคือ การสร้างระบบ Fast Track หรือระบบเร่งด่วนสำหรับ 4 โรคหลักที่อาการทรุดเร็ว ได้แก่ โรคหัวใจขาดเลือด ติดเชื้อในกระแสเลือด สมองขาดเลือด และอุบัติเหตุ โดยแต่ละโรงพยาบาลจะกำหนดรหัส (Code) เพื่อเรียกทีมเฉพาะทางมาช่วยอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายเป็นการออกแบบโรงพยาบาลให้มี ‘ศูนย์พักคอย’ หรือ ‘ER-Short Stay’ ซึ่งพื้นที่สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่ได้อยู่ในระดับวิกฤติหรือใกล้กลับบ้านได้ แต่ยังต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น นอนรอเจาะน้ำตาล นอนให้น้ำเกลือ โดยพื้นที่เหล่านี้จะช่วยลดความแออัดของแผนกฉุกเฉินลงได้
การอาละวาด-ความรุนแรง ในห้องฉุกเฉิน
นอกจากจำนวนผู้ป่วยที่ล้นแออัดจนล้นแผนกฉุกเฉินแล้ว ยังมีบางครั้งที่ผู้ป่วย ญาติ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ได้อยู่ในภาวะฉุกเฉิน ‘รอไม่ได้’ เมื่อได้รับการตรวจรักษาพยาบาลที่ล่าช้าจากแพทย์ ทำให้เกิดกรณีผู้ป่วยโวยวาย ทะเลาะวิวาท หรือทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ซึ่งเรียกว่า ‘ความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน (ER Violence)’
“บางครั้งก็มีเหตุความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน แต่โรงพยาบาลก็ต้องหาวิธีการจัดการเพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้มาทำร้ายร่างกายหมอหรือพยาบาล ไม่ให้มีคนเอาปืนมายิงกันเอง หรือถ้าเขาเอาปืนเข้ามา เราจะจัดการอย่างไร อย่างที่ออกข่าวหลายครั้งว่าชอบมีคนมาตีกันใน ER เหมือนเป็นแผนกสนามอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะรอรับการตรวจรักษาเป็นเวลานาน” วิศรุต กล่าว
วิศรุตมองว่า วิธีการแก้ปัญหาความรุนแรงในห้องฉุกเฉินสามารถทำได้โดยการจัดการระบบคัดกรองผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ต้องรอการตรวจรักษาเป็นเวลานาน ควบคู่กับการสร้างมาตรการป้องกันและรับมือ ดังนี้
เริ่มจากการออกแบบผังแผนกฉุกเฉินให้มีความปลอดภัย คือ มีปุ่ม ‘Panic Button’ คล้ายกับการกดสัญญาณไฟไหม้ ให้เจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินกดเมื่อมีคนไข้อาละวาด และจะทําร้ายเจ้าหน้าที่หรือผู้ป่วยในแผนก เพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาช่วยระงับเหตุ และเปิดประตูหนีหรือเคลื่อนย้ายคนในแผนก
ถัดมา คือ การเตรียมพร้อม ผ่านการจัดการแผนการซักซ้อม จำลองสถานการณ์ เช่น หากมีการทะเลาะวิวาทหรืออาละวาด จะมีคนไปกดปุ่ม Panic Button การปิดประตูแผนกฉุกเฉินเพื่อไม่ให้ผู้ก่อเหตุหนีออกไป และประกาศเสียงตามสายตามรหัสของโรงพยาบาล การแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตำรวจ และอาจารย์แพทย์
นอกจากนั้น ยังมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันเหตุ อย่าง ‘ไม้ง่าม’ สำหรับครอบคนไข้ หรือชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เพื่อป้องกันสารเคมีในกรณีที่ต้องใช้แก๊สหรือสารเคมีต่างๆ หากเกิดกรณีผู้ก่อเหตุคลุ้มคลั่ง
ทั้งนี้ หากมีผู้ก่อเหตุคลุ้มคลั่งจริงๆ โรงพยาบาลจะดำเนินการตามขั้นตอน คือ การเจรจาโน้มน้าวให้สงบ หากไม่ได้ผลก็จะมีการประเมินสถานการณ์และประสานกับครอบครัวหรือผู้เกี่ยวข้องว่า ‘จะจับมัด’ หรือ ‘ฉีดยา’ ตามขั้นตอน เพื่อความปลอดภัยของผู้ก่อเหตุ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ และผู้ป่วยคนอื่นๆ ในแผนก
สุดท้ายนี้ เมื่อเหตุการวิวาทจบลงแล้ว โรงพยาบาลจะประเมินความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพจิตใจบุคลากรการเก็บหลักฐาน การแจ้งความ และทำรายงานเหตุการณ์ เพื่อให้ทีมประเมินความเสี่ยง (Risk Management) ของโรงพยาบาลทบทวนและวิเคราะห์สาเหตุรากเหง้าของปัญหา (RCA: Root Cause Analysis)
ทางออกเมื่อทุกคนที่ป่วยเลือกมาห้องฉุกเฉิน
“เข้าใจดีว่าการทํางานของผู้คนในปัจจุบันจะทํางานในเวลาราชการเป็นหลัก เหมือนกับหมอกับพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยมักเลือกมาหาหมอในเวลาที่ตัวเองว่าคือ ‘นอกเวลาราชการ’ ทำให้จำนวนคนไข้นอกเวลาเยอะขึ้น” พรพัฒน์ กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีคนไข้อีกหลายคนที่มีอาการเจ็บป่วยและไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ก่อนจะพบว่าตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคร้ายแรง จึงรีบมาหาหมอที่แผนกฉุกเฉิน แต่เมื่อมีการประเมินอาการเบื้องต้นพบว่ายังไม่ฉุกเฉิน และต้องรอการตรวจไปก่อน ก็อาจรู้สึกว่าหมอหรือพยาบาลไม่ใส่ใจหรือไม่รักษาตามความคาดหวังของเขา
“หมอก็เข้าใจว่า ‘ฉุกเฉิน’ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากใครมีอาการที่รู้สึกว่าฉุกเฉิน อาจลองโทรปรึกษาโรงพยาบาลหรือ 1669 ก่อน ว่าอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง จําเป็นต้องไปโรงพยาบาลหรือไม่ ต้องให้รถโรงพยาบาลไปรับหรือเปล่า” พรพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ หากใครมีอาการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรงและยังรอได้ อาจเลือกไปแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ในเวลาราชการ หรือคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการของโรงพยาบาล ซึ่งอาจต้องใช้เวลารอตรวจระยะหนึ่ง ตามจำนวนคนไข้ในแต่ละวัน
โดยข้อดีของการเข้ารับการรักษาในแผนกดังกล่าว คือ จะได้ตรวจกับแพทย์เฉพาะทางแต่ละด้าน และได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำขึ้น เพราะการตรวจรักษาที่ห้องฉุกเฉินเป็นการประเมินเบื้องต้นและรับยาตามอาการ ไม่ได้ซักประวัติละเอียดเท่าการตรวจของแพทย์เฉพาะทาง และช่วยลดภาระงานของแพทย์ฉุกเฉินอีกด้วย